บทที่ 84 ราชาผีสิบถ้ำและเทพแห่งทิศที่เก้า(ต้น-กลาง-ปลาย)
###
เหนือแม่น้ำหวงเฉวียน เรือเล็กโดดเดี่ยวล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย ดูราวกับว่าโลกที่เงียบสงัดและเย็นยะเยือกนี้เหลือเพียงเขากับเรือลำนี้เท่านั้น ไม่รู้ว่ากำลังจะล่องไปยังที่ใด
ความรู้สึกเช่นนี้ชวนให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือ จางจิ่วหยางใช้พลังจนเต็มกำลังมองผ่านดวงตา กลับพบเห็นบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำสีเหลืองอย่างเลือนราง
พวกมันแหวกว่ายวนรอบใต้ท้องเรือลำเล็กนี้ ราวกับสัมผัสได้ถึงพลังหยางจากผู้มีชีวิต ทำให้น้ำลายสอ
เพียงแค่แวบเดียว เงาร่างบิดเบี้ยวเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวาจับใจ
จางจิ่วหยางนึกถึงเรื่องเล่าของคุณปู่ในอดีตชาติ เรื่องเล่าหนึ่งกล่าวถึงสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ใต้แม่น้ำหวงเฉวียน มันกินวิญญาณที่ล่องลอยผ่านทางนี้เป็นอาหาร
พวกมันจ้องตาเป็นมันกับเรือรับวิญญาณพวกนี้ และพยายามพลิกเรือให้คว่ำ จากนั้นจึงจัดการกลืนกินวิญญาณเหล่านั้นอย่างสำราญ
หากบังเอิญมีผู้มีชีวิตหลงเข้ามาในแดนมรณะนี้ พลังหยางที่แผ่ออกมาจากร่างของผู้มีชีวิตก็ถือเป็นอาหารอันโอชะที่หาค่าไม่ได้ ทำให้พวกมันคลุ้มคลั่ง
"ตึง! ตึง!"
จางจิ่วหยางรู้สึกได้ทันทีว่าเรือลำเล็กเริ่มสั่นไหว คล้ายว่ามีบางอย่างกระแทกอยู่ใต้ท้องเรือ โชคดีที่ร่างกายเขาแข็งแกร่งมาก ขาทั้งสองมั่นคง ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นหมอกเลือดกระจายออกมาจากร่างของสัตว์ประหลาดใต้น้ำ คล้ายว่ามันส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วหยุดกระแทกเรือ เพียงแต่ยังคงตามมาอย่างเงียบๆ
"แสงไฟ!"
จางจิ่วหยางมองไปยังโคมไฟสีขาวบนเรือ ภายในมีเปลวไฟสีฟ้าส่องแสงวูบวาบ ราวกับเปลวไฟวิญญาณ
เมื่อครู่แสงสว่างจากโคมไฟนี้เพิ่งวาบขึ้น ทำให้สัตว์ประหลาดใต้น้ำที่พุ่งชนเรือต้องถอยหนีด้วยความหวาดกลัว เกิดหมอกเลือดกระจายขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าโคมไฟนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องเรือรับวิญญาณ หากจางจิ่วหยางเป็นวิญญาณผู้ล่วงลับ พวกมันอาจละทิ้งไป แต่เขากลับเป็นผู้มีชีวิต
พลังหยางที่แผ่ออกมาจากเขาช่างเย้ายวน ทำให้พวกมันบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
ไม่นานนัก เสียงกระแทกจากใต้ท้องเรือก็ดังขึ้นอีกครั้ง แม้จะถูกแสงไฟแผดเผา แต่พวกมันกลับไม่ยอมหยุด ยังคงพุ่งเข้ามาอย่างไม่ลดละ
เรือลำเล็กสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หากไม่ใช่เพราะจางจิ่วหยางเป็นผู้ฝึกตน มีพลังป้องกันอยู่รอบกาย คงพลัดตกลงไปในแม่น้ำและถูกพวกสัตว์ประหลาดกัดกินจนไม่เหลือซาก
ในแววตาของเขาแฝงด้วยความดุร้าย
ตั้งแต่ก้าวเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังหยินที่แทรกซึมอยู่ทุกอณู อาจเป็นเพราะเหตุผลที่เขามีภาพวาด "หวังหลิงกวนคุ้มครองวังหลิงเซียว" อยู่ในครอบครอง ทำให้จิตใจลึกๆ ของเขารู้สึกขยะแขยงกับสถานที่อัปมงคลเช่นนี้
หวังหลิงกวนเป็นผู้ควบคุมเพลิงสวรรค์และสายฟ้า มีนิสัยดุดันและเกลียดชังความชั่วร้าย ย่อมรังเกียจสถานที่สกปรกโสมมเช่นนี้เป็นที่สุด
เขารู้สึกอยากทำลายล้างให้สิ้นซาก ปราบให้ราบคาบจนแผ่นดินพลิกคว่ำ!
ความดุร้ายเริ่มก่อตัวขึ้นในใจโดยที่เขาไม่อาจควบคุมได้ ทำให้พลังหยางในร่างยิ่งแผ่กระจายออกมาอย่างรุนแรง ความร้อนพลุ่งพล่านในร่างราวกับหม้อไอน้ำเดือดพล่าน
สิ่งนี้กระตุ้นให้สัตว์ประหลาดด้านล่างยิ่งบ้าคลั่ง แม้ต้องเผชิญแสงไฟเผาไหม้ก็ยังไม่ยอมหยุด ยังคงพุ่งเข้ามาอย่างไม่ลดละ
ในชั่วพริบตา เรือลำเล็กสั่นสะเทือนจนเกือบคว่ำ ราวกับใบไม้กลางพายุ
จางจิ่วหยางกลับไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขากลับเผยรอยยิ้มดุร้ายออกมา ดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ราวกับมีเปลวเพลิงสีทองแดงลุกโชนอยู่ภายใน
เขาเริ่มมีความคิดอยากกระโดดลงไปในน้ำ และเผาสัตว์ประหลาดพวกนี้ให้มอดไหม้เป็นจุณ!
ให้ไฟสวรรค์ลุกโชนเผาผลาญแม่น้ำหวงเฉวียนที่โสมมแห่งนี้ให้สิ้นซาก!
ขณะที่จิตใจของเขาเกือบถูกความดุร้ายครอบงำ ภาพเบื้องหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน สัตว์ประหลาดใต้ผิวน้ำหยุดโจมตีเรือ และเพียงเฝ้าติดตามอย่างเงียบๆ
เบื้องหน้าปรากฏประตูขนาดใหญ่ สูงถึงสิบจั้ง (ประมาณสามสิบเมตร) มีรูปลักษณ์คุ้นตา ทำให้จางจิ่วหยางนึกขึ้นได้ว่านี่คือรูปลักษณ์ของตราในความทรงจำของเขา
ตราที่ครั้งหนึ่งหลินเซี่ยจื่อเคยใช้เลือดของตนวาดเป็นภาพประตูผีบนพื้น
เส้นทางหวงเฉวียน ประตูผี สิบเทพแห่งทิศ ความวุ่นวายแห่งโลกมนุษย์
ในสมองของจางจิ่วหยางประโยคนี้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เขาได้เดินผ่านเส้นทางหวงเฉวียน มาถึงหน้าประตูผีแล้ว ดังนั้นต่อไปเขาจะได้พบกับสิบเทพแห่งทิศกระนั้นหรือ?
ประตูผียังปิดสนิทไม่ได้เปิดออก บนกลอนประตูมีรูปสลักของปี๋อั้น (สัตว์ในตำนาน) ที่มีใบหน้าดุร้าย ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่เมื่อจางจิ่วหยางมองไปที่มัน ดูเหมือนว่าดวงตาของปี๋อั้นจะขยับเล็กน้อย
มีตำนานกล่าวว่า มังกรมีลูกเก้าตัว แต่ละตัวแตกต่างกัน ปี๋อั้นเป็นลำดับที่เจ็ด อีกชื่อหนึ่งคือเซี่ยนจาง รูปร่างคล้ายเสือ มีพลังอำนาจ มักถูกแกะสลักไว้บนประตูคุกในโลกมนุษย์
อืม ไม่แปลกอะไร เพราะนรกก็คือคุกเช่นกัน
เรือลำเล็กค่อยๆ ล่องไปต่อ เมื่อใกล้ถึงประตูผี จู่ๆ ตราที่อยู่ในสมองของจางจิ่วหยางก็ยิงแสงดำออกมา ส่องไปยังดวงตาของปี๋อั้น
ชั่วพริบตา ดวงตาคู่นั้นกระพริบขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมีชีวิต พร้อมกับแสดงท่าทางดุร้ายออกมา ราวกับถูกรบกวนจากการหลับใหล
แต่สิ่งที่มันเห็นกลับเป็นดวงตาคู่อื่นที่ยิ่งดุร้ายกว่า ในดวงตาคู่นั้นมีเปลวเพลิงสีทองแดงลุกไหม้อยู่ลึกเข้าไป ทำให้ปี๋อั้นที่ประดับบนประตูผียังต้องหวาดหวั่น
มันจึงค่อยๆ อ้าปากออก จากนั้นประตูผีอันยิ่งใหญ่ก็แยกเปิดออกเหมือนกับสัตว์ร้ายขนาดมหึมาอ้าปากกว้าง
เรือลำเล็กค่อยๆ ลอยเข้าไป
ดวงตาของปี๋อั้นเหลือบมองเล็กน้อย ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันไม่ได้ปิดประตูทันที แต่เปิดทิ้งไว้อีกสักครู่ ปล่อยให้สัตว์ประหลาดที่ซุ่มรอใต้แม่น้ำหวงเฉวียนว่ายตามเข้ามา
แต่ไม่นานนัก ปี๋อั้นก็เห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดกลัว ในดวงตามันเผยให้เห็นความหวาดหวั่นเล็กน้อย
"คนใหม่คนนี้…เป็นปีศาจชัดๆ!"
"ไฟอะไรกันแน่ ทำไมแม้แต่น้ำหวงเฉวียนที่เย็นยะเยือกที่สุดในโลกยังเดือดพล่านได้?"
"ร้อนเกินไป!"
ในดวงตาของปี๋อั้นมีควันพวยพุ่งออกมา ราวกับกำลังถูกเผา ตัวทองแดงที่เดิมทีเป็นสีเหลืองค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ราวกับเหล็กร้อนที่ถูกเผาจนแดงฉาน
…
เรือลำเล็กแล่นผ่านประตูผีเข้าไป ด้านรอบข้างกลายเป็นความมืดมิดสนิท แสงจากโคมไฟบนเรือเริ่มริบหรี่ สั่นไหวราวกับถูกความมืดกัดกลืน
ในที่สุด หลังจากดิ้นรนไม่นาน แสงไฟก็ดับลงสนิท
ชั่วขณะต่อมา จางจิ่วหยางรู้สึกว่าเรือที่อยู่ใต้เท้าทรุดตัวลงทันที ราวกับสูญเสียแรงลอยตัว จมลงสู่แม่น้ำหวงเฉวียน
สัตว์ประหลาดที่เฝ้ารออยู่ไม่รอช้า รีบพุ่งเข้ามาทันที จางจิ่วหยางจึงได้เห็นใบหน้าของพวกมันอย่างชัดเจน
พวกมันมีรูปร่างคล้ายลิง ร่างกายเต็มไปด้วยขนสีแดงเข้ม ราวกับถูกย้อมด้วยเลือด เปล่งประกายสีแดงคล้ำ
ดวงตาของพวกมันแดงฉาน ร่างกายหลายส่วนเน่าเฟะมีหนองไหลออกมา ฟันเหลืองอ๋อยส่งกลิ่นเหม็นเน่า ที่ซอกฟันยังมีเศษเนื้อเน่าติดอยู่
ราวกับว่าพวกมันเคยกินเนื้อพวกเดียวกันด้วยความหิวโหย
จางจิ่วหยางมองเห็นขนสีแดงของพวกมัน ก็พลันนึกถึงครั้งหนึ่งที่มีทหารวิญญาณสองตนเคยจับตัวลุงเจียงไป ทหารวิญญาณสองตนนั้นคล้ายกับสัตว์ประหลาดกลุ่มนี้ แต่ก็มีความแตกต่างอย่างมาก
ทหารวิญญาณสองตนนั้นมีสติปัญญาชัดเจน แต่สัตว์ประหลาดเหล่านี้กลับมีเพียงสัญชาตญาณในการกระหายเลือดและความอยากอาหารเท่านั้น
มือข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยขนสีแดงของพวกมันยื่นออกมา คว้าจับขาของจางจิ่วหยาง มืออีกข้างหนึ่งจับแขนและลำคอของเขา พยายามฉีกกระชากร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ
ทว่าจางจิ่วหยางไม่เพียงไม่รู้สึกหวาดกลัว ใบหน้ายังเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดุร้ายออกมา
ชั่วพริบตา ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเตาหลอมที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟ พลังความร้อนพวยพุ่งออกมาจากทุกขุมขน แม้แต่คาถา "ทองคำปิดประตูหยก" ของจงหยางจื้อเหรินก็ไม่อาจกดข่มไว้ได้
เปลวไฟสีทองแดงลุกโชนขึ้น แม้อยู่ใต้แม่น้ำหวงเฉวียนที่เย็นยะเยือกก็ยังคงร้อนแรงและสว่างไสว
.....
เหนือแม่น้ำหวงเฉวียน ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์สูงใหญ่กว่า 100 จั้ง
มีตำนานกล่าวว่า ในโลกแห่งความตายเคยมีราชาผีผู้โหดเหี้ยมที่สุดสิบตน ถูกขนานนามว่า "ราชาผีสิบถ้ำ" พวกมันมีเหล่าผีร้ายเป็นบริวารนับไม่ถ้วน และครองอำนาจในแดนยมโลกอย่างไร้ผู้ต่อต้าน
ราชาผีสิบถ้ำได้สาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานบนเขาเยียนฝู พร้อมนัดหมายกันว่าจะร่วมมือกันขึ้นไปยึดครองโลกมนุษย์
แต่สุดท้ายกลับมีราชาผีตนหนึ่งทรยศต่อคำสาบาน หนีหายไปในช่วงสำคัญ เหลือเพียงเก้าตนที่ขึ้นไปสร้างความวุ่นวายในโลกมนุษย์ และได้ปะทะกับร่างหนึ่งของ "เทพปราบปีศาจแห่งสามโลก"
ในครั้งนั้น เทพปราบปีศาจแห่งสามโลกได้ใช้เท้ากระทืบเพลิงสวรรค์ มือกำสายฟ้า ฟาดฟันราชาผีทั้งเก้าจนสิ้นซาก แต่ตนเองก็สิ้นชีพไปด้วยความอ่อนล้า
นับแต่นั้น ราชาผีสิบถ้ำจึงเหลือเพียงผู้ทรยศผู้นั้นรอดชีวิต นามของมันคือ "ราชาผีอิงซาน" ผู้ซึ่งถูกสำนักอิงซานยกย่องเป็นเทพอุปถัมภ์
ว่ากันว่า บนเขาเยียนฝูที่เคยเป็นสถานที่ที่ราชาผีสิบถ้ำสาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบาน มักจะมีเสียงร้องไห้โหยหวนของวิญญาณดังอยู่เสมอ มันกลายเป็นสถานที่อัปมงคลที่แม้แต่ผีร้ายยังไม่กล้าเข้าใกล้
แต่ในขณะนี้ กลับมีเงาร่างหลายร่างนั่งอยู่บนยอดเขาเยียนฝู ณ บริเวณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่สาบานของราชาผีสิบถ้ำ
พวกเขานั่งอยู่บนบัลลังก์ของสิบเทพแห่งทิศ บนร่างกายปกคลุมด้วยหมอกควันมัวๆ ที่บดบังใบหน้า ทำให้ดูสง่างามและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
บัลลังก์ยังนั่งไม่ครบสิบ บัลลังก์ที่มีอักษร “ปิ่ง” “เหริน” และ “กุ่ย” ยังคงว่างเปล่า
เสียงแหลมคมเสียงหนึ่งดังขึ้น คล้ายมีความขุ่นเคือง
“เจ้าแก่ทำไมยังไม่มาอีก ฝีมือก็ไม่ได้เรื่อง แล้วยังทำท่าทางใหญ่โตอีก คราวก่อนยังพูดจาเป็นปริศนาว่าจะเลี้ยงผีสวรรค์ให้สำเร็จ แต่ตอนนี้แม้แต่ขนไก่ก็ยังไม่เห็นสักเส้น”
ผู้พูดคือ เทพแห่งทิศที่เจ็ด “เกิง” ซึ่งดูเหมือนจะมีนิสัยใจร้อน และแสดงท่าทีดูถูกหลินเซี่ยจื่ออย่างชัดเจน
เทพแห่งทิศคนอื่นไม่มีใครตอบกลับ คล้ายว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขา
แต่เกิงเป็นคนช่างพูด พูดไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทำให้เทพแห่งทิศที่แปด “ซิน” แสดงความไม่พอใจ
“ฮึ เจ้าแก่ไร้ค่า แม้จะฝีมือไม่ดีนัก แต่เรื่องเลี้ยงผียังมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขาเลี้ยงผีสวรรค์สำเร็จ เจ้าคิดว่าจะเอาชนะเขาได้หรือ?”
เสียงของซินแหบแห้งลึก ราวกับมีงูพิษเลื้อยอยู่ในลำคอ แฝงไว้ด้วยความเย็นยะเยือกจนทำให้คนฟังหนาวสะท้าน
เกิงโมโหขึ้นมาทันที เขาเย้ยหยันด้วยเสียงเย็นชา
“หุบปากไปเถอะ เสียงเจ้าแย่ยิ่งกว่าเสียงขันทีแก่ในวังเสียอีก”
“เจ้า—”
ซินกำลังจะโต้ตอบกลับ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยอำนาจที่ไม่อาจต้านทาน
“เจ้าแก่ตายแล้ว”
เสียงนี้ทำให้เหล่าเทพแห่งทิศต่างตกตะลึง พากันมองไปยังเงาร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวแรกซึ่งปกคลุมด้วยหมอกหนา
เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวแรกที่สลักอักษร “เจี่ย” ซึ่งว่ากันว่าในอดีตตำแหน่งนี้เคยเป็นของ “ราชาผีต้าหลัว” ผู้ยิ่งใหญ่เหนือแม่น้ำหวงเฉวียน เจ้าผู้ปกครองแดนยมโลก ผู้ได้รับสมญานามว่า “ราชาผีในหมู่ราชาผี”
แม้ว่าเทพปราบปีศาจแห่งสามโลกจะสามารถสังหารราชาผีทั้งเก้าได้ แต่สุดท้ายก็ถูกราชาผีต้าหลัวควักหัวใจออกไป
ปัจจุบันผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวนี้มีนามว่า “เทียนจุน”
แม้แต่เกิงที่ดื้อรั้นไม่กลัวใคร ในยามนี้ยังสงบเสงี่ยม ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เทพแห่งทิศที่สอง “อี่” ค่อยๆ เอ่ยขึ้น เสียงของเขาดังกังวานราวกับระฆัง
“ฝีมือของฉินเทียนเจี้ยนแน่ๆ เจ้าแก่แม้จะไร้ฝีมือ แต่ยังไงก็เป็นหนึ่งในสิบเทพแห่งทิศ มีไม่กี่คนในฉินเทียนเจี้ยนที่จะฆ่าเขาได้ หรือว่าเป็นเจ้าแมวป่วยตัวนั้นที่ลงมือ?”
คำพูดของเขาแฝงไว้ด้วยความดูแคลนและความรังเกียจต่อฉินเทียนเจี้ยนอย่างเห็นได้ชัด
เสียงของเทียนจุนดังขึ้นอีกครั้ง หนักแน่นจนทำให้ยอดเขาเยียนฝูสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“ผู้ที่ฆ่าเจ้าแก่ คือหลิงไถหลางคนสำคัญของฉินเทียนเจี้ยน นามว่า ‘เทพปราบปีศาจเยวี่ยหลิง’”
“เทพปราบปีศาจ?”
เกิงที่มีนิสัยใจร้อนเย้ยหยันอีกครั้ง
“หญิงสาวตัวเล็กๆ กล้าเรียกตัวเองว่าเทพปราบปีศาจ ไม่กลัวแบกรับชื่อไม่ไหวหรือไร?”
จากนั้นเขากล่าวต่อ
“ข้าจะไปยังต้าเชียนด้วยตนเอง ขอดูหน่อยว่าหญิงสาวนั่นมีฝีมือแค่ไหน แม้เจ้าแก่จะไร้ค่า แต่จะให้คนอื่นมาฆ่าเช่นนี้ไม่ได้!”
แม้ปากจะดูถูกเจ้าแก่ แต่เมื่อรู้ว่าเขาถูกฉินเทียนเจี้ยนฆ่า เกิงกลับเป็นคนเดียวที่เสนอตัวไปแก้แค้นแทน
เทพแห่งทิศที่สอง “อี่” กล่าวห้ามปราม
“ฉินเทียนเจี้ยนไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด หากง่าย ข้าคงฆ่าเจ้าแมวป่วยตัวนั้นไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้รอดมาถึงตอนนี้”
เทพแห่งทิศที่แปด “ซิน” ก็เห็นด้วยกับความเห็นของอี่ เขากล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเหมือนเดิม
“เทพปราบปีศาจเยวี่ยหลิงมีฝีมือพอตัว หลายปีมานี้ลูกน้องของข้าล้วนตายใต้คมดาบของนางไม่น้อย”
เกิงแสดงท่าทางไม่พอใจ พยายามจะพูดต่อ แต่เสียงของเทียนจุนกลับดังขึ้นขัด
“จุดประสงค์ของการรวมตัววันนี้ไม่ใช่การแก้แค้น แต่เพื่อแนะนำผู้มาใหม่ที่จะมาแทนตำแหน่งของเจ้าแก่ในฐานะเทพแห่งทิศที่เก้า”
“เขาคือผู้ที่เจ้าแก่เลือกไว้ และได้รับการยอมรับจากตราหวงเฉวียนแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้แต่เทพแห่งทิศที่สี่ “ติง” ซึ่งนั่งเงียบมาตลอดยังแสดงความสนใจ
“ผ่านมาหลายปี ดูเหมือนจะนานมากแล้วที่ไม่มีผู้มาใหม่เข้าร่วม ครั้งสุดท้ายที่มีผู้มาใหม่ผ่านการทดสอบ เขากลับเป็นสายลับของฉินเทียนเจี้ยน และถูกเจ้าแก่ควักหัวใจออกมากิน”
ติงกลืนน้ำลายเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความกระหาย
“หัวใจนั้นช่างอร่อยสมกับเป็นผู้ฝึกตนระดับห้า ข้ากินอย่างมีความสุขเลยทีเดียว!”
เกิงเย้ยหยันพร้อมกล่าว
“ผู้มาใหม่? ข้าจะดูว่าเขามีความสามารถอะไร หากแม้แต่แม่น้ำหวงเฉวียนยังข้ามมาไม่ได้ ก็อย่าได้คิดขึ้นเขาเยียนฝูเลย!”
ติงเพียงยิ้มเล็กน้อย พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความกระหาย
“ข้าเพียงแค่อยากลิ้มลองรสชาติหัวใจของเขาเท่านั้น”
อี่พึมพำพุทโธเบาๆ
“หากไม่มีความสามารถข้ามแม่น้ำหวงเฉวียนได้ แล้วจะขึ้นเขาได้อย่างไร?”
เทพแห่งทิศที่แปด “ซิน” ยิ้มอย่างเย็นชา รอยยิ้มนั้นชวนให้ผู้คนขนลุกซู่
“หากต้องการเป็นเทพแห่งทิศที่เก้า ตามกฎแล้ว เขาต้องข้ามแม่น้ำให้ได้ก่อน จากนั้นจึงรับการทดสอบจากข้า…”
“ข้าหวังว่าเขาจะมีฝีมือมากพอ เพื่อที่ข้าจะได้สนุกให้เต็มที่…”
เกิงได้ยินดังนั้นก็ส่ายศีรษะเบาๆ เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นต่อวิธีการอันแปลกประหลาดและโหดเหี้ยมของซิน ผู้มาใหม่ที่จะต้องรับการทดสอบจากซินช่างโชคร้ายเสียจริง
คงจะต้องตายอย่างอนาถแน่นอน
แน่นอน บางทีผู้มาใหม่อาจจะยังข้ามแม่น้ำไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะเวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว อีกฝ่ายยังไม่โผล่มา น่าจะติดอยู่กลางแม่น้ำ
น้ำในแม่น้ำหวงเฉวียนนั้นเย็นเยียบจับกระดูก เต็มไปด้วยพลังหยิน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ผี ปีศาจ หรืออสูร หากตกลงไปในน้ำ จะถูกพลังความตายกัดกร่อน ยิ่งไปกว่านั้น ใต้แม่น้ำยังมีสัตว์ประหลาดกระหายเลือดซุ่มอยู่
เพียงแค่ด่านข้ามแม่น้ำนี้ ก็ไม่รู้ว่าเคยมีผู้มาใหม่มากมายเพียงใดที่ต้องสังเวยชีวิต
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ในขณะที่ทุกคนคิดว่าผู้มาใหม่ผู้นี้คงจบชีวิตอยู่ใต้แม่น้ำไปแล้ว ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน
น้ำในแม่น้ำหวงเฉวียน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำที่เย็นยะเยือกและชั่วร้ายที่สุดในโลก จู่ๆ ก็ร้อนระอุขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เกิดเสียงเดือดพล่านดัง “ปุดๆ” และปรากฏแสงสีแดงจางๆ
ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์อันร้อนแรงลุกไหม้อยู่ใต้น้ำ
จากนั้นไม่นาน ซากสัตว์ประหลาดที่มีขนแดงลอยขึ้นมาจำนวนมากจนแน่นขนัด ร่างของพวกมันถูกเผาไหม้จนดำเกรียม
ร่างหนึ่งที่แผ่เปลวไฟสีทองแดงลุกโชน ค่อยๆ เดินออกมาจากแม่น้ำ แม้จะถูกหมอกควันบดบังใบหน้าไว้ แต่ความร้อนแรงและอำนาจอันดุดันที่แผ่ซ่านออกมาก็ไม่อาจปกปิดได้
พลังความดุร้ายอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
จางจิ่วหยางถือคอสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งไว้ด้วยมือเดียว ใต้เปลวไฟสวรรค์ สัตว์ประหลาดส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
เขาใช้ดวงตาสีแดงฉานเต็มไปด้วยความดุร้าย จ้องไปยังเหล่าเทพแห่งทิศบนเขาเยียนฝู ก่อนจะค่อยๆ บีบคำพูดออกมาจากซอกฟันด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“พวกเศษสวะ รอนานแล้วสินะ”