บทที่ 154 ภายในกรวยแสง
เรื่องนี้จะมีตอนฟรีทั้งหมด 1-200 ตอน และ....ถ้ายอดกดไลก์เพิ่ม 100 ก็จะแถมให้ฟรี 20 ตอนครับ (ปล.เริ่มนับจาก 8700 นะ เช่นขึ้นไป 8800 ก็บวกให้ 20 ตอน ถ้ายอดมันขึ้นยันจบเรื่อง ก็เปิดให้ฟรีหมดอะ)
*ครบหมื่น แถม 100 ตอนไปอีก เอาเป็นว่าจำกัดวันด้วยแล้วกัน เพราะงี้ถ้าเกิดครบขึ้นมาแบบ 2 ปีต่อมาลืมแหง เอาถึง 1/4/2568 นะครับ ก็คือ 1 เมษายน*
แฟนเพจกดไลก์ได้ที่ ยักษาแปร | Facebook
บทที่ 154 ภายในกรวยแสง
ทางออกโรงภาพยนตร์ ถังซินยืดตัวอย่างมีความสุข:
「หนังสนุกมากเลย! เพื่อนร่วมงานแนะนำมาไม่ผิดหวังจริง ๆ !」
หลินเสวียนพยักหน้า:
「ใช่เลย สนุกกว่าภาคแรกอีกเยอะ」
……
คืนนี้ ถังซินบอกว่าเพื่อตอบแทนที่หลินเสวียนเลี้ยงข้าวเมื่อวันก่อน เธอเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง
หลังจากกินข้าวเสร็จ ถังซินก็หยิบตั๋วหนังสองใบออกมาชวนหลินเสวียนไปดูหนัง
《ปฏิบัติการฝ่าสุริยะ 2》
หลินเสวียนใจเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว
หลินเสวียนตั้งใจจะดูหนังเรื่องนี้ตอนปีใหม่ แต่ก็ไม่มีเวลาสักที…หลังจากปีใหม่ก็ไปฉานซีต่อ ติดพันกับเรื่องของหลิวเฟิงจนกลับมาที่ตงไห่ได้ก็เพิ่งว่าง
ต้องบอกเลยว่า…
นี่แหละคือหนังไซไฟจริง ๆ นี่แหละคือโลกแห่งไซไฟจริง ๆ
ในเนื้อเรื่องของ《ปฏิบัติการฝ่าสุริยะ》นั้น ในปี 2075 มนุษยชาติได้ใช้เครื่องยนต์ฟิวชั่นควอนตัมผลักดันโลกออกจากวงโคจรของดวงอาทิตย์ไปเร่ร่อนอยู่ในอวกาศแล้ว
แต่ใครจะไปคิดว่า…
ในโลกอนาคตที่แท้จริงอีก 600 ปีต่อมา มนุษย์กลับยังคงอยู่เบียดเสียดกันในเมืองตงไห่เล็ก ๆ นั่น เล่นคอสเพลย์สมัยวิคตอเรียกันอยู่
จากการสังเกตระดับเทคโนโลยีของเมืองตงไห่ใหม่ของหลินเสวียน…… เทียบกับปี 2023 แล้ว ก็มีพัฒนาการบ้าง แต่เรียกว่าน้อยนิดมากจริง ๆ
หลินเสวียนคิดว่าเมืองเหล็กแห่งนี้คงเอาชนะการควบคุมนิวเคลียร์ฟิวชันได้แล้ว พลังงานคงใช้ไม่รู้หมดไปแล้ว แต่ความจริงแล้ว……น่าผิดหวังสุด ๆ
หนังสือในร้านหนังสือยังคงมองโลกในแง่ร้าย บอกว่าการควบคุมนิวเคลียร์ฟิวชันยังยากที่จะนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันมนุษย์ยังใช้พลังงานนิวเคลียร์ได้แค่ระดับแบตเตอรี่นิวเคลียร์เท่านั้น
แบตเตอรี่นิวเคลียร์กับการควบคุมนิวเคลียร์ฟิวชัน ถึงจะใช้พลังงานนิวเคลียร์เหมือนกัน แต่ก็ต่างกันเยอะ ง่าย ๆ เลยก็คือ ต่างกันที่เป็นแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงมาก กับแบตเตอรี่พลังงานไม่รู้จบ
จริง ๆ แล้วแบตเตอรี่นิวเคลียร์ก็มีใช้มาตั้งแต่ปี 2023 แล้ว แม้แต่ยานสำรวจอวกาศวอยเอเจอร์ 1 ที่ส่งขึ้นไปในปี 1977 ก็ใช้แบตเตอรี่นิวเคลียร์รุ่นเก่าอยู่
เวลา 600 ปีที่ผ่านมา มนุษย์แค่พัฒนาและปรับปรุงของเดิมที่มีอยู่เท่านั้น พูดตรง ๆ เลยก็คือ…แทบไม่มีอะไรใหม่ ๆ ไม่มีสาขาใหม่ ๆ เกิดขึ้นเลย
ดังนั้น
ในโลกหลังจากผ่านไป 600 ปี ก็ยังมีกลุ่มอำนาจลึกลับ คอยยับยั้งการพัฒนาเทคโนโลยีอยู่
เป็นสโมสรอัจฉริยะหรือเปล่า?
หรือเป็นมือสังหารสวี่หยุน?
หรือจะเป็นคนอื่นอีก?
คำตอบ……อาจจะอยู่ใกล้ตัวฉันแล้ว
「ถ้ามีวันสิ้นโลกจริง ๆ ……มนุษย์จะไปทางไหนต่อดีนะ?」 ถังซินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆดำ กระซิบกับตัวเองเบา ๆ
「ถึงแม้ว่าในภารกิจฝ่าสุริยะ การเกิดสุริยะปะทุเฮเลียมแฟลร์จะไม่รวดเร็วขนาดนั้น แต่ว่าอนาคตของมนุษยชาติจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้แน่ ถ้าเกิดวันสิ้นโลกขึ้นมาจริง ๆ …แล้วมนุษย์จะรับมือกับมันยังไงกันนะ?」
ฟังถังซินพูดจบ หลินเสวียนนึกถึงแสงสีขาวที่ทำลายล้างโลกในอีก 600 ปีข้างหน้าขึ้นมา:
「อาจเป็นไปได้ที่คนส่วนใหญ่จะไม่ทันได้รู้ตัวเลยก็ได้」
เขาพูดเสียงเบา:
「หรือบางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คุณคิดก็ได้ ถ้าเป็นวิกฤตการณ์ล่มสลายโลกที่สามารถสังเกตและป้องกันได้ มนุษย์ก็อาจจะหาวิธีหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจฝ่าสุริยะหรือวิธีการอื่น ๆ …มนุษย์ก็คงจะคิดหาวิธีเอาตัวรอดได้อยู่ดี」
「แต่ถ้าเป็นวิกฤตการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ ผมว่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปหรอก มนุษย์จะไม่รู้ล่วงหน้าว่ามันจะมาเมื่อไหร่ พอรู้ตัวอีกทีก็สายเกินไปแล้ว คาดว่าทุกคนคงไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร ก็แค่สลายไปในขณะที่หลับอยู่」
ถังซินพยักหน้าเบา ๆ :
「วิกฤตการณ์ที่สังเกตไม่พบ…นี่เป็นความคิดที่น่าสนใจจริง ๆ !」
เธอยิ้มแล้วพูดว่า:
「ฉันเองก็ไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน เหมือนว่าในนิยายวิทยาศาสตร์ทั้งหมด มนุษยชาติต่างก็รู้ล่วงหน้าว่าวิกฤตการณ์ล่มสลายโลกจะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นสุริยะปะทุเฮลียมแฟลร์ในภารกิจฝ่าสุริยะ หรือการบุกโจมตีของกองเรือต่างดาวในเรื่องดาวซานถี่…โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ก็จะรู้ล่วงหน้าหลายร้อยปี」
「ด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ในปัจจุบัน แม้จะมีอุกกาบาตขนาดยักษ์พุ่งเข้าหาโลก ก็ยังสามารถทำนายและป้องกันได้ ถ้าจะพูดถึงวิกฤตการณ์ล้างโลกที่มนุษย์สังเกตไม่พบ……」
「ก็คงมีแต่รังสีและลำแสงที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วแสงเท่านั้นล่ะมั้ง?】」
「ใช่แล้ว」
หลินเสวียนเคยคิดเรื่องนี้มาก่อน:
「ถ้าวิกฤตการณ์ที่ทำลายล้างโลกพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วแสง ไม่ว่าจะอย่างไรมนุษย์ก็ไม่สามารถทำนายหรือสังเกตได้ ความเร็วแสงคือความเร็วที่เร็วที่สุดในจักรวาล…… เห็นเมื่อไหร่ก็คือถึงเมื่อนั้น ป้องกันไม่ได้เลย」
「นั่นเลยนะที่ผมสงสัยตลอดในงานเขียนแนวหุ่นยนต์ต่อสู้ ฉากที่หลบเลเซอร์ด้วยการหมุนตัวเนี่ย มันทำได้ยังไงกัน……ตามหลักแล้วอาวุธแสงคงหลบไม่ได้หรอก เพราะความเร็วแสงมันเร็วมากจริง ๆ 」
「ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ……ก็คงไม่มีทางแล้วล่ะนะ」ถังซินถอนหายใจ:
「จริง ๆ แล้วทำงานวิจัยมาสักพัก ก็ยิ่งรู้สึกว่ามนุษย์ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน โลกทั้งใบวางอยู่ในจักรวาลก็เหมือนเม็ดทรายเล็ก ๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือตัวบุคคลในประวัติศาสตร์อีก」
「อย่างที่คุณว่านั่นแหละ ถ้ามีพลังทำลายล้างโลกพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วแสงจริง ๆ ก็ไม่มีทางสู้เลย มนุษย์คงทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมการล่มสลายของอารยธรรม」
「ภายในกรวยแสง ล้วนเป็นชะตาฟ้าลิขิต……】」ถังซินกล่าวด้วยความรู้สึก
ไม่มีทางสู้เลย……
หลินเสวียนฟังถังซินพูดโดยไม่ตอบอะไร
เธอพูดถูกแล้ว
ถ้าโลกในอีก 600 ปีข้างหน้า แสงสีขาวที่ทำลายล้างโลกนั้นพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วแสงจริง ๆ มนุษย์ก็ไม่มีทางสู้เลยจริง ๆ
ความเร็วแสงมันเด็ดขาดขนาดนั้น
“ทุกอย่างภายในกรวยแสงล้วนเป็นชะตาลิขิต” ประโยคนี้ ถังซิน นำมาจากคำกล่าวอมตะในหนังสือ《ดาวซานถี่ภาค 2 ป่ามืด》
ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ไซไฟตัวจริงด้วย
หลินเสวียนคิดว่านักวิจัยกลุ่มนี้คงไม่ค่อยสนใจนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว จากที่ถังซินบอกมา เพื่อนร่วมงานหลายคนของเขาชอบดูหนังไซไฟมาก
ชะตาลิขิตภายในกรวยแสง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
แต่……
ถ้าอยู่เหนือกรวยแสงล่ะ?
สิ่งเดียวที่หลินเสวียนนึกออก ที่อาจจะอยู่เหนือกรวยแสงได้……ก็คือ ค่าคงที่ของจักรวาล
42
พลังลึกลับของตัวเลขลึกลับนี้ น่ากลัวจนสโมสรอัจฉริยะต้องหวั่นเกรง
หวังว่าจะจัดการกับวิกฤตที่อยู่ตรงหน้าให้เร็ว ๆ แล้วค่อยมาไขความหมายของ 42 นะ
「พูดถึงเรื่องนั้น…คุณบอกว่ามีอะไรจะให้ผมใช่ไหม?」
หลินเสวียนและถังซินเดินมาถึงข้างทาง หลินเสวียนพูดขึ้น
「อุ๊ยตาย ดูหนังเพลิน คิดมากไปหน่อย ลืมไปเลย!」 ถังซินเพิ่งจะหลุดออกจากภวังค์แห่งการไตร่ตรองชะตาฟ้าลิขิตของจักรวาล ควักบัตรเข้าชมที่พิมพ์อย่างสวยงามออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท ยื่นให้หลินเสวียน
「ฮิฮิ ของขวัญนะ!」
นี่มัน…
หลินเสวียนถึงกับอึ้งไป
ขนาดและลวดลายการพิมพ์ที่คุ้นเคยนี้…
นี่มันตั๋วเข้าชมคอนเสิร์ตที่ตงไห่ชัด ๆ !
ถึงแม้จะยังไม่ได้สัมผัสด้วยมือ แต่หลินเสวียนก็จำได้ทันที เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน ฉู่อันฉิงเพิ่งส่งมาให้ใบหนึ่ง...ตอนนี้ยังเก็บอยู่ในลิ้นชักอยู่เลย
「ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ที่สำคัญคือฉันอยากให้คุณได้ที่นั่งดี ๆ 」ถังซินเกลี่ยผมข้างหูเบา ๆ ยิ้มแห้ง ๆ ด้วยความเขินอาย:
「ไม่รู้ว่ามะรืนนี้คุณว่างรึเปล่า...วงเราซ้อมกันมานานมากแล้ว ฉันว่าน่าจะดีทีเดียว หัวหน้าวงก็ให้ความสำคัญกับฉันด้วยนะ ถึงขนาดให้ตำแหน่งหัวหน้าไวโอลินเลย...ถ้าคุณว่าง ลองมาดูการแสดงของฉันหน่อยสิ」
หลินเสวียนรับตั๋วจากมือเธอ
ดูสิ
บังเอิญจัง
ก็ที่นั่งวีไอพีเหมือนกัน
ปกติแล้ว งานแสดงแบบนี้ ทางผู้จัดจะแจกตั๋วแค่ไม่กี่ใบ ก็จะเป็นที่นั่งทั่วไป ไม่มีทางได้ที่นั่งวีไอพีหรอก
ดังนั้นตั๋ววีไอพีใบนี้ ถังซินคงต้องดิ้นรนพอสมควรกว่าจะได้มา...เธอไม่ใช่ฉู่อันฉิง เจ้าหญิงน้อยแห่งตงไห่ ที่มีฉู่ซานเหอตะเกียงวิเศษประจำตัว เลยต้องใช้เวลานานขนาดนี้กว่าจะหาตั๋วมาให้ได้
พูดจริง ๆ นะ...
ถ้าถังซินไม่พูด หลินเสวียนเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
「งั้นผมต้องไปดูการแสดงของคุณแน่ ๆ 」
หลินเสวียนยิ้มแล้วพูด
「ถึงแม้ความรู้เรื่องดนตรีของผมจะไม่ค่อยดีนัก แต่เป็นการแสดงของเพื่อนสมัยเรียนนี่นา ผมก็ต้องไปให้กำลังใจคุณหน่อยสิ」
「อุ๊บส์ งั้นฉันต้องแสดงให้ดี ๆ ซะแล้วล่ะ!」
พอได้ยินหลินเสวียนตกลงไป ถังซินก็หัวเราะด้วยความดีใจ
หลินเสวียนเก็บตั๋วใบนั้นใส่กระเป๋า...รวมกับที่ฉู่อันฉิงให้มา ตอนนี้เขามีตั๋วเข้าชมคอนเสิร์ตที่นั่งพิเศษถึงสองใบแล้ว
เดี๋ยวค่อยชวนเกาหยางไปด้วยดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเก้อเขิน ค่อย ๆ คุยกับคนที่นั่งข้าง ๆ ดู น่าจะไม่ว่าอะไรถ้าขอเปลี่ยนที่นั่งเพื่อให้ตัวเองกับเกาหยางได้นั่งด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นฉู่อันฉิงหรือถังซิน ทั้งสองคนก็ตั้งใจส่งตั๋วมาให้ หลินเสวียนก็เลยไม่อยากทำให้ความหวังดีของพวกเขาผิดหวัง
……
วันต่อมา หลินเสวียนเก็บตั๋วทั้งสองใบใส่ลิ้นชักโต๊ะทำงาน แล้วก็เอาเอกสารไปที่ห้องทำงานของจ้าวอิงจวิ้นเพื่อทำงานประจำวัน
ตอนนี้เขาต้องไปที่ห้องทำงานของจ้าวอิงจวิ้นหลายรอบต่อวัน เพราะมีงานที่เกี่ยวข้องกับความลับของบริษัทมากมาย
พิมพ์รหัสผ่านประตูอย่างคล่องแคล่ว หลินเสวียนก็เดินเข้าไป
จ้าวอิงจวิ้นก็ชินกับการมาของหลินเสวียนแล้ว จึงเริ่มถามถึงเรื่องงานทันที
สองคนทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้นมาก
จ้าวอิงจวิ้นช่วงนี้ดูไม่เหนื่อยล้าเหมือนแต่ก่อนแล้ว หน้าตาสดใสขึ้นมาก พนักงานในบริษัทหลายคนเม้าท์กันว่าคุณจ้าวอ่อนโยนลงเยอะเลย
อารมณ์คนเรามันก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกน่ะนะ งานไม่ยุ่ง อารมณ์ก็ดีขึ้นเป็นธรรมดา
「หลินเสวียน คุณสนใจด้านดนตรีและการเต้นรำอยู่ใช่ไหม」
「ห๊ะ? 」
หลินเสวียนถึงกับอึ้งเล็กน้อย ไม่รู้จะตอบยังไงดี
「ก็พอได้อยู่หรอกครับ」
จ้าวอิงจวิ้นจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมกัน?
หรือว่าเรื่องที่ฉู่อันฉิงเอาบัตรคอนเสิร์ตมาส่งที่บริษัทวันนั้น เธอรู้เข้าแล้ว?
บางทีฉู่อันฉิงอาจจะบอกจ้าวอิงจวิ้นไปตรง ๆ สองคนนี้ดูสนิทกันดี อาจจะชวนจ้าวอิงจวิ้นไปด้วยก็ได้ ฉู่อันฉิงต้องมีบัตรเหลือเยอะแน่ ๆ
「มีคนให้บัตรคอนเสิร์ต《ดนตรีเฟสติวัลเมืองตงไห่》มาสองใบ เป็นคืนพรุ่งนี้ที่ศูนย์ศิลปะตะวันออก」
จ้าวอิงจวิ้นหยิบบัตรเข้าชมที่ดูคุ้นตาเหลือเกินออกมาจากลิ้นชัก...วางบนโต๊ะ พลางยิ้มมองหลินเสวียน
「ไปดูด้วยกันไหมล่ะคะ? 」