บทที่ 462: แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ในสนามประลองของการแข่งขันผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับมัธยมปลายแห่งชาติยกเว้นเพียงกลุ่มนักเรียนที่สวมชุดนักเรียนสีน้ำเงินเข้มที่เงียบขรึมอยู่ที่มุมหนึ่ง ที่เหล่าผู้ชมต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
“ถึงจะจบเร็วไปหน่อย แต่โคตรมันเลย!”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสัตว์อสูรประเภทผีจะสามารถฝึกทักษะพลังจิตได้แข็งแกร่งขนาดนี้!”
“สุดยอด! ใช้ใยสายฟ้าของคู่ต่อสู้มาจัดการเขาเอง นี่มันอัจฉริยะชัดๆ!”
“ถึงคิดออกก็ใช่ว่าจะทำได้หรอก ความชำนาญในการควบคุมพลังจิตมันต้องสูงมากจริงๆ!”
“การแข่งของผู้ที่ได้อันดับหนึ่งจากรอบแบ่งเขตภูมิภาคมันต่างกันจริงๆ ดูเหมือนทุกอย่างอยู่ในกำมือหมดเลย ต่างจากอู๋เหิงซวีคนนั้นที่ไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย!”
“ใช่ โดยเฉพาะรอบก่อนหน้านี้ ที่ต้องสู้กับคู่ต่อสู้ที่ตัวเองเสียเปรียบเรื่องประเภท แต่ก็ยังเอาชนะได้แบบง่ายๆเลยด้วย!”
“เหอะ แบบนี้แหละถึงจะเรียกว่าเป็นระดับประเทศ แม้แต่ในหมู่ผู้เข้าแข่งขันระดับประเทศเองก็ยังมีความแตกต่างอย่างมาก!”
“ว่าแต่ โรงเรียนของเฉียวซางล่ะ? ทำไมไม่มีใครมาส่งเสียงเชียร์เธอบ้างเลย โรงเรียนคิดอะไรอยู่? ได้ผู้เข้าแข่งขันเก่งขนาดนี้แต่กลับไม่มีใครมาเชียร์?”
ภูมิภาคเย่หัว
มณฑลเจ๋อไห่ เมืองฮันกัง
โรงเรียนมัธยมเซินซุ่ย
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ของโรงเรียนเซินซุ่ย เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องตื่นเต้น
“โว้ว จบแล้วเหรอ?! นี่ฉันเดินมาจากห้องเรียนยังใช้เวลานานกว่าการแข่งสองรอบนี้อีก!”
“ใช่เลย! ฉันยังนั่งไม่ทันร้อนเก้าอี้เลย!”
“เทพเฉียวก็ยังคงเป็นเทพเฉียววันยังค่ำ! ไปถึงเวทีระดับประเทศก็ยังไล่ฆ่าไม่หยุด!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานและตื่นเต้นกันอยู่นั้น ผู้อำนวยการหวังเว่ยโต้วก็เดินขึ้นเวทีพร้อมไมโครโฟนในมือ เขาไอกระแอมเบาๆเพื่อเรียกความสนใจ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เราจะคัดเลือกนักเรียนกลุ่มหนึ่งไปยังภูมิภาคจงคงเพื่อเป็นกองเชียร์ มีใครสนใจบ้าง?”
ทันทีที่พูดจบ ห้องประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะระเบิดด้วยเสียงโห่ร้อง นักเรียนแต่ละคนยกมือกันอย่างตื่นเต้นจนแทบอยากจะพุ่งตัวไปตรงหน้าเวที
“ผม! เลือกผม! ผมหล่อ ผมเท่ห์ ผมคูล ไม่ทำให้โรงเรียนเซินซุ่ยเสียหน้าแน่นอน!”
“เลือกฉันค่ะ! ฉันเสียงดังค่ะ! ตะโกนทีเดียวกลบเสียงเชียร์โรงเรียนอื่นได้แน่!”
“เลือกฉัน! ฉันเคยคุยกับเฉียวซางตั้งสามครั้ง! ถ้าฉันไป เธอจะรู้สึกคุ้นเคยและมีกำลังใจในการต่อสู้ค่ะ!”
“เทพเฉียวเข้าร่วมการแข่งในระดับปีสาม ก็ต้องเลือกจากพวกเราปีสามสิ!”
“เฉียวซางอยู่ปีหนึ่งนะ! ต้องเลือกจากพวกเราปีหนึ่งสิ!”
“แต่ถ้าพูดถึงการฝึกในทีมโรงเรียน เธอใช้เวลาส่วนใหญ่กับพวกเราปีสองนะ ดังนั้นต้องเลือกจากพวกเราปีสอง!”
“เลือกปีสามสิ!”
“ต้องเลือกปีหนึ่ง!”
“เลือกปีสองสิ!”
เสียงโต้เถียงและตะโกนดังไปทั่วบริเวณ ผู้อำนวยการหวังเว่ยโต้วมองภาพตรงหน้าพลางพยักหน้าด้วยความพอใจ เขานึกถึงข้อความที่ได้รับจากหลิวเหยาเมื่อไม่นานมานี้ ที่เขาเคยกังวลว่าการหากองเชียร์จะเป็นปัญหา ตอนนี้ดูท่าว่าจะไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว เพราะนักเรียนแต่ละคนต่างกระตือรือร้นกันขนาดนี้!
......
การแข่งขันช่วงแรกของการแข่งขันผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับมัธยมปลายแห่งชาติใช้เวลาทั้งสิ้นสามวันเต็ม
ในระหว่างนั้นเนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมที่มากถึง 65 คนที่ถูกคัดออก ได้มีการจัดการแข่งขันเพิ่มเติมในสนามอีกแห่งหนึ่งเพื่อคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเพียงหนึ่งคนกลับเข้าสู่การแข่งขันระดับประเทศอีกครั้ง
ดังนั้น ผู้ที่เข้าสู่ช่วงที่สองของการแข่งขันระดับประเทศจึงรวมทั้งหมดเป็น 66 คน
ก่อนที่การแข่งขันระดับประเทศในช่วงที่สองจะเริ่มขึ้น เฉียวซางกำลังนั่งอยู่บนหลังหยาเป่าที่ลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง โดยมีระบบนำทางคอยบอกเส้นทาง
เมื่อระดับความสูงเพิ่มขึ้น เธอสังเกตเห็นผู้คนจำนวนมากที่ลอยอยู่ในอากาศ สวมหน้ากากออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจ
ภูมิภาคจงคงมีลักษณะพิเศษคือเป็นพื้นที่ที่สัตว์อสูรประเภทบินได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากภูมิภาคนี้พัฒนาจนสามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างบนก้อนเมฆได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม การสร้างอาคารบนก้อนเมฆนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำให้จำนวนสิ่งปลูกสร้างบนฟ้าก็ยังน้อยกว่าที่อยู่บนพื้นดินอย่างเห็นได้ชัด
ที่สำคัญ สิ่งปลูกสร้างทุกแห่งที่ตั้งอยู่บนก้อนเมฆล้วนเป็นผลงานที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการก่อสร้าง
หนึ่งในสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของภูมิภาคจงคงก็คือสนามประลองสัตว์อสูรจักรวรรดินครซึ่งตั้งอยู่บนก้อนเมฆ
และสถานที่จัดการประมูลมู่เจินก็อยู่ในสิ่งปลูกสร้างบนก้อนเมฆเฉกเช่นเดียวกัน
ระหว่างการเดินทาง ซุนเป่ามองไปยังผู้คนที่สวมหน้ากากคล้ายหมวกกันน็อคด้วยความสงสัย ก่อนจะส่งเสียงถาม
"ซุนซุน?"
พวกเขาใส่อะไรอยู่เหรอ?
เฉียวซางหันมาตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“นั่นคือหน้ากากออกซิเจน”
"ซุนซุน?"
แล้วใส่หน้ากากออกซิเจนไปทำไม?
เธออธิบายต่อ “เพราะบินขึ้นมาสูงมาก ออกซิเจนมันน้อย คนเลยต้องใช้หน้ากากช่วยหายใจ”
"ซุนซุน?"
แล้วทำไมเจ้านายไม่ต้องใส่?
เฉียวซางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็น “เพราะทั้งหยาเป่าและลู่เป่าต่างก็วิวัฒนาการแล้ว และฉันเองก็มีแกคอยช่วยสนับสนุนพลังด้วย มันเพียงพอที่จะทำให้ฉันอยู่บนความสูงนี้ได้”
ภูมิภาคจงคงมีคำอธิบายที่ชัดเจนว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับ D สามารถบินขึ้นไปบนเมฆได้โดยไม่ต้องสวมหน้ากากออกซิเจน
แม้ว่าเฉียวซางยังไม่ได้เข้าทดสอบอย่างเป็นทางการ แต่ความสามารถของเธอก็เทียบเท่ากับระดับ D แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง
"ซุนซุน!"
อ๋อ~ เข้าใจแล้ว!
ซุนเป่าพยักหน้าเบาๆพร้อมทำหน้าตาเหมือนเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ไม่นานมันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมา ก่อนจะถอดวงแหวนมิติออก แล้วคุ้ยหาอะไรบางอย่างจากข้างใน
ไม่นาน มันก็หยิบหมวกเสมือนจริงที่ไม่ได้ใช้มานานออกมาแล้วสวมลงบนหัวของมัน
"ซุนซุน~"
ดูสิ แบบนี้เหมือนหน้ากากออกซิเจนไหม?
เฉียวซางหันมามองมัน ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งด้วยสีหน้าที่ปั้นยาก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หยาเป่าก็มาหยุดลงตรงหน้าอาคารสีขาวขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราและสง่างาม
ผู้คนมากมายที่แต่งกายด้วยชุดทางการและชุดราตรีกำลังทยอยเดินเข้าสู่อาคารแห่งนี้
เฉียวซางก้าวลงจากหลังหยาเป่า ก่อนจะก้มมองก้อนเมฆที่ดูนุ่มนวลเหมือนขนมสายไหมใต้เท้า
เธอลองย่ำสองสามครั้ง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มบางๆ
“นุ่มกว่าที่คิดแฮะ...”
ก่อนมาถึงที่นี่ เฉียวซางได้ศึกษามาแล้วว่า เมฆที่เธอยืนอยู่ไม่ใช่เมฆธรรมดาที่เรามองเห็นบนฟ้าในชีวิตประจำวัน แต่เป็นเมฆลอยตัวที่ถูกสร้างขึ้นโดยสัตว์อสูรประเภทบิน
เธอย่ำไปบนเมฆนุ่มๆอีกสองสามครั้งก่อนจะอุ้มหยาเป่าที่หดร่างกลับเป็นขนาดเล็กลง แล้วมุ่งหน้าไปยังอาคารสีขาวที่อยู่ไม่ไกล
ในขณะที่เธอเดินไป มีชายหญิงหลายคนที่กำลังเดินเข้าสู่อาคารสีขาวหรูหราเหลียวมองมาด้วยความสงสัย
นี่เด็กบ้านไหนกัน? ทำไมถึงใส่ชุดนักเรียนมางานแบบนี้?
ช่วงเวลานี้ เฉียวซางที่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการแข่งขัน ซึ่งต้องอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก เธอจึงชินกับการถูกจับตามอง
เธออดไม่ได้ที่จะคิดในใจ นี่ฉันเป็นที่รู้จักมากขนาดนี้เลยเหรอ? ชื่อเสียงนี่มันน่าปวดหัวจริงๆ...
เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะปรับสีหน้าให้สงบนิ่ง ยืดหลังตรง แล้วส่งการ์ดเชิญให้กับเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นเธอได้รับป้ายหมายเลข “67” สำหรับการประมูล และเดินเข้าไปข้างใน
สถานที่จัดการประมูลมู่เจินอยู่ที่ชั้นสองของอาคารสีขาว โดยเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว่า 600 ตารางเมตร
พื้นปูด้วยพรมหนานุ่ม เพดานประดับด้วยโคมไฟระย้าคริสตัลสุดหรูที่มีดีไซน์ซับซ้อน
ภายในห้องจัดวางเก้าอี้สีวอลนัทเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ และด้านบนยังมีห้อง VIP ที่ออกแบบด้วยกระจกใสบานใหญ่ที่มองลงมายังพื้นที่ด้านล่างได้
มีห้อง VIP ด้วยเหรอเนี่ย... เฉียวซางมองสำรวจโดยรอบ ก่อนจะดึงสายตากลับมา เธอเดินไปที่โต๊ะยาวซึ่งปูด้วยผ้าปูสีขาว และหยิบขนมขึ้นมาสามชิ้น
เธอแบ่งชิ้นหนึ่งให้หยาเป่า อีกชิ้นให้ซุนเป่า และชิ้นสุดท้ายกินเอง จากนั้นเธอก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในแถวหลังสุด
บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งตัวหรูหราสง่างามในชุดสูทและชุดราตรี
ยิ่งทำให้เฉียวซางซึ่งสวมเพียงชุดนักเรียน ดูโดดเด่นและ “ไม่เข้าพวก” อย่างเห็นได้ชัด
ทุกสายตาแทบจะหลบไม่ได้จากเด็กสาวที่นั่งอยู่แถวหลังสุด เธอเป็นจุดสนใจโดยไม่ได้ตั้งใจ ท่ามกลางความหรูหราและเคร่งขรึมของงานประมูลครั้งนี้