บทที่ 19 บทเพลงทำลายกระบวนทัพ
เมื่อก้าวเข้าสู่อุทยานหลวง เว่ยหยวนอดชื่นชมรสนิยมของหนานเจาตี้ไม่ได้
ทะเลสาบต้าเว่ยในอุทยานหลวงเปรียบดั่งกระจกเงาที่ฝังอยู่ใจกลางสวน บนผิวน้ำมีดอกบัวประปราย คลื่นสีเขียวมรกตระลอกเบาๆ
สะพานหิน ศาลา ประติมากรรมและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ผสานกลมกลืนกับธรรมชาติ ดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่งแข่งขันความงาม สีสันสดใสราวกับภาพวาดอันงดงาม
ณ ศาลากลางทะเลสาบ หนานเจาตี้ในฉลองพระองค์มังกรประทับบนม้านั่งหินพลางจิบชา เบื้องหลังมีแม่ทัพองครักษ์และขันทีสี่นาย นางกำนัลสี่นาง
เบื้องหน้าพระที่นั่งมีเหลียงปู้เว่ย ท่านอาจารย์เหวิน หวังโส่วเหอ และไช่คุน ราชบัณฑิตที่ใบหน้าบวมปูดเป็นหัวหมูยืนอยู่
เว่ยป๋อเยว่ปล่อยพลังภายในแต่ไกล "แม่ทัพเฒ่าเว่ยป๋อเยว่ ถวายบังคมฝ่าบาท!"
เสียงของเว่ยป๋อเยว่ดังกังวานไปไกลถึงห้าลี้
เว่ยป๋อเยว่คว้าตัวเว่ยหยวนไว้ ใช้วิชาตัวเบาเหินน้ำดั่งเมฆหมอกขึ้นสู่ศาลา
หนานเจาตี้ยิ้มให้เว่ยป๋อเยว่ "ท่านเว่ย วันนี้ที่เราเรียกท่านมา ก็เพราะเรื่องเมื่อวาน..."
ไม่ทันที่หนานเจาตี้จะตรัสจบ เว่ยป๋อเยว่ก็หันไปพูดกับหัวหน้าองครักษ์หลวง "หานซู่ เห็นชีพจรของเจ้าพลุ่งพล่าน คงจะมีความก้าวหน้าในการฝึกฝนสินะ!"
"ทูลท่านเว่ย กระหม่อมโชคดีได้บรรลุขั้นใหม่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ"
"เป็นองครักษ์ของฝ่าบาท มีแค่วรยุทธ์สูงอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักการต่อสู้จริงด้วย มาประลองกับข้าสักยกเถอะ!"
เว่ยป๋อเยว่กระโดดลงทะเลสาบต้าเว่ย ยืนขาเดียวบนใบบัวดั่งไก่ทอง
"ฝ่าบาท พ่ะย่ะค่ะ..."
หานซู่เห็นหนานเจาตี้พยักพระพักตร์ จึงกระโดดขึ้นไปยืนบนใบบัวตรงหน้าเว่ยป๋อเยว่
"หานซู่ เจ้าเคยฝึกวิชากับข้าสามปี นับเป็นศิษย์ของข้าคนหนึ่ง วันนี้ข้าจะมาตรวจการบ้านเจ้า ดูว่าปีที่ผ่านมาเจ้าหย่อนยานหรือไม่!"
เว่ยป๋อเยว่ถือไม้เท้าหัวมังกรทองคำ ฟาดลงมาด้วยท่าผ่าภูผา
หานซู่ชักดาบขึ้นรับ เพียงไม่กี่อึดใจ ทั้งสองก็ประมือกันนับสิบกระบวนท่า
จู่ๆ พลังรอบกายเว่ยป๋อเยว่พลันพุ่งสูง ไม้เท้าหัวมังกรฟาดหานซู่จมลงทะเลสาบ
เว่ยป๋อเยว่ลอยตัวกลางอากาศ ร่างสง่าผ่าเผย บารมีสูงเด่นดั่งขุนเขา เกราะทองคำเปล่งประกายวับวาวใต้แสงตะวันและผิวน้ำ ราวกับเทพสงครามเสด็จลงมา
หนานเจาตี้ผุดลุกขึ้น "ท่านเว่ย ร่างกายของท่าน..."
"ขอบคุณหลานชายข้า โชคดีได้เห็ดหลิงกวานจื่อมาหนึ่งดอก ทำให้ข้าต่ออายุได้ห้าปี!"
"ห้าปี!"
สีพระพักตร์หนานเจาตี้สดใส เว่ยป๋อเยว่คือเทพสงครามแห่งต้าเว่ย แม่ทัพผู้พิทักษ์แผ่นดิน ตราบใดที่เขายังไม่ตาย พวกคนคิดคดทรยศในแผ่นดินก็ไม่กล้าก่อการกบฏ
เมื่อคืนที่สนทนากัน เว่ยป๋อเยว่บอกว่าเหลือชีวิตอีกเพียงปีเดียว มีเวลาให้แก้สถานการณ์แค่ปีเดียว
แต่บัดนี้ต่ออายุได้ห้าปี นั่นหมายความว่าพระองค์มีเวลาเพิ่มอีกสี่ปีในการคลี่คลายสถานการณ์
เว่ยป๋อเยว่กลับขึ้นศาลา หนานเจาตี้รีบเชิญให้นั่ง "ท่านพ่อ สุขภาพของท่านแข็งแรง นับเป็นข่าวดีที่เราเฝ้ารอจนนอนไม่หลับ"
ตรัสจบก็โบกพระหัตถ์เรียกเว่ยหยวน "หลานรัก หลายวันไม่ได้พบ กลับกลายเป็นคนหนุ่มหน้าตาดี รีบมานั่งกับเราเถิด"
"ฝ่าบาท ควรรักษาความเหมาะสมระหว่างชนชั้น ขอทูลปฏิเสธการนั่งพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่เป็นไร ที่นี่คืออุทยานหลวง ไม่ใช่ท้องพระโรง จึงไม่มีธรรมเนียมเจ้าขุนมูลนาย"
หนานเจาตี้ทรงปฏิบัติดั่งผู้อาวุโสใจดี ดึงเว่ยหยวนให้นั่งข้างพระองค์
"ท่านอาจารย์เหวิน ทั้งท่านพ่อและหลานของเรามาพร้อมแล้ว ท่านมีอะไรจะพูด ว่ามาได้"
การเปลี่ยนคำเรียกเว่ยป๋อเยว่ของหนานเจาตี้ ท่านอาจารย์เหวินจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
การเป็นขุนนาง โดยเฉพาะผู้ที่นั่งตำแหน่งอาจารย์หลวง จะไม่รู้จักอ่านพระทัยได้อย่างไร
ท่านอาจารย์เหวินประนมมือคำนับหนานเจาตี้ "ฝ่าบาท ข้าน้อยขอถวายฎีกา กล่าวโทษหวังเถิงจากตระกูลหวังที่ติดการพนัน เอาบุตรสาวข้าน้อยไปจำนำเป็นเงินพนัน"
เหลียงปู้เว่ยผู้ซื่อบื้อ งุนงงพูด "ไม่ถูกนี่ ท่านอาจารย์เมื่อครู่ไม่ได้พูดแบบนี้นะ ท่านบอกว่าลูกข้ากับเว่ยหยวนโกงการพนัน แล้วยังจะแย่งชิงบุตรสาวท่าน..."
ท่านอาจารย์เหวินส่ายหน้าไม่หยุด "ไม่มีเรื่องนั้น องค์ชายเหลียงคงฟังผิดไป!"
หนานเจาตี้หันไปทางหวังโส่วเหอ "ขุนนางหวัง ท่านมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้"
หวังโส่วเหอกัดฟันกลืนความโกรธลงท้อง
"บุตรชายข้าน้อยหวังเถิงหนีคดีไปแล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดที่ข้าน้อยสั่งสอนบุตรไม่ดี!"
"เช่นนั้น เราจะเป็นพยาน ยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างตระกูลหวังและตระกูลเหวิน ตระกูลหวังยินดีชดใช้ให้ท่านอาจารย์สองหมื่นต้าเหลียง สินสอดคืนให้ครบ"
หนานเจาตี้ตรัสถึงตรงนี้ พระเนตรเย็นเยียบจ้องหวังโส่วเหอ
ตระกูลหวังคือหัวหน้าตระกูลแปดสำนักขุดหลุมศพ เรื่องนี้หนานเจาตี้ทรงทราบดี
การขุดหลุมศพเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ ดังนั้นแทนที่จะปราบปราม ก็ให้น้ำไหลลงทะเล ให้ตระกูลหวังเป็นต้นน้ำดีกว่า
หนานเจาตี้เคยแนะนำตระกูลหวังไว้ว่า เมื่อท้องพระคลังว่างเปล่า ตระกูลหวังต้องเติมเต็ม หากขุดพบของวิเศษดีๆ ต้องถวายพระองค์
แต่บัดนี้มีของดีอย่างเห็ดหลิงกวานจื่อ ตระกูลหวังกลับไม่คิดจะถวาย ทำให้หนานเจาตี้ทรงกริ้ว จึงถือโอกาสนี้ลงโทษเสียหน่อย
ท่านอาจารย์เหวินมีหัวใจที่เฉลียวฉลาด โบกมือปฏิเสธทันที "ฝ่าบาท ข้าน้อยเห็นว่าบุตรชายคนรองของรองเสนาบดีหวัง หวังเมา เป็นคนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ หากพระองค์จะทรงเป็นพยานในการหมั้นหมาย ให้บุตรสาวข้าน้อยหมั้นกับหวังเมา สินสอดก็ไม่ต้องคืน"
"อนุญาต!"
หนานเจาตี้ตรัสจบ ก็ทรงจับมือเว่ยป๋อเยว่ดั่งคนหนุ่ม "ท่านพ่อ ท่านกับหลานหยวนอยู่ในวังสิ มากินอาหารค่ำกัน"
ท่านอาจารย์เหวินกับหวังโส่วเหอประนมมือ "ฝ่าบาท ข้าน้อยมีธุระที่บ้าน ขออนุญาตทูลลาก่อน"
"วังของข้าไม่มีธุระอะไร อยู่กินข้าวด้วยได้ไหม"
เหลียงปู้เว่ยเพิ่งพูดจบ ก็ถูกท่านอาจารย์เหวินดึงตัวไว้ "ท่านมองไม่ออกจริงๆ หรือว่าควรทำอย่างไร รีบ..."
"รอก่อน!"
เว่ยหยวนจู่ๆ ก็เรียกทุกคนไว้ ยิ้มทูลหนานเจาตี้ "ฝ่าบาท ข้าน้อยเพิ่งมาอุทยานหลวงครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะรู้สึกบันดาลใจทางกวี ขออนุญาตแต่งบทกวีสักบทได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
หนานเจาตี้ทรงชะงัก นึกถึงตอนที่คนผู้นี้เคยแต่งในสำนักศึกษา "แผ่นหนึ่ง แผ่นสอง แผ่นสามสี่..." จนกลายเป็นเรื่องขบขันไปทั่วต้าเว่ย
ได้ฉายาว่าความอัปยศของวงการกวี แค่นี้ก็จะอ้างว่าบันดาลใจทางกวี...
หนานเจาตี้หันไปมองขันทีน้อยที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง แล้วส่ายพระเศียรอย่างจนใจ "ว่ามา!"
"แค่ก แค่ก!"
เว่ยหยวนกระแอมสองที เอามือไพล่หลังข้างหนึ่ง ก้าวสองก้าว ท่าทางคล้ายคุณชายผู้สง่างาม ปราชญ์ผู้มีรสนิยม
"ทะเลสาบต้าเว่ย ต้าเว่ยใหญ่!"
"หืม?"
ทุกคนในที่นั้นต่างก้มหน้าอย่างกระอักกระอ่วน
เพียงจากประโยคแรก พวกเขารู้เลยว่านี่ไม่ใช่อะไรเลย...
เว่ยหยวนกล่าวต่อ "ทะเลสาบต้าเว่ย ต้าเว่ยใหญ่ ในทะเลสาบต้าเว่ยมีดอกบัว บนดอกบัวมีกบนั่ง จิ้มทีมันก็กระโดดโหยง!"
พรวด~
เว่ยป๋อเยว่ที่กำลังจิบชาเพื่อกลบเกลื่อนความอึดอัด พอได้ยินประโยคสุดท้ายก็พ่นชาออกมา กล้ามเนื้อบนใบหน้าชราก็กระตุกไม่หยุด...
ท่านอาจารย์เหวิน หวังโส่วเหอ แม้แต่เหลียงปู้เว่ยที่โง่เง่าก็อดหัวเราะไม่ได้
เว่ยหยวนทำหน้าภูมิใจ ประนมมือกล่าว "ข้าน้อยเว่ยหยวน เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดา ความรู้น้อยนิดเดียว ขออภัยที่ทำให้อับอายพ่ะย่ะค่ะ"
"น่าอายชะมัด กลับบ้านกับข้าเดี๋ยวนี้!"
เว่ยป๋อเยว่สีหน้าเคร่งขรึม คว้าข้อมือเว่ยหยวนไว้
แต่เว่ยหยวนดิ้นหลุด ชี้ไปที่ไช่คุน "ข้าเพียงแต่โยนอิฐชักนำ แต่เขาเป็นราชบัณฑิต ต้องเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แน่ ท่านลองแต่งบทประพันธ์เกี่ยวกับดอกบัวสักบท จะเป็นกลอน โคลง ฉันท์ กาพย์อะไรก็ได้"
หนานเจาตี้ทรงพยักพระพักตร์ ไช่คุนเป็นราชบัณฑิตที่พระองค์ทรงแต่งตั้งเอง ให้เขาด้นบทกวีสักบท ก็จะได้เห็นความแตกต่างชัดเจนกับเว่ยหยวน
ไช่คุนไม่กล้าขัดพระประสงค์ จำต้องก้าวออกมาทั้งที่หน้าบวมเป็นหัวหมู พูดติดอ่าง
"ใบ...ใบเขียวทอดยาวสะท้อนตะวัน แดงบานสะพรั่งในสระนั้น กลิ่นหอมดอกบัวลอยตามลม งามล้ำเลอค่าเหนือโลกา!"
"ดี!"
เว่ยหยวนปรบมือไม่หยุด "บทกวีนี้ไม่เลว เกือบจะทัดเทียมนักเล่านิทานที่สะพานเทียนเชียวนะ ราคาสามอีแปะแปดท่อน"
หนานเจาตี้ขมวดพระขนง แม้จะเป็นการด้นกวี แต่ไช่คุนก็แต่งได้ไม่ดีเลย อย่างมากก็แค่ระดับนักศึกษาเท่านั้น
แน่นอนว่าต้องดีกว่าบทกวีจิ้มกบของเว่ยหยวน แต่เว่ยหยวนเป็นคุณชายเสเพลอันดับหนึ่ง ส่วนไช่คุนเป็นราชบัณฑิต แต่งบทกวีออกมาแบบนี้มันพูดไม่ออกเลย...
เว่ยหยวนตบไหล่ไช่คุนเบาๆ "พี่ไช่ถนัดแต่งกวีแนวห้าวหาญ ไม่ถนัดแนวโรแมนติกพวกนี้ เพราะท่านสอบได้ราชบัณฑิตด้วยบทความ 'สู้รบกับหมาป่าสวรรค์' นี่นา"
ตอนนี้ไช่คุนอยากจะคุกเข่าก้มหัวให้เว่ยหยวนสักสองที ช่างเข้าอกเข้าใจเหลือเกิน...
"ใช่ๆ ข้าถนัดแต่งกวีแนวห้าวหาญ!"
"ถ้าอย่างนั้น ก็ลองแต่งบทกวีโดยใช้คุณปู่ของข้าเป็นหัวข้อสิ"
"คราวนี้ข้าจะโยนอิฐชักนำอีกครั้ง!"
เว่ยหยวนทำหน้าจริงจังกล่าว "ดื่มสุราส่องตะเกียงดูดาบ ฝันถึงเสียงแตรในค่ายทหาร แปดพันลี้ใต้ธงนำทัพ ห้าสิบสายพิณดังนอกด่าน ทุ่งรบฤดูใบไม้ร่วงตรวจพล..."
เว่ยป๋อเยว่ที่กำลังละอายจนต้องเอามือปิดหน้า เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง
"นี่มันจะเป็นบทกวีที่แกแต่งได้จริงๆ หรือ ไอ้หลานเต่า?"
เว่ยหยวนกล่าวต่อ "สิ้นแล้วภารกิจของจักรพรรดิ์ในใต้หล้า ได้มาซึ่งชื่อเสียงทั้งยามเป็นและตาย น่าสงสารเส้นผมขาวโพลน!"
"บทเพลงทำลายกระบวนทัพ - ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เว่ยหยวนมอบให้ป๋อเยว่"
"ดี! ดี! ดี!"
หนานเจาตี้ทรงปรบพระหัตถ์พลางตรัสคำว่า 'ดี' สามครั้ง และทรงเอ่ยชื่นชม "สมแล้วที่เป็นยอดปราชญ์แห่งต้าเว่ย"
ต่อมาคนอื่นๆ ก็พยักหน้าตาม ในความคิดของพวกเขา บทกวีที่งดงามตระการตาเช่นนี้ ย่อมจะต้องถูกจารึกไว้ในประวัติวรรณคดีอย่างแน่นอน
ดังนั้นบทกวีนี้คงเพิ่งแต่งขึ้นเมื่อไม่นานและยังไม่ได้เผยแพร่ ต้องเป็นผลงานของจูซือป๋อ ยอดปราชญ์แห่งต้าเว่ยอย่างแน่นอน
ส่วนการอ้างว่าเว่ยหยวนเป็นผู้แต่งนั้น ไม่มีใครเชื่อหรอก...