บทที่ 75 เทพผู้พิทักษ์วังหลิงเซียว
###
เมื่อจางจิ่วหยางเห็นภาพในจิตของตน ซึ่งปรากฏเป็นเทพเจ้าผู้เหยียบวงล้อเพลิง ดวงตาแดงฉานด้วยโทสะ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
เป็นเทพผู้พิทักษ์แห่งลัทธิเต๋า “หวังหลิงกวน” อย่างนั้นหรือ!
ในชาติที่แล้ว เขาเคยได้ฟังเรื่องราวของหวังหลิงกวนจากปากของปู่ และรู้สึกเคารพนับถือเทพผู้พิทักษ์อันทรงพลังท่านนี้อย่างมาก
ลัทธิเต๋ามีเทพผู้พิทักษ์ห้าร้อยองค์ โดยหวังหลิงกวนถือเป็นผู้นำของเหล่าเทพทั้งหมด และได้รับขนานนามว่า “ตู้เทียนต้าหลิงกวน”
ตามตำนานเล่าว่า หวังหลิงกวนมีชื่อเดิมว่า “หวังเอ้อ” เป็นเทพแห่งวัดลอยน้ำที่เมืองเซียงอิน ไม่ทราบด้วยเหตุใด เขาจึงเกิดความบาดหมางกับซาซั่วเจี้ยน หนึ่งในสี่ปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า ซาซั่วเจี้ยนได้เรียกสายฟ้าฟาดลงมาทำลายวิหารของหวังเอ้อ แต่กลับทำให้หวังเอ้อกลายเป็นเทพผู้มีดวงตาเพลิงและทองคำแทน
หวังเอ้อไม่ยอมแพ้ จึงไปฟ้องร้องต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งพระองค์ได้ประทานดวงตาพิเศษและแส้ทองให้ พร้อมกับอนุญาตให้เขาติดตามซาซั่วเจี้ยน หากพบความผิดใด ก็สามารถแก้แค้นได้ทันที
ตลอดสิบสองปี หวังเอ้อเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยดวงตาพิเศษ แต่ไม่พบว่าซาซั่วเจี้ยนกระทำผิดแม้แต่น้อย จนกระทั่งเมื่อไปถึงแคว้นหมิ่น หวังเอ้อได้ปรากฏตัวต่อหน้าซาซั่วเจี้ยนและขอเป็นศิษย์ พร้อมให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลือในการเผยแผ่ธรรมะ
ซาซั่วเจี้ยนจึงเปลี่ยนชื่อจาก “หวังเอ้อ” เป็น “หวังซาน” และเสนอให้เง็กเซียนฮ่องเต้บันทึกเขาเป็นนายพลแห่งกองไฟและสายฟ้า หรือที่รู้จักกันในนาม “โพหลัวหลิงกวน”(เทพพิทักษ์ทำลายมาร)
แม้ว่าผู้คนในยุคหลังจะไม่ค่อยรู้จักหวังหลิงกวนมากนัก แต่หากใครเคยไปวัดเต๋า ก็มักจะพบกับรูปเคารพของเขาในวิหารแรกภายในวัด ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสำนวนว่า “จะขึ้นเขาหรือไม่ขึ้นเขา ต้องไหว้หวังหลิงกวนก่อน”
แม้แต่องค์จักรพรรดิหมิง ย่งเล่อฮ่องเต้ จูตี้ ยังเป็นผู้ศรัทธาในหวังหลิงกวนอย่างมาก พระองค์ได้สร้างรูปเคารพนายพลทั้งยี่สิบหกนาย โดยมีหวังหลิงกวนเป็นผู้นำ
จูตี้ยังมีรูปหวังหลิงกวนที่ทำจากเถาวัลย์ซึ่งพระองค์บูชาในห้องบรรทมอย่างเคร่งครัด และแม้ในยามทำศึกสงคราม พระองค์ก็จะนำรูปเคารพของหวังหลิงกวนไปด้วยเสมอ เพื่อเป็นเทพผู้พิทักษ์กองทัพ
กระทั่งครั้งที่ห้าซึ่งพระองค์ยกทัพไปทำศึกที่แม่น้ำจินชวน รูปเคารพของหวังหลิงกวนกลับหนักจนยกไม่ขึ้น ต่อมาไม่นาน พระองค์ก็ประชวรหนักและสวรรคตระหว่างทางกลับเมืองหลวง
ในนิยายเรื่อง “ไซอิ๋ว” ตอนที่ซุนหงอคงหนีออกจากเตาหลอมและบุกวังหลิงเซียว เขาได้ปะทะกับหวังหลิงกวน ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดโดยไม่มีฝ่ายใดพ่ายแพ้
“สู้กันจนเหนื่อยล้าแต่ยังคงไม่อาจตัดสินผู้ชนะ”
หวังหลิงกวนมีดวงตาสามดวงที่สามารถมองเห็นทุกสิ่งทั่วหล้า และเหยียบวงล้อเพลิงคล้ายกับนาจา อีกทั้งยังสามารถต่อสู้กับซุนหงอคงได้โดยไม่เป็นรองแต่อย่างใด จึงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา
ก่อนที่จะข้ามมิติ จางจิ่วหยางเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ภูเขาจิ่วฮวา(เก้าดอกไม้)ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพุทธศาสนา เขาพบเรื่องแปลกประหลาดบางอย่าง
ภูเขาจิ่วฮวาเป็นสถานที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ แต่เทพผู้พิทักษ์กลับเป็นหวังหลิงกวนแห่งลัทธิเต๋า
เขาเคยค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้และพบว่าเดิมทีภูเขาจิ่วฮวาเคยเป็นสถานที่ของหวังหลิงกวนมาก่อน แต่ถูกพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ครอบครองไป และได้นำพระเวทโพธิสัตว์ผู้พิทักษ์ของพุทธศาสนาอย่างเวทโพธิสัตว์มาดูแลสถานที่แทน
แต่ไม่นานนัก ภูเขาจิ่วฮวาก็เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น
ต้องทราบว่าหวังหลิงกวนเป็นเทพแห่งกองไฟและสายฟ้า ผู้มีอำนาจในการควบคุมเพลิงฟ้า
สุดท้ายจึงต้องเชิญหวังหลิงกวนกลับมาประดิษฐานที่ภูเขาจิ่วฮวาในฐานะเทพผู้พิทักษ์ ซึ่งทำให้ทุกอย่างสงบลงตั้งแต่นั้นมา
แม้แต่พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์และพระเวทโพธิสัตว์ยังต้องยอมให้กับอำนาจของเขา แสดงให้เห็นถึงความดุดันของหวังหลิงกวน
จางจิ่วหยางรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก หวังหลิงกวนเป็นเทพผู้มีอำนาจในการควบคุมเพลิงฟ้าและสายฟ้า นี่อาจหมายความว่าเขาจะมีโอกาสได้เรียนรู้วิชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองประเภทนี้
วิชาอัสนีของเยวี่ยหลิงเคยทำให้เขารู้สึกทึ่งมาก ในฐานะผู้ฝึกตน ใครบ้างจะไม่อยากฝึกวิชาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งศาสตร์?
เหยียบเพลิงสวรรค์ บังคับกระบี่บิน เรียกสายฟ้า!
เขาจินตนาการถึงภาพอันงดงามเหล่านั้น แต่กลับพบว่าภายในร่างของตนเองเริ่มมีความร้อนแผ่ซ่านเข้ามา สภาพผิวหนังร้อนระอุคล้ายกับถูกเผาด้วยเปลวไฟ
ความโกรธเกรี้ยวบางอย่างปะทุขึ้นในใจ เขารู้สึกเหมือนต้องปลดปล่อยออกมา มิฉะนั้นจะทนไม่ไหว
จู่ ๆ เขาก็นึกถึงตอนที่เขาได้รับภาพจงขุยกลืนผี ซึ่งทำให้เขาได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ในการกินปีศาจ นั่นคือพลังเฉพาะตัวของจงขุย
หากคิดเช่นนั้น ในเมื่อเขามีภาพหวังหลิงกวนแล้ว บางทีเขาอาจจะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของหวังหลิงกวนเช่นกัน?
“อา!”
อาหลี่ที่กำลังจับนิ้วมือของจางจิ่วหยางอยู่ต้องรีบสะบัดมือออกอย่างตกใจ คล้ายกับถูกความร้อนลวก นางมองเขาด้วยสายตาแปลกใจปนหวาดหวั่น
“พี่จิ่ว ทำไมพลังหยางของพี่ถึงได้รุนแรงขึ้นขนาดนี้?”
ด้วยพลังหยินของนางยังรู้สึกถึงความร้อนราวกับถูกเผาได้เช่นนี้
ความโกรธเกรี้ยวและความร้อนภายในจิตใจของจางจิ่วหยางทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของเขาเริ่มแฝงไปด้วยความดุร้าย ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และหยุดลงที่ร่างหนึ่ง
นั่นคือหลินเซี่ยจื่อที่ร่างกายเต็มไปด้วยพิษและล้มอยู่บนพื้น
เมื่อผีสวรรค์ถูกกลืนกิน สิ่งที่หลินเซี่ยจื่อพึ่งพามาตลอดก็หายไป อีกทั้งร่างกายของเขาก็ใกล้จะพังทลาย หลินเซี่ยจื่อรู้ดีว่านี่คือจุดจบของเขาอย่างแท้จริง
เขาเคยคิดว่าตนเองเข้าใจความลับของจางจิ่วหยางแล้ว แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น
ศิษย์ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา กลับกลายเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของโลกใบนี้
“เทียนจุนต้องสนใจเขาแน่นอน…”
เมื่อคิดเช่นนั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเขา แม้แต่ชีวิตอันยาวนานของเขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นและอยากเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น
เขาเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เผยให้เห็นฟันที่เหลืองดำจากพิษ
ปัง!
จางจิ่วหยางซัดหมัดใส่หน้าของหลินเซี่ยจื่อเต็มแรง แต่ยังไม่สาแก่ใจ เขาหยิบก้อนหินจากพื้นขึ้นมาและฟาดใส่ร่างของหลินเซี่ยจื่ออย่างไม่หยุดหย่อน หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…
ไม่รู้ว่าเขาทำเช่นนี้ไปกี่ครั้ง จนกระทั่งก้อนหินแตกเป็นผง เขาจึงหยุดลง มองไปที่ฟันเปื้อนเลือดที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น พลางหอบหายใจหนักด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ข้าทนเห็นฟันเจ้ามานานแล้ว!”
เขาลุกขึ้นยืน ลดสายตาลงมองหลินเซี่ยจื่อด้วยแววตาที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา
หลินเซี่ยจื่อพ่นเลือดออกมาก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
“จางจิ่วหยาง การเอาชนะคนคนหนึ่งอย่างแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่มันคือ—อ๊าก!”
จางจิ่วหยางชักดาบปราบมารออกมาและปักลงไปที่กุ๊ดกู๋ของหลินเซี่ยจื่อ จากนั้นหมุนดาบอย่างช้า ๆ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“แต่ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้สึกถึงความเจ็บปวดเท่านั้น”
พูดจบ เขาดึงดาบที่เปื้อนเลือดออกมา ก่อนจะเสียบลงไปที่กระดูกสะบ้าของหลินเซี่ยจื่อ
“วันนี้ ข้าจะตัดแขนขาเจ้าให้หมด!”
เลือดไหลนองพื้น ราวกับลำธารสายเล็ก ๆ
ไม่ไกลนัก เกาเหรินเผยสีหน้าเป็นกังวล เตรียมจะเข้าไปห้าม แต่กลับถูกเยวี่ยหลิงขวางไว้
“หัวหน้าเยวี่ย หลินเซี่ยจื่อเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักอิงซาน เขาต้องรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับแม่น้ำเหลือง หากปล่อยให้ตายไปง่าย ๆ มันจะไม่เสียดายเกินไปหรือ?”
เยวี่ยหลิงจ้องมองจางจิ่วหยางด้วยสายตาซับซ้อนก่อนจะกล่าวเบา ๆ
“ปล่อยให้เขาระบายออกบ้าง ช่วงนี้เขาเก็บกดความโกรธแค้นไว้มากเกินไป”
เธอเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้าก็อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับแม่น้ำเหลืองมากกว่านี้เหมือนกัน แต่หลินเซี่ยจื่อเป็นนักพรตปีศาจ หากเขาตั้งใจจะตาย เราคงไม่มีทางห้ามได้”
เกาเหรินเงียบไป ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเยวี่ยหลิงพูดถูก
ดูจากสภาพแล้ว หลินเซี่ยจื่อคงอยู่ได้อีกไม่นาน ถึงแม้ฉินเทียนเจี้ยนจะมีวิชาควบคุมวิญญาณและสอบสวนได้ แต่การจะบังคับผู้นำที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักอิงซานให้พูดออกมา คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อีกเรื่องที่เกาเหรินไม่ได้พูดออกมา คือเรื่องของจางจิ่วหยาง
เด็กหนุ่มธรรมดาที่อยู่ในขั้นสองของการฝึกตน กลับสามารถอัญเชิญเทพเจ้าผู้สวมเสื้อคลุมแดงที่น่าหวาดกลัวออกมาได้ อีกทั้งยังสามารถกลืนกินผีสวรรค์ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา และกระทั่งสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้
จางจิ่วหยาง… เขาเป็นใครกันแน่?
หรือว่าเขาจะเป็นเซียนกลับชาติมาเกิดตามตำนาน?
“ถนนแม่น้ำเหลือง ประตูผี สิบหลักแห่งฟ้า ความโกลาหลในโลกมนุษย์…”
หลินเซี่ยจื่อหอบหายใจอย่างหนัก ขณะที่มองไปยังจางจิ่วหยางพร้อมกับรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง
“เสี่ยวจิ่ว ศิษย์รักของอาจารย์ ก่อนจากกันอาจารย์จะมอบของขวัญชิ้นสุดท้ายให้เจ้า แน่นอน…”
“ของขวัญชิ้นนี้…ต้องมีราคาที่ต้องจ่าย”
……
จากผู้แปล หวังหลิงกวน มิใช่ เอ้อหลางเสิน