บทที่ 60 กระบี่
บนเรือลำน้อย ทั้งสามคนต่างตกอยู่ในความเงียบงันครู่ใหญ่
จี๋โม่ฮวาเสวี่ย หวนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต หัวใจไม่อาจปลอดโปร่งได้
หนานกงซีเอ๋อร์ ที่เพิ่งทราบว่าศิษย์พี่รองตายเพราะต้องการปกป้องตนเอง จิตใจเต็มไปด้วยความตกตะลึง โกรธแค้น และความรู้สึกผิดจนแทบล้นเอ่อ นางแทบอยากถือกระบี่ขึ้นเขาเหวยหลง ในทันทีเพื่อแก้แค้นแทนศิษย์พี่รอง
มีเพียง ซูไป๋อีที่เงียบอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า
“สำนักสวรรค์ซ่างหลินที่ว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งของใต้หล้า มีดีแค่ไหนกัน?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ
“สำนักสวรรค์ซ่างหลินเมื่อมีซูหานเป็นเจ้าสำนัก กับเมื่อไม่มีเขา เป็นคนละสำนักกัน”
ซูไป๋อีสะดุ้งเล็กน้อย เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ท่านรู้จักเจ้าสำนักซูหานหรือ?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพยักหน้า
“เขาเป็นสหายของบิดาข้า มักมาเยือนเมืองกระบี่จี๋โม่อยู่เสมอ บิดาข้ายกย่องเขามาก ว่าเป็นอัจฉริยะที่ยุทธภพรอคอยมาเนิ่นนาน หากเขายังมีชีวิตอยู่ บางทียุทธภพอาจไม่ใช่เช่นที่เราเห็นในวันนี้”
“ว่าแต่…เจ้าบอกว่าเป็นศิษย์ของพี่ใหญ่เซี่ย” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยเปลี่ยนหัวข้อ “พี่ใหญ่เซี่ยรับศิษย์เมื่อใดกัน?”
ซูไป๋อีเกาศีรษะก่อนตอบ
“เมื่อข้ายังเด็ก ถูกศัตรูลอบสังหาร แต่โชคดีที่อาจารย์ผ่านมาเห็นและช่วยไว้ ข้าจึงได้อาศัยอยู่กับเขาที่หมู่บ้านดอกท้อเป็นสิบกว่าปี แต่ไม่นานนี้เอง สำนักสวรรค์ซ่างหลินค้นพบเราและจับตัวอาจารย์ไป”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยเพ่งมองใบหน้าของซูไป๋อีครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างช้าๆ
“เจ้ามีแซ่ซู?”
“ก่อนหน้านั้นข้าใช้ชื่อว่าเฉินซานไฉ แต่เมื่อพบอาจารย์ เขาบอกว่าข้าแซ่ซู ชื่อไป๋อี”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ นางใช้นิ้วชี้แตะไปที่หว่างคิ้วของซูไป๋อี เพ่งมองอยู่นานก่อนจะกล่าว
“ตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้ พี่ใหญ่เซี่ยไม่เคยสอนวิชากระบี่อะไรให้เจ้าบ้างหรือ?”
ซูไป๋อีชี้ไปยังกระบี่คำกล่าววีรชน ที่พกอยู่ข้างกาย
“อาจารย์กล่าวว่า กระบี่มีแค่สามอย่าง คือ ชักกระบี่ ฟัน และเก็บกระบี่ ดังนั้นสิบปีมานี้ข้าฝึกแค่การชักกระบี่ จนกระทั่งไม่นานมานี้เองที่ข้าต้องฝึกการฟัน”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยหัวเราะเบาๆ
“พี่ใหญ่เซี่ยนี่ช่างเหลวไหลเสียจริง หากกระบี่ไร้ประโยชน์ แล้วแต่ละสำนักจะคิดกระบวนท่าขึ้นมาทำไม? วิชาชมบุปผาในหมอกที่เขาโด่งดังนั้น จริงๆ แล้วเป็นกระบี่ที่ซ่อนทั้งกระบวนท่าของตระกูลเซี่ยไว้อย่างสมบูรณ์ แต่เขาไม่อยากสอนเจ้า”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยใช้สองนิ้วคีบกระบี่คำกล่าววีรชนขึ้นมา แล้วดีดไปเบาๆ
“แต่ข้ากลับสงสัยนัก ทำไมคนฉลาดอย่างเขา ถึงสอนวิธีที่โง่ที่สุดให้เจ้า?”
“แล้วท่านคิดว่าทำไม?” ซูไป๋อีถามอย่างไม่มั่นใจ
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยไม่ตอบ แต่จู่ๆ ก็พุ่งกระบี่ไปจ่อที่หว่างคิ้วของเขา ซูไป๋อีไม่มีแม้แต่โอกาสจะขยับ ร่างกายแข็งทื่อ
“เจ้าเมืองกระบี่จี๋โม่ ท่าน…” ซูไป๋อีรู้สึกเย็นวาบที่หว่างคิ้ว อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยเก็บกระบี่เข้าฝัก ก่อนจ้องมองเขาด้วยสายตาลุ่มลึก
“เมื่อครู่ข้าใส่ปราณกระบี่หนึ่งสายไว้ที่หว่างคิ้วของเจ้า หากเป็นคนธรรมดา ยามนี้จะเจ็บเหมือนถูกมดกัดพันตัว แต่เจ้ากลับไม่เป็นอะไรเลย เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
ซูไป๋อีส่ายหน้า
“ข้าไม่ทราบ”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ย ชี้นิ้วไปยังหว่างคิ้วของเขาอีกครั้ง พร้อมกล่าว
“มีเพียงยอดฝีมือที่บรรลุขั้นนภาไร้พรมแดนเท่านั้น ที่จะต้านรับปราณกระบี่สายนี้ของข้าได้ เจ้า…อยู่ขั้นนภาไร้พรมแดนหรือ?”
ซูไป๋อีหัวเราะขื่น
“เจ้าเมืองกระบี่จี๋โม่ ท่านล้อเล่นแล้ว”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น แต่เมื่อมองดูกำลังภายในของเจ้า กลับว่างเปล่าราวคนธรรมดา รากฐานวิชาก็คล้ายศิษย์จากสำนักเล็กๆ ทั่วไป แต่ทันทีที่ปราณของข้าพยายามรุกราน เจ้ากลับมีพลังมหาศาลโผล่ออกมากลืนกินปราณของข้าไปสิ้น เจ้า…ฝึกวิชาอะไรมา?”
ซูไป๋อีถอนหายใจ
“ข้าฝึกคัมภีร์เซียน ตามคำบอกเล่าว่าเป็นวิชาที่หนานกงอวิ๋นฮั่ว ประมุขลัทธิมรรคาสวรรค์ในยุคก่อนเคยฝึก แต่วิชานี้พิสดารนัก ข้าฝึกแล้วกลับรู้สึกเหมือนไม่ได้ฝึก ใช้การอะไรไม่ได้เลย นอกจากดูดกลืนพลังของคนอื่น และทุกครั้งที่ข้าหลับไป…ข้ากลายเป็นบางสิ่งที่เหมือนปีศาจ”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยมีสีหน้าประหลาดใจ นางเหลือบมองหนานกงซีเอ๋อร์ก่อนเอ่ย
“นั่นมิใช่วิชาของพรรคมาร และหนานกงอวิ๋นฮั่วก็ไม่เคยฝึก”
หนานกงซีเอ๋อร์เบิกตากว้าง
“ท่าน…ท่านหมายความว่า นั่นไม่ใช่วิชาของลัทธิมรรคาสวรรค์หรือ?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยส่ายหน้า
“เมื่อครั้งนั้น ข้าไม่ได้ติดตามบิดาไปยังชายฝั่งทะเลใต้ แต่ก็ได้ยินมามากมาย ความจริงกลับซับซ้อนเกินคาด แม้บิดาข้าปฏิเสธที่จะบอกเรื่องทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้คือ บิดาข้ากล่าวว่า บนโลกนี้ไม่เคยมีลัทธิมาร และประมุขหนานกงอวิ๋นฮั่ว เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับวิชาอันชั่วร้าย”
หนานกงซีเอ๋อร์เปิดปากเหมือนอยากถามต่อ แต่ความเจ็บที่หน้าอกทำให้นางต้องนิ่งไป จี๋โม่ฮวาเสวี่ยยื่นนิ้วส่งปราณช่วยประคองร่างให้มั่นคง
“เรื่องนี้ ไว้ข้าจะเล่าให้ฟังในภายหลัง”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยหันกลับไปถามซูไป๋อี
“คัมภีร์เซียนนั้น…ใครให้เจ้า?”
“อาจารย์ของข้า” ซูไป๋อีตอบ
“ท่านบอกว่าขโมยสมบัติจากสำนักสวรรค์ซ่างหลินมา ดังนั้นจึงถูกไล่ล่ามาตลอด ข้าก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับวิชาครึ่งเล่มที่เขาให้ข้า จนกระทั่งก่อนเขาถูกจับไป ท่านจึงบอกความจริงว่า สิ่งที่เขาขโมยมา…คือคัมภีร์เซียน”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยยิ้มจางๆ
“ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ใหญ่เซี่ยถึงไม่ยอมสอนกระบี่ให้เจ้า เพราะเขาไม่รู้ว่าจะสอนอย่างไรดี พลังจากคัมภีร์เซียนของเจ้า หากไม่มีวิชากระบี่ที่เหมาะสม ก็อาจพาเจ้าหลงทางได้”
ซูไป๋อีถอนหายใจ
“พวกท่านล้วนพูดว่าวิชานี้แข็งแกร่ง แต่ทำไมข้ากลับรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์เลย? ตลอดทาง ข้าทำได้แค่หนีหรือถูกตี แล้วพวกเขายังต้องการวิชานี้ไปทำไม อาจารย์ให้พวกเขาไปก็คงจบเรื่องแล้ว”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยยิ้มอย่างเย็นชา
“คัมภีร์เซียน คือของที่แท้จริงจากเทพเซียน เจ้าได้มาแค่ครึ่งเล่ม ย่อมเข้าใจได้ยาก แต่โชคดี…เจ้ามาพบข้าแล้ว”
“ท่านจะช่วยข้าหรือ?” ซูไป๋อีเบิกตา
“แน่นอน เจ้าฝึกคัมภีร์เซียน ส่วนข้าคือ เซียนกระบี่”
ซูไป๋อีดีใจจนโค้งคำนับ “ท่านรู้วิธีสอนกระบี่ให้ข้าแล้ว?”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะเจ้า…ต้องคู่ควรกับวิชากระบี่ที่เหมาะสมที่สุด”