บทที่ 52 กระบี่หยกขาว
"ในเมื่อสกุลมู่ได้ให้คำตอบออกมาแล้ว เช่นนั้นคงไม่ต้องรออีกต่อไปใช่หรือไม่?" ชายร่างกำยำที่นั่งบนเก้าอี้หนังเสือใหญ่หาวยาว ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน "เวินเจ๋อ?"
เวินเจ๋อเพียงก้มศีรษะลงเล็กน้อย พลางถอนหายใจเบาๆ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "อย่าทำเกินเลยนักก็แล้วกัน"
"ข้ารู้ ข้ารับประกันกับเจ้า อย่างน้อยเรือก็ไม่ถึงกับพัง พวกเรายังต้องขึ้นฝั่งอยู่ดี" ชายร่างกำยำลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ก่อนคว้าดาบใหญ่ด้ามทองที่วางอยู่ข้างตัว "ไปกันเถอะ"
"ขอรับ!" ศิษย์ตำหนักชิงหมิงทั้งสิบเก้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาต่างขานรับพร้อมเพรียง ขบวนคนจำนวนหนึ่งจึงออกจากห้องไปอย่างเอิกเกริก ศิษย์สองคนสุดท้ายช่วยกันยกเก้าอี้หนังเสือใหญ่ติดตามไป จนถึงดาดฟ้าเรือ ทั้งสองวางเก้าอี้ลง ชายร่างกำยำทิ้งตัวลงนอนบนเก้าอี้อีกครั้ง พร้อมหาวออกมาอีกครั้งหนึ่ง "ให้คนสกุลมู่ออกมาเถอะ ในเมื่อยอมรับเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องออกมารับผิดชอบ"
"มู่ผู้นี้รออยู่นานแล้ว" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากยอดเสากระโดงเรือ ก่อนที่ชายผู้หนึ่งจะกระโดดลงมาด้วยท่วงท่าอันสง่างาม มู่เหนียนฮวาสวมชุดขาวบริสุทธิ์ คาดเข็มขัดทองส่องประกาย ถือกระบี่ยาวงามสง่าในมือ ใบหน้าสงบเสงี่ยม หากเปี่ยมไปด้วยอำนาจ
แต่เบื้องหลังเขากลับไร้ผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว
"เจ้ามาคนเดียวหรือ?" ชายร่างกำยำใช้มือเท้าคาง พลางมองมู่เหนียนฮวาด้วยความสนใจ
"เรื่องที่ข้ารับผิดชอบ ย่อมต้องจัดการเอง มีปัญหาอะไรหรือ?" มู่เหนียนฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในขณะที่ด้านในเรือ คนสกุลมู่กลับรวมตัวกันอยู่อย่างแน่นหนา เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะกรูกันออกมาเพื่อช่วยเหลือคุณชาย ทว่าถูกพ่อบ้านเหยียนห้ามไว้ก่อน มู่เหนียนฮวาได้กำชับไว้ว่า ไม่ต้องการให้ศิษย์สกุลมู่ต้องเสียชีวิตโดยไร้เหตุผลเพราะเรื่องนี้
"ไปยังห้องชั้นฟ้า ตามสองท่านนั้นมา!" พ่อบ้านเหยียนสั่งไน่ลั่ว
ไน่ลั่วพยักหน้ารับอย่างเร่งรีบ ก่อนหันหลังวิ่งไป
ชายร่างกำยำมองมู่เหนียนฮวา พลางหัวเราะลั่น "เจ้าช่างน่าสนใจนัก ข้าอยากรู้ว่าเพลงกระบี่ของเจ้าจะสมกับความน่าสนใจนี้หรือไม่ ฮุ่ยเสอ เจ้าไปสิ"
"ขอรับ" ชายรูปร่างผอมบางผู้หนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่ม เขามีดวงตาคมปลาบดั่งอสรพิษ
มู่เหนียนฮวาเพียงพยักหน้าพลางยิ้ม "มู่เหนียนฮวา ขอคำชี้แนะ"
ฮุ่ยเสอหัวเราะเย็นชาหนึ่งที พลางคิดในใจว่า คุณชายตระกูลมั่งคั่งก็คือคุณชายตระกูลมั่งคั่ง แม้จะเผชิญกับสถานการณ์เฉียดตาย ยังคิดว่าเป็นเพียงการประลองเพลงกระบี่ เขาไม่ตอบรับคำกล่าวของมู่เหนียนฮวา แต่กลับวางมือบนด้ามกระบี่ของตน
แต่ทันใดนั้น เขากลับรู้สึกถึงสายลมที่พัดผ่านใบหน้า พร้อมเสียงแผ่วเบาเหมือนคมอาวุธที่บาดลงบนผิวหนัง
ชายร่างกำยำที่เคยนอนกึ่งนั่งพลันลุกขึ้นนั่ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ได้แสดงความโกรธ แต่กลับแฝงด้วยความยินดี ดูเหมือนการเดินเรือที่แสนยาวนานในที่สุดก็มีเรื่องที่น่าสนุกเกิดขึ้น หากคู่ต่อสู้ถูกสังหารเพียงกระบี่เดียว เช่นนั้นคงน่าเบื่อเกินไป
ชายที่ชื่อว่าฮุ่ยเสอเบิกตาโตด้วยความไม่เชื่อ เขาก้มมองมือขวาของตนที่เต็มไปด้วยเลือดสด เส้นเอ็นมือถูกปลายกระบี่ตัดขาดจนสิ้น คงยากที่จะจับกระบี่ได้อีกอย่างน้อยหนึ่งปี
มู่เหนียนฮวายืนอยู่เบื้องหลังของเขา ชุดขาวปลิวไสว กระบี่ในมือชี้ตรงไปยังชายร่างกำยำ "เจ้ามาเถอะ"
"ยอดเยี่ยม! กระบี่ดี!" ชายร่างกำยำตบเข่าด้วยความยินดี เอ่ยชมเชยมู่เหนียนฮวา "พวกเจ้ามีใครมองทันบ้าง?"
ชายหนวดบางที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายร่างกำยำตอบว่า "เป็นเพลงกระบี่เซิ่งจิงของกงอวี้ลั่ว กระบี่เล่มนี้ก็คือกระบี่หยกขาวของกงอวี้ลั่ว เขาออกกระบี่ในจังหวะที่ฮุ่ยเสอกำลังจะจับด้ามกระบี่"
"กงอวี้ลั่วรึ..." ชายร่างกำยำพยักหน้า "เป็นชื่อที่เลื่องลือไม่น้อย เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นศิษย์ของเขาหรือ?"
"ใช่แล้วอย่างไร?" มู่เหนียนฮวายกกระบี่ขึ้นเล็กน้อย
"แม้กงอวี้ลั่วอยู่ที่นี่ ก็ไม่กล้ายกกระบี่ชี้มาที่ข้าเช่นนี้" ชายร่างกำยำกล่าวพลางจับดาบใหญ่ในมือ
"อาจารย์ของข้ากล่าวไว้ว่า มีเพียงคนสี่ประเภทที่เขาจะไม่ยกกระบี่สู้ด้วย คนแรกคือยอดวีรบุรุษผู้พิทักษ์คุณธรรม คนที่สองคือขุนนางผู้รักประชาชนดั่งบุตร คนที่สามคือนายทหารผู้ปกป้องบ้านเมือง และคนที่สี่คือสามัญชนธรรมดา แต่ข้าคิดว่าเจ้ามิใช่คนใดในนี้ ดังนั้นคำพูดของเจ้าจึงไม่ถูกต้อง อาจารย์ของข้ากล้ายกกระบี่สู้กับเจ้า ข้าก็กล้าเช่นกัน" มู่เหนียนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงและสงบนิ่ง
"น่าเสียดาย ข้าคิดว่าสกุลมู่มั่งคั่งถึงเพียงนี้ คงเลี้ยงบุตรชายให้เป็นคนไร้ประโยชน์ แต่เจ้ากลับไม่เลว กระบี่ไม่เลว ท่วงท่าก็ไม่เลว อนาคตคงได้เป็นยอดคน แต่คงไม่มีอนาคตแล้ว" ชายร่างกำยำทำท่าจะลุกขึ้น แต่กลับถูกมือกระบี่หนวดบางที่อยู่ข้างๆ ขวางไว้ "หัวหน้า ท่านใจร้อนไปแล้ว ก็แค่กระบี่หยกขาว ต่อให้กงอวี้ลั่วมาที่นี่ด้วยตนเอง ก็ยังไม่คู่ควรให้ท่านลงมือเอง"
ชายร่างกำยำทำหน้าบูดบึ้งก่อนจะล้มตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง "อยู่ในเรือลำนี้มานานจนเบื่อเต็มทน มือมันชักจะคันแล้วสิ"
"ต้าเฟิง จินโหว พวกเจ้าสองคนออกไป" ชายหนวดบางเรียกศิษย์สองคนจากด้านหลัง คนทั้งสองเป็นมือกระบี่ที่ปกปิดใบหน้ามิดชิดจนเหลือเพียงดวงตาอันดุดัน
"น่าเบื่อ" ชายร่างกำยำบ่นพึมพำ
"เรื่องสนุกมักต้องแลกด้วยราคาที่สูง" ชายหนวดบางกล่าวเรียบๆ
กระบี่ของมู่เหนียนฮวานับว่าเหนือกว่าศิษย์ส่วนใหญ่ของตำหนักชิงหมิง แต่ต้าเฟิงและจินโหวกลับไม่ใช่ผู้ใช้กระบี่ธรรมดา พวกเขาใช้กระบี่อาบยาพิษ ซึ่งเหมาะสมที่จะใช้รับมือกับมู่เหนียนฮวาผู้ที่ดูเหมือนจะมีประสบการณ์ต่อสู้น้อย แม้กระบี่ของเขาจะสูงส่ง แต่หากพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจตกเป็นเหยื่อของพิษได้
เป็นดังที่คาด เมื่อกระบี่ของต้าเฟิงและจินโหวพุ่งเข้ามา มู่เหนียนฮวายกกระบี่ขึ้นรับ แต่กลับพบกับม่านหมอกดำที่พุ่งตรงเข้ามาหา กระบี่ยาวในมือเขาตวัดฟันหวังจะสลายม่านหมอก แต่ยิ่งฟัน หมอกกลับยิ่งก่อตัวหนาขึ้นจนใกล้จะปกคลุมร่างกายเขาทั้งหมด
"กลอุบายเล็กน้อย" เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับชายในชุดคลุมทองที่ปรากฏตัวข้างกายมู่เหนียนฮวา เขาสะบัดชายแขนเสื้อยาวอย่างแรง หมอกดำสลายไปหมดสิ้นในทันที
ชายร่างกำยำวางมือลงบนด้ามดาบ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างฉับพลัน พลางเอ่ยออกมาด้วยเสียงกร้าว "แขนเสื้อสะท้านฟ้า!"
ชายหนวดบางกลับส่ายหัว "มิใช่แขนเสื้อสะท้านฟ้า หากเป็นแขนเสื้อสะท้านฟ้าจริงๆ คนสกุลมู่คงไม่หวาดกลัวเราบนเรือจินเฟิงนี้"
"แล้วมันคืออะไร?" ชายร่างกำยำถามอย่างสงสัย
ชายในชุดคลุมทองจัดเข็มขัดให้เข้าที่ก่อนสะบัดชายแขนเสื้ออีกครั้งพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน "มันคือแขนเสื้อว่างเปล่าทั้งสองข้าง"
ชายร่างกำยำชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะปล่อยตัวลงนอนอีกครั้งด้วยท่าทางผ่อนคลาย เขาหัวเราะเสียงดัง "ที่แท้ก็เจ้า เทพแห่งโชคลาภพันหน้า ไม่ได้เจอกันเสียนาน"