บทที่ 313 นางคือผู้กอบกู้หรือ
เมื่อเวลาผ่านไป ตระกูลพุทธะเขาพุทธะก็กลับเข้าสู่การปิดด่านบำเพ็ญอีกครั้ง ไม่มีใครในตระกูลออกมาอีกเลย เหมือนกับว่าที่พวกเขาปรากฏตัวออกมาเป็นเพียงการบอกให้ทุกคนรู้ว่า ตระกูลพุทธะยังไม่สูญสิ้น พวกเขาแค่ปิดประตูบำเพ็ญเท่านั้น
แต่ตอนนี้ อาจารย์ของเขากลับมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลที่ปรากฏตัวเพียงร้อยปีครั้ง นั่นทำให้ชู่เฉียนฉายไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
เมื่อมาถึงโถงใหญ่ กลุ่มพระในชุดขาวยืนล้อมรอบตัวอาคาร พวกเขากางค่ายกลออกอย่างเชี่ยวชาญ การกระทำเหล่านี้อยู่ในสายตาของจินเป่าเอ๋อ แต่นางไม่ได้พูดอะไร เพราะถ้าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางมีชีวิตรอดมาหลายหมื่นปีได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าเขามีทั้งสมองและความสามารถ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าพระที่ลึกลับและยากจะคาดเดาความแข็งแกร่งที่ติดตามเขามาด้วย
บรรยากาศในห้องเงียบสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยความกดดัน
พุทธโอรสหยิบถ้วยชาที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาเตรียมดื่ม แต่จู่ๆการเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดชะงักไป ก่อนจะวางถ้วยชาลงอย่างช้าๆด้วยสีหน้าราบเรียบ
...ใช่ เขาไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกน้ำชา...
ชู่เฉียนฉายเห็นฉากนี้ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขามัวแต่จดจ่อกับการเรียนรู้ยันต์จนลืมออกไปซื้อของ
น้ำชาที่นี้ยังเป็นของที่จินเป่าเอ๋อซื้อติดตัวมาด้วยตอนมาเยือนครั้งแรก...
จินเป่าเอ๋อเห็นเช่นนั้นก็เม้มปากเล็กน้อย นางเริ่มรู้แล้วว่าพุทธโอรสคนนี้ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่เห็นภายนอก จึงหันไปบอกชู่เฉียนฉาย
“อาฉาย เจ้ากลับออกไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับ... เอ่อ... ลุงพระนี่!”
ชู่เฉียนฉายไม่อยากอยู่ในบรรยากาศอึดอัดแบบนี้อยู่แล้ว เขารีบเดินออกไปทันที หลังจากนั้นค่ายกลก็ปิดลงอีกครั้ง ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้อีก
พุทธโอรสผู้ถูกเรียกว่า ลุงพระ ยังคงรักษารอยยิ้มที่ดูเมตตาไว้บนใบหน้า
"…"
เขาคิดในใจ… นี่คงเป็นเพราะเขาไม่ได้ออกมาใช้ชีวิตในโลกภายนอกนานเกินไป ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายดูถูก…หรือว่าเขาคิดไปเองว่านางดูเย่อหยิ่ง
พุทธโอรสไอเบาๆเพื่อเรียกสติกลับมา ก่อนพูดว่า “เซียนหญิงคงมีคำถามมากมายใช่หรือไม่ เรื่องนี้พูดไปอาจยาวนานนัก ข้า...”
“งั้นก็พูดให้สั้นเข้า!”
จินเป่าเอ๋อขัดจังหวะทันที ใบหน้าขมวดคิ้วอย่างชัดเจน นางไม่มีอารมณ์จะฟังเรื่องราวยืดยาวอีกต่อไป ช่วงนี้นางฟังเรื่องราวมามากพอแล้ว!
พุทธโอรสถึงกับชะงัก นางดูเหมือนคนอารมณ์ไม่ดีจริงๆ… คนแบบนี้จะกอบกู้โลกเบื้องบนได้จริงหรือ
แต่สุดท้ายเขาก็ยอม “ก็ได้…”
พอถูกขัดจังหวะ เขากลับไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน!
จินเป่าเอ๋อที่ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้การสนทนาจมลงในความเงียบ จึงถามต่อทันที “พุทธโอรสมาหาข้าทำไม”
นางเริ่มนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ใกล้สนามประลอง นางเคยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนผู้นี้ หากเป็นเช่นนั้น เขาคงตามหานางจริงๆ
พอได้ยินคำถาม พุทธโอรสกลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง รอยยิ้มที่เคยอบอุ่นเลือนหายไปอย่างช้าๆ
“เซียนหญิงคงจำได้ว่าหมื่นปีก่อน ท่านเคยพบข้า แต่ข้าคนนั้น…ไม่ใช่ข้าคนนี้”
เขาอธิบายว่า หมื่นปีก่อน ตัวเขาในตอนนั้นได้เข้าสู่การนิพพานหรือ “มรณภาพ” ไปแล้ว แต่ในชาตินี้ หลังจากกลับชาติมาเกิด ความทรงจำในอดีตชาติของเขาได้ฟื้นคืนมา
เขาเคยคำนวณโชคชะตาโดยบังเอิญเมื่อหลายหมื่นปีก่อน และมองเห็นภัยพิบัติร้ายแรงที่จะทำให้โลกเบื้องบนล่มสลาย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดถูกทำลายจนสิ้น และในท้ายที่สุดสวรรค์จะทำการชำระล้างทุกสิ่ง!
แต่ท่ามกลางหายนะนั้น เขามองเห็นว่า การมีอยู่ของจินเป่าเอ๋อ คือโอกาสรอดเดียวของโลกเบื้องบน!
ดังนั้น แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะยังไม่มีพลังมากพอ เขาก็พากลุ่มพระปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือในสงครามเซียนและมาร เพียงเพื่อจะได้พบกับ “ผู้กอบกู้” ผู้นี้ ที่แม้จะมีหัวใจเย็นชาแต่กลับเต็มไปด้วยความเมตตาลึกๆ
และตอนนี้ เมื่อถึงเวลาอันควร เขาจึงลงจากเขาเพื่อตามหาจินเป่าเอ๋อ เพื่อมอบหมายหน้าที่กอบกู้โลกให้นาง และช่วยเหลือนางจนกว่าภัยพิบัติจะมาถึง เพื่อที่นางจะสามารถลงมือช่วยโลกได้!
ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา อำนาจของเหล่าตระกูลต่างๆในโลกเบื้องบนยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ผู้คนมากมายโดดเด่นเหนือผู้อื่น
ตระกูลทั้งเจ็ดดูเหมือนจะแยกตัวจากกัน แต่ในความเป็นจริงทั้งหมดกลับถูกควบคุมโดยกลุ่มพลังจากตระกูลใหญ่อีกที
มีเพียงตระกูลพุทธะเขาพุทธะ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจใดๆและไม่ปรากฏตัวบ่อยนัก พวกเขารักษาการมีอยู่ของตนเองไว้ในระดับต่ำที่สุด
และยังคงเก็บรักษาพลังบางส่วนไว้ เพื่อปกป้องจินเป่าเอ๋อในช่วงเวลาที่นางยังไม่ได้ “เติบโต” อย่างสมบูรณ์…
ถามหน่อยเถอะ! หากวันหนึ่งมีคนมายืนตรงหน้าเจ้าแล้วบอกว่า การมาของเจ้าคือสิ่งที่ลิขิตไว้ เจ้าคือคนเดียวที่สามารถกอบกู้โลกได้ พวกเขาจะปกป้องเจ้า!
ถ้อยคำเช่นนี้... ใครจะไปเชื่อ
จินเป่าเอ๋อเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนในใจ หากไม่ใช่เพราะชายตรงหน้าเป็นพุทธโอรสในตำนาน นางคงคิดว่าคนผู้นี้สมองมีปัญหา!
“เจ้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าสนามประลองหรือไม่ แล้ว กระดานเทพเซียนมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
คำถามนี้กวนใจนาวมานาน โดยเฉพาะหลังจากที่นางเริ่มสงสัยว่าเจ้าสนามประลองอาจเป็นตี้อวี้ชวน ยิ่งทำให้นางอยากรู้ความลับเกี่ยวกับสนามประลองมากขึ้น และการมีอยู่ของ กระดานเทพเซียน ก็ยิ่งน่าสงสัย
พุทธโอรสนิ่งเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบตามสัญชาตญาณ แต่กลิ่นขมของชาเรียกเขากลับสู่ความจริงอีกครั้ง ทำให้เขาวางถ้วยลงที่เดิม
“ตัวตนของเจ้าสนามประลองนั้นข้าไม่รู้แน่ชัด แต่สิ่งที่แน่นอนคือ เขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน ก่อนหน้านั้นสนามประลองไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งเริ่มเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย คล้ายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“สำหรับ กระดานเทพเซียน …เบื้องหลังของมันคือการจัดตั้งโดยพวกตระกูล เพื่อใช้สนามประลองเป็นเครื่องมือคัดเลือก เฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่โดดเด่นที่สุด หากผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นลูกหลานของตระกูล พวกเขาจะได้รับการยอมรับจากกลุ่มตระกูล และในอนาคต พวกเขาจะกลายเป็นผู้นำตระกูลหรือไม่ก็เป็นผู้อาวุโสของตระกูล”
จินเป่าเอ๋อขมวดคิ้ว สิ่งนี้ไม่ต่างจากที่นางคาดไว้เท่าไรนัก
“แล้วถ้าคนที่ถูกคัดเลือกไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลล่ะ หรือแม้กระทั่งปฏิเสธการเข้าร่วมตระกูล”
คำถามนี้ทำให้พุทธโอรสเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความตกใจ
“หากเป็นเช่นนั้น อัจฉริยะเช่นนี้จะถูกตระกูลจับตัวไป หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่สิ่งที่แน่นอนคือ…พวกเขาจะไม่ปรากฏตัวอีกเลย และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปไหน! บางคนกล่าวว่าพวกเขาถูกตระกูลดึงตัวไปซ่อนตัวในที่ลับ แต่ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้”
เช่นนั้น ตี้อวี้ชวนก็คงถูกตระกูลทำให้หายตัวไปใช่หรือไม่ เพราะเขาเข้าข่ายเงื่อนไขทั้งสองข้ออย่างชัดเจน
เขามีพรสวรรค์สูงส่ง และปฏิเสธการเข้าร่วมตระกูล! ไม่ว่าอย่างไร ก็ดูเหมือนว่าตระกูลจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง!
บางที…คนถัดไปอาจเป็นนางก็ได้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฝานหยินอินเสวี่ยจะแสดงสีหน้าเช่นนั้นในตอนนั้น นางคงกังวลว่าจะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับตี้อวี้ชวน!
“พุทธโอรส…เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีต้นกำเนิดอย่างไร”
จินเป่าเอ๋อดึงความคิดของตัวเองกลับมา ก่อนจะเอ่ยถามต่อ นี่เป็นเรื่องที่นาง-สงสัยมาโดยตลอด
เจ้าของร้านหลินหลางเคยบอกว่าแม่ของนางปรากฏตัวขึ้นในโลกเบื้องบนอย่างกะทันหัน และการหายตัวไปของนางก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี้ทำให้นางรู้สึกว่าแม่ของนาง…อาจไม่ใช่คนของโลกใบนี้ด้วยซ้ำ
พุทธโอรสอึ้งไปเล็กน้อย เหมือนจะไม่คาดคิดว่านางจะถามเรื่องนี้ เขามองนางด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย
“เจ้าไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญที่บินขึ้นมาจากโลกบำเพ็ญเซียนด้านล่างหรือ”
ท่าทางแบบนี้เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชาติกำเนิดของจินเป่าเอ๋อเลย
จินเป่าเอ๋อไม่ได้ผิดหวัง นางเพียงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยาซูจื่ออังให้เขาฟัง พร้อมกับเล่าข้อสงสัยของตัวเอง จนทำให้พุทธโอรสมีสีหน้าที่จริงจังมากขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว หากเป็นเพียงการคำนวณหาต้นกำเนิด มันไม่ได้ยากเย็นนัก ขอเพียงเจ้ามอบเส้นผมของเจ้ามาเพียงเส้นเดียว ข้าก็สามารถรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพ่อแม่ของเจ้าได้”
สำหรับพระบุตรแล้ว จินเป่าเอ๋อคือผู้กอบกู้โลกในอนาคต คำขอนี้ถือว่าเล็กน้อยมาก เขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธ
จินเป่าเอ๋อพยักหน้า ก่อนจะถามต่อทันที “แล้วภัยพิบัติที่พุทธโอรสกล่าวว่าอาจทำให้โลกเบื้องบนถูกชำระล้างนั้นคืออะไรกันแน่”
แม้ว่านางจะรับฟัง แต่นางก็ยังมีความสงสัยอยู่มาก อยู่ๆจะมาบอกว่านางคือผู้กอบกู้โลก มันฟังดูเหลวไหลสิ้นดี
นางไม่ใช่คนที่ไล่ฆ่าคนตามอำเภอใจ แต่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก ทำไมการคำนวณของเขาถึงบอกว่านางจะเป็นผู้ช่วยกอบกู้โลกเบื้องบนล่ะ
นี่มันเหมือนการบีบบังคับทางศีลธรรมชัดๆ!
พุทธโอรสส่ายหน้าเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียดายและเสียใจ