ตอนที่แล้วบทที่ 12 เซี่ยอวิ๋นซีถูกกักบริเวณ?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14 ชิงหัวผู้ยิ่งใหญ่

บทที่ 13 ต้นไม้ต้องการอยู่นิ่ง แต่ไฉนลมไม่หยุด


ตลอดทั้งวัน หลินเฟิงเหมียนรู้สึกกระวนกระวายจนแทบไม่อาจสงบใจได้ ความว้าวุ่นในจิตใจทำให้เขาไม่สามารถมีสมาธิกับการฝึกกระบี่ แม้แต่กระบวนท่าที่เรียบง่ายที่สุดก็ดูเหมือนหนักหน่วงราวกับแบกภูผา

"หรือข้ากังวลมากเกินไป?" เขาคิดในใจ พลางหยุดมือที่จับกระบี่

แต่ไม่ว่าอย่างไร ความคิดหนึ่งก็ยังวนเวียนอยู่ในใจของเขา เซี่ยอวิ๋นซีถูกขังเดี่ยวมานานเท่าใดเล่า? นางยังปลอดภัยดีหรือไม่?

สิ่งที่ทำให้เขากระสับกระส่ายยิ่งกว่าคือความเงียบสงัดรอบตัว ไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งบอกว่ามีภัยใกล้ตัวหรือความผิดปกติ ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

"นี่ไม่ได้หมายความว่านางไม่ได้ทรยศต่อข้าหรอกหรือ?"

หากไม่เช่นนั้น เขาคงถูกสำนักเหอฮวนจัดการไปนานแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

วันรุ่งขึ้น หลินเฟิงเหมียนรวบรวมสติของเขาก่อนออกจากห้องพัก เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกที่ยอดเขาชิงจิ่ว

เพื่อให้เหล่าศิษย์ยังคงภักดีต่อสำนัก สำนักเหอฮวนจึงไม่ได้มีเพียงห้องตำราสำหรับศึกษาคัมภีร์เท่านั้น แต่ยังมีสนามฝึกฝนกระบี่และศิลปะยุทธ์ รวมถึงห้องสำหรับเผยแผ่หลักคำสอนของสำนัก ทุกพื้นที่ล้วนถูกจัดแต่งอย่างประณีต สร้างความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นระบบระเบียบ เพื่อให้ศิษย์ทุกคนสัมผัสถึงเกียรติและภาระหน้าที่ในการสืบทอดชื่อเสียงของสำนัก

"สำนักเหอฮวนมิใช่เพียงสถานที่ฝึกยุทธ์ หากแต่คือโลกใบเล็กที่รวมทุกอย่างไว้เพื่อล่อลวงจิตใจ"

นี่คงเป็นการจัดเตรียมเพื่อให้เหล่าศิษย์ได้ฝึกฝนและออกกำลังกายอย่างสบายใจ ทั้งยังช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายจิตใจก่อนจะต้องสูญเสียพลังหยางบริสุทธิ์ในที่สุด

พลันมีความคิดแล่นเข้ามาในหัวของหลิงเฟิงเหมียน เมื่อยามเลี้ยงไก่ มนุษย์ย่อมยอมให้ไก่ได้วิ่งเล่นบ้าง เพื่อให้ได้เนื้อที่อร่อย

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเฟิงเหมียนเดินเข้าสู่เวทีประลอง และเขาเห็นว่ามีคนจำนวนมากที่มุ่งมั่นในการฝึกฝน

ในเรื่องนี้ เหล่าศิษย์ยังคงมุมานะฝึกฝนอย่างหนัก บรรยากาศในสนามฝึกเต็มไปด้วยความตั้งใจและความพยายามของแต่ละคน

หลินเฟิงเหมียนมองไปรอบ ๆ และสังเกตุเห็นสิ่งหนึ่งที่น่าสงสัย อาวุธที่ใช้ฝึกซ้อมทั้งหมดเป็นเพียงอาวุธไม้ ไม่ว่าจะเป็นดาบไม้ กระบี่ไม้ หรือแม้แต่ทวนไม้ กลับไม่มีอาวุธที่มีคมแม้แต่เล่มเดียว

หลินเฟิงเหมียนเดินค้นหาอาวุธอยู่พักใหญ่ พลางกวาดตามองไปยังชั้นวางไม้ที่เรียงรายรอบสนามฝึก หลังจากพยายามค้นหากระบี่ไม้ที่มาพร้อมฝักกระบี่ เขาก็พบว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด

"กระบี่ไม้ไม่คมอยู่แล้ว...แล้วจะต้องมีฝักกระบี่ไปเพื่ออะไร?"

เขารู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย ดูเหมือนเขาจะทำได้แค่เอากระบี่ไม้กลับไปและทำฝักกระบี่ไม้เองเท่านั้น

“นี่ศิษย์พี่หลินใช่หรือไม่ เหตุใดวันนี้ท่านถึงมีเวลามาที่สนามประลองฝีมือล่ะ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

หลินเฟิงเหมียนมองไปและเห็นเซี่ยกุ้ยและอีกสองคนกำลังเดินมาหาเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

“นี่ศิษย์พี่เซี่ย ข้าแค่แวะมาดูเฉยๆ”

เขากำลังจะออกไปแต่เซี่ยกุ้ยก็หยุดเขาไว้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มมุมปาก ว่า "ข้าได้ยินมาว่าท่านมีความมีความสามารถไม่น้อย ข้าอยากได้การชี้แนะจากท่านซักสามกระบวนท่า"

หลินเฟิงเหมียนมองเขาด้วยสายตาหม่นหมอง เขามักจะทำตัวไม่สะดุดตาเสมอ แต่คลานี้เห็นได้ชัดเซี่ยกุ้ยต้องการบังคับเขาให้เป็นที่รู้จัก

“ศิษย์น้องเซี่ย เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว ข้าฝีมืออ่อนด้อย ไม่มีสิ่งใดที่ต้องชี้แนะ โดยเฉพาะพวกเจ้าที่ฝึกฝนขั้นก่อกำเหนิด มาถึงระดับที่หกแล้ว”

แม้ว่าเขาจะเข้าสู่สำนักหลังหลินเฟิงเหมียน แต่ด้วยประสบการณ์จากการประลองบนยอดเขาหงหลวนหลายครั้ง ความพลังฝีมือของเซี่ยกุ้ยจึงรุดหน้าถึงระดับที่หกของขั้นก่อกำเหนิด ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลย

เซี่ยกุ้ยไม่ลดละความพยายาม เขามองไปรอบ ๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงดัง "ทุกคน ดูสิ! พี่ใหญ่หลินเฟิงเหมียนผู้อาวุโสจากยอดเขาชิงจิ่วของเรา!"

เซี่ยกุ้ยกล่าวด้วยนำเสียงท้าทาย "พี่ใหญ่หลินอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่เคยเข้าร่วมการประลองในสำนัก แต่ศิษย์พี่หญิงของเราก็ยังคอยสนับสนุนเขา ข้าคิดว่าเขาคงมีความสามารถพิเศษบางอย่างที่น่าจะน่าทึ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่แสดงบางอย่างให้พวกเราดูวันนี้ล่ะ?"

ศิษย์ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความขบขันและมองหลินเฟิงเหมียนด้วยสายตาที่เย้ยหยัน บางคนยังแอบกระซิบกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าจะมีบางคนที่พยายามเก็บอาการ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงท่าทีที่แสดงออกเต็มไปด้วยความขบขัน

พี่หลิน เหตุใดไม่แสดงให้พวกเราดูว่าท่านมีพรสวรรค์พิเศษอย่างไร? สามปีแล้ว ยังไม่เห็นอะไรที่น่าประทับใจเลย"

"ถูกต้อง! แสดงให้พวกเราดูเป็นบุญตาเถิด!"

"ระดับห้าของการฝึกขั้นก่อกำเหนิด นี่ไม่ใช่แค่ไร้ความสามารถหรอกหรือ?"”

-

สายตาที่คอยเยาะเย้ยและอยากรู้อยากเห็นต่างจ้องมองมาที่เขา ตั้งแต่หัวจรดเท้า

หลินเฟิงเหมียน ซึ่งเก็บตัวเงียบมาตั้งแต่รู้ความลับของสำนักเหอฮวน ยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนที่มีฐานะสูงเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขารู้สึกถึงความกดดันจากสายตาที่จ้องมองมา ราวกับว่าทุกการเคลื่อนไหวของเขาจะถูกจับตามองและวิจารณ์

หลินเฟิงเหมียนไม่สามารถระงับความโกรธได้

จุดประสงค์ของเซี่ยกุ้ยนั้นเรียบง่ายนัก เขาต้องการให้เหล่าศิษย์จับจ้องมีที่เขาซึ่งแอบซ่อนตัวในสำนักมาตลอด

การเปิดโปงเขาเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะจะสามารถดึงดูดความสนใจจากยอดเขาหงหลวน ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายได้ง่ายขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะสามารถกำจัดหลินเฟิงเหมียนได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม การที่หลินเฟิงเหมียนอยู่ที่ยอดเขาชิงจิ่วเป็นเวลานานนั้นกลับกลายเป็นจุดอ่อนครั้งใหญ่ แม้ว่าในตอนแรกจะไม่มีใครสังเกตเห็น แต่เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว สำนักเหอฮวนคงไม่ปล่อยไว้โดยไม่มีการจัดการ เพราะการที่ศิษย์จากยอดเขาชิงจิ่วไม่ได้แสดงความสามารถตามที่คาดหวัง ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ และจะต้องมีการดำเนินการใดๆ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของสำนัก

หลินเฟิงเหมียนระงับความโกรธและเดินออกไป แต่ก็ยังถูกเซี่ยกุ้ยผู้เย่อหยิ่งขัดขวางไว้

“ศิษย์น้องเซี่ย เจ้าอยากทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?”

เซี่ยกุ้ยยิ้มเย็นและกล่าวว่า "ศิษย์พี่ วันนี้ท่านต้องแสดงฝีมือให้เราเห็น หรือไม่ท่านก็มาประลองกับข้า"

เขายิ้มทันที ชี้ไปที่พื้นแล้วกล่าวว่า “หรือถ้าเจ้าคุกเข่าลงและขอร้องข้า ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”

หลินเฟิงเหมียนมองเซี่ยกุ้ยด้วยสายตาเย็นชา จิตใจของเขารู้ดีว่าเซี่ยกุ้ยตั้งใจบีบให้เขาต้องรักษาเกียรติ์และตอบโต้

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นลูกพลับนิ่มที่ใครๆ ก็รังแกได้เช่นนั้นหรือ”?

หลินเฟิงเหมียนกล่าว

เขาอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วเพราะเรื่องของเซี่ยอวี๋นซี และชายคนนี้ซึ่งไม่รู้ถึงภัยที่ซ่อนภายในสำนัก ยังคงกระโดดโลดเต้นอยู่ในทุ่งโทสะของตนเอง

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเซี่ยกุ้ยสำเร็จแล้ว หลังจากก่อความวุ่นวาย

ชีวิตของหลินเฟิงเหมียนจะได้รับความสนใจจากศิษย์ในสำนักแน่นอน

เขาคงหาชีวิตที่เรียบง่ายและสงบได้ยากในอนาคต

“ข้าเลือกทางที่สี่!” หลินเฟิงเหมียนกล่าวอย่างเย็นชา

“นั้นคือทางใดเล่า” เซี่ยกุ้ยถามด้วยความสงสัย

“ข้าจะตีเจ้าให้คุกเข่าและเหยียบเจ้าเมื่อข้าเดินออกไป!” หลินเฟิงเหมียน กล่าวด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ

เซี่ยกุ้ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เผยให้เห็นฟันที่เหลืองเล็กน้อยของเขา: "ยินดีอย่างยิ่ง!"

"ตามที่เจ้าต้องการ!"

หลังจากกล่าวจบ หลินเฟิงเหมียนก็กำหมัดแน่นแล้วซัดไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างยิ่งของเขาอย่างแรง

เซี่ยกุ้ยไม่คาดคิดว่าเขาจะเริ่มต่อสู้ทันทีที่เขากล่าวจบ หมัดถูกปล่อยจากมือพุ่งเข้าที่หน้าของเขาจนล้มลงไปกองที่พื้น

ต่ำช้า "เจ้าลอบโจมตี!"

“เหตุใดข้าต้องบอกว่าข้าจะตีเจ้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นพ่อของเจ้าหรือ?”

หลินเฟิงเหมียน ผู้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ย่อมไม่สนใจ กฏของยุทธภพ เขาใช้เท้า กระโดดขึ้นอย่างกะทันหันแล้วเหยียบไปที่เซี่ยกุ้ยอย่างแรง

เซี่ยกุ้ยกลิ้งไปบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นรีบลุกขึ้นและก้าวถอยหลัง

เขาหยิบไม้ยาวจากศิษย์ข้างๆ พร้อมโบกไปมา เพื่อผลักหลินเฟิงเหมียนให้ถอยกลับไป

หลินเฟิงเหมียน รีบรุดเข้าใส่ ในจังหวะที่เซี่ยกุ้ยยังไม่ทันตั้งหลัก จากนั้นมือจับไม้ยาวที่พาดอยู่ด้านหลังออกมา ฟาดไปที่ไหล่ของเขาเต็มแรง จนเขาล้มลงที่พื้นอีกครั้ง

หลินเฟิงเหมียนคุกเข่าลงบนตัวเขาและมัดมือเขาไว้ข้างหลัง ทำให้เขาไม่สามารถขยับได้

“ศิษย์น้องเซี่ย ไม่มีใครสอนเจ้าให้เคารพผู้อาวุโสเลยหรือ?”

เซี่ยกุ้ย ตะโกนเสียง "เจ้ามันน่าคนรังเกียจ เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญแบบไหนกัน มาเถอะ ประลองกับข้าอีกครั้งเถอะ ถ้าเจ้ามีความกล้า"

แผนของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า เขาต้องการบังคับให้หลินเฟิงเหมียนแสดงฝีมืออกมา

แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แสดงฝีมือใดๆ เป็นเพียงการชกต่อยแบบอันธพาลเท่านั้น

หลินเฟิงเหมียนยิ้มเยาะ "เจ้าถูกข้ามัดขนาดนี้ เจ้าจะไม่ยอมแพ้หรือไม่? ถ้าเจ้าไม่ยอมแพ้ ข้าจะตีเจ้าจนกว่าเจ้าจะยอม"

เขาต่อยหัวของเซี่ยกุ้ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพื้นกระแทกพื้น เซี่ยกุ้ยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

คนสองคนที่เซี่ยกุ้ยพามาเกือบจะเข้ามาช่วย แต่หลินเฟิงเหมียนมองขึ้นมาด้วยสายเรียบเฉยแสะยิ้มมุมปาก

"พวกเจ้าก็อยากตายเช่นกันรึ?"

ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแต่แฝงเร้นรอยยิ้ม ดวงตาคมปราบของเขาก็ทำให้พวกเขาทั้งสองหวาดกลัวจนผงะถอยหลังไปหลายก้าว

หลินเฟิงเหมียนยิ้มเยาะและระบายความโกรธของเขาต่อไป โดยชกเซี่ยกุ้ยอย่างแรงจนเขาหายใจออกมากกว่าหายใจเข้า

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ค่อยๆ ยืนขึ้น เหยียบเซี่ยกุ้ยที่หมดสติอยู่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเย็นชาว่า "พวกเจ้าไม่อยากหยุดข้าใช่หรือไม่?"

เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างรีบถอยหลังกลับและพร้อมส่ายหัวด้วยความกลัว

“บ้าเอ๊ย แกมันไอ้คนถ่อย เจ้ากำลังบังคับให้ข้าตีเจ้าอยู่นะ!”

หลินเฟิงเหมียนหยิบกระบี่ไม้และออกจากสนามประลองพร้อมกับพ่นคำด่าแต่ในใจหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

แม้ว่าครั้งนี้เขาจะสร้างความตกตะลึงให้กับศิษย์คนอื่น แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของเขาจะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป

ต้นไม้อยากอยู่นิ่งแต่ไฉนลมไม่หยุด!

แต่หลังจากที่ได้ซ้อมคนใจบอดคนนี้แล้ว ข้าก็รู้สึกคลายกังวลลงบ้าง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด