ตอนที่แล้วบทที่ 33 ดำเนินการเบื้องต้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 35 แผนหลบหนี

บทที่ 34 ส่งหมอนให้


บทที่ 34 ส่งหมอนให้

หลี่เหยียนได้ยินหลิวเฉิงหย่งเอ่ยปากจะมอบอาวุธให้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหว แต่ครู่ต่อมาก็ตัดสินใจปฏิเสธความคิดนั้น

เขาวางกระบี่ในมือกลับเข้าฝักบนชั้นวางอาวุธ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "หัวหน้าหลิวเกรงใจกันเกินไป ข้ายังไม่ได้ฝึกฝนวิทยายุทธ์ใด ๆ เพียงแต่มุ่งเน้นฝึกฝนวิธีการฝึกพลังภายในเท่านั้น ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้หรอก หากวันข้างหน้ากระผมได้เรียนรู้วิทยายุทธ์ และที่นี่มีอาวุธที่เหมาะสม ข้าจะมารับเอาไป"

หลิวเฉิงหย่งหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะพยักหน้ารับคำ แต่ในใจกลับคิดว่าหลี่เหยียนคงไม่สนใจอาวุธของตนกระมัง คนที่ฝึกยุทธ์ที่ไหนจะฝึกแต่พลังภายใน ไม่ฝึกฝนวิทยายุทธ์กันบ้าง คงคิดว่าด้วยวิทยายุทธ์อันสูงส่งของจี้กุนซือ คงไม่ขาดแคลนอาวุธวิเศษเป็นแน่

หลังจากหัวเราะเสร็จ หลิวเฉิงหย่งจึงเหลือบมองออกไปนอกบ้าน แล้วหันมาพูดกับหลี่เหยียนว่า "พี่หลี่ เมื่อหลายวันก่อน ตอนประชุมในค่าย ท่านแม่ทัพได้เอ่ยถึงเรื่องหนึ่งกับข้า บอกว่าเมื่อใดที่ท่านว่าง ให้ไปพบเขาสักหน่อย คงเป็นเพราะตอนที่ท่านสมัครเข้ากองทัพ ข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้ยังไม่ละเอียด เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ จำเป็นต้องบันทึกข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อรายงานราชสำนักและเก็บเป็นหลักฐาน เพราะฉะนั้นคงต้องไปพบเขาสักครั้ง"

หลี่เหยียนได้ฟังก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป เขาเองกำลังคิดอยู่ว่าจะแอบส่งข่าวให้หลิวเฉิงหย่งอย่างไร เพื่อให้เขาช่วยส่งต่อไปถึงท่านแม่ทัพหง ไม่นึกว่ายังไม่ทันได้พูดอะไร หลิวเฉิงหย่งก็ยื่นโอกาสทองมาให้ นี่คงเป็นอย่างที่คนโบราณว่าไว้ "อยากงีบหลับ ก็มีคนส่งหมอนมาให้" กระมัง

เขาย่อมรู้ดีว่า นี่คือสัญญาณเริ่มต้นการเคลื่อนไหวของท่านแม่ทัพหงแล้ว เรื่องข้อมูลการลงทะเบียนไม่ครบถ้วนอะไรนั่น ด้วยอำนาจของกองทัพ ต่อให้วันนั้นเขาเขียนแค่ชื่อกับบ้านเกิด พวกเขาก็สามารถสืบสาวไปถึงบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของเขาได้ในเวลาอันรวดเร็ว และถ้าข้อมูลไม่ครบถ้วนจริง เงินช่วยเหลือครอบครัวกับเบี้ยหวัดของเขา จะมาจากกระเป๋าของท่านแม่ทัพหงเองโดยไม่ผ่านบัญชีงั้นหรือ แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่ต้องกังวลอะไร ปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปตามน้ำก็พอ

ทันใดนั้นเขาก็แสร้งทำหน้าตกใจมองไปที่หลิวเฉิงหย่ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "โอ้ จริงด้วยสิ ตอนนั้นที่ลานฝึกทหาร หลังจากที่อาจารย์รับข้าเป็นศิษย์แล้ว เรื่องอื่น ๆ ข้าก็ไม่ได้ไปทำต่อ คงเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ"

หลิวเฉิงหย่งจ้องมองหลี่เหยียนมาโดยตลอด ตอนแรกที่พูดออกไปก็ยังลังเลอยู่บ้าง ในใจก็ไม่แน่ใจนัก แต่พอได้ยินหลี่เหยียนพูดเช่นนั้น ก็รู้ทันทีว่าเป็นเพราะตนไม่ได้อยู่ที่ลานฝึกทหารในวันนั้น จึงไม่รู้เรื่องบางเรื่อง แต่เขาก็ยังคงสงสัยในจุดประสงค์ที่ท่านแม่ทัพเรียกหลี่เหยียนไปพบ เขาไม่เชื่อว่าเรื่องจะเป็นอย่างที่เห็นภายนอก แต่ก็ไม่กล้าสืบสาวความลึกไปกว่านี้ ขอแค่หลี่เหยียนคิดว่าเป็นอย่างนั้นก็พอแล้ว อย่างไรเสีย ท่านแม่ทัพก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อหลี่เหยียน นี่ก็เป็นเหตุผลที่ต้องหลบเฉินอันกับหลี่อินชั่วคราวด้วย

"ถ้าอย่างนั้น วันนี้ก็ไม่มีธุระอะไรพอดี งั้น..."

"แน่นอน แน่นอน เรื่องในค่ายทหารรอช้าไม่ได้ อืม ข้ายังไม่เคยเห็นในค่ายทหารเลย ตอนนี้ให้หัวหน้าหลิวพาข้าไปดูรอบ ๆ ก่อน แล้วค่อยไปหาท่านแม่ทัพดีกว่า" หลี่เหยียนพูดแทรกขึ้นมา แท้จริงแล้วเขาไม่ได้อยากเดินเล่นที่นี่ เพียงแต่ถ้ามาถึงแล้วคุยกับหลิวเฉิงหย่งแค่ครู่เดียวก็รีบกลับ เฉินอันกับหลี่อินคงไม่ยอมหลงกลง่าย ๆ และต้องสงสัยแน่ว่าเขามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อื่น

"เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อ้อ แล้วแบบนี้เราจะไปหาท่านแม่ทัพเลยหรือ? ถ้าเฉินอันกับหลี่อินรู้เข้า คงจะไปรายงานจี้กุนซือว่าพวกเราทำงานไม่ได้เรื่องหรือเปล่า แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องรบกวนท่าน ทั้งยังต้องให้ท่านแม่ทัพเป็นธุระอีก ท่านว่า..." หลิวเฉิงหย่งพูดด้วยท่าทีลังเล เขาไม่แน่ใจว่าถ้าเฉินอันกับหลี่อินรู้เข้า จะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้นมา

"ไม่เป็นไร บอกไปตรง ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร" หลี่เหยียนพูดกับหลิวเฉิงหย่งพลางในใจคิด ‘ข้าจะรอดูว่าท่านแม่ทัพหงจะจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ นี้ยังไง ดูซิว่าเขาจะเป็นแค่ทหารหยาบกระด้าง หรือเป็นคนเจ้าเล่ห์กันแน่’

ถึงแม้หลิวเฉิงหย่งจะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสม แต่ก็นึกไม่ออกว่าไม่เหมาะสมตรงไหน จึงตอบตกลง หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อย เขาจึงพาหลี่เหยียนเดินชมรอบ ๆ ค่ายทหาร แน่นอนว่าเดินเฉพาะในเขตพื้นที่ส่วนรวมเท่านั้น ระหว่างทางก็อดไม่ได้ที่จะให้เขาได้แสดงตัวต่อหน้ากองร้อยอื่น ๆ อีกครั้ง

จากนั้นทั้งสี่คนจึงออกจากค่ายทหาร มุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพบนหลังม้าทั้งสี่ตัว เมื่อเฉินอันกับหลี่อินรู้ว่าหลี่เหยียนจะไปจวนแม่ทัพก็มีสีหน้าลังเล แต่หลี่เหยียนกลับไปทันทีโดยไม่สนใจทั้งสองคน ในใจหลี่เหยียนคิด ‘ดูเหมือนอาจารย์ของข้าคงจะสั่งเฉินอันกับหลี่อินเป็นการส่วนตัวแล้ว ว่าไม่ให้ข้าได้พบปะกับคนภายนอกมากนัก’

ไม่นานนัก ทั้งหมดก็มาถึงหน้าจวนแม่ทัพ หลิวเฉิงหย่งก็เข้าไปแจ้งกับทหารยามเฝ้าประตู ไม่นานนัก ข้างในก็แจ้งว่าให้หลี่เหยียนเข้าไป ทำให้แม้แต่หลิวเฉิงหย่งก็เข้าไปไม่ได้ ส่วนเฉินอันกับหลี่อินก็ยิ่งไม่กล้าตามเข้าไปเอง

หลังจากเดินผ่านทางเดินคดเคี้ยวไปหลายช่วง หลี่เหยียนก็เดินตามทหารคนหนึ่งมาจนถึงหน้าห้องโถงใหญ่ของจวน ทหารคนนั้นหยุดอยู่กับที่ หันกลับมาพูดกับหลี่เหยียนว่า "ใต้เท้าหลี่ ท่านแม่ทัพอยู่ข้างใน เชิญท่านเข้าไปได้เลย" พูดจบก็ไม่รอให้หลี่เหยียนตอบ กลับหลังเดินกลับไป

หลี่เหยียนมองไปที่ห้องโถงใหญ่ ไม่เห็นมีทหารยามเฝ้าอยู่ ประตูก็เปิดอยู่ เขาแอบสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวเท้าเดินไปที่ประตู

เมื่อเข้าไปในห้องโถง เขารู้สึกว่าแสงสลัวลงเล็กน้อย เขาเพ่งมองเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสง ข้างในกว้างขวางมาก ตรงกลางห้องโถงมีคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันมามองเขาอยู่ และไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากชายหัวโล้นร่างใหญ่ที่เขาเคยพบมาก่อน หลี่เหยียนเดินเข้าไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วโค้งคำนับ

"ผู้ใต้บังคับบัญชา หลี่เหยียน ขอเข้าเฝ้าท่านแม่ทัพหง"

หงหลินอิงจ้องมองหลี่เหยียนมาตั้งแต่ที่เดินเข้ามา เขารู้สึกว่าลมปราณในตัวหลี่เหยียนหนักแน่นกว่าเมื่อสองเดือนก่อนมาก ไม่เหมือนลมปราณของคนที่เพิ่งเริ่มฝึกยุทธ์ ทำให้เขาอดสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้ ในใจอดคาดเดาไม่ได้เช่นกัน ‘นี่คือพลังภายในของสำนักจี้เหวินเหอหรือ ไฉนแค่สองเดือนสั้น ๆ ถึงทำให้ลมปราณของคนธรรมดาหนักแน่นมั่นคงได้ถึงเพียงนี้’

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความคาดหวังของเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

"ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงก่อนเถอะ" หงหลินอิงพูดพลางชี้ไปที่เก้าอี้ที่เรียงรายอยู่ด้านล่าง

หลี่เหยียนกล่าวขอบคุณ แล้วจึงเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลง

"รองนายทหารหลี่ นับตั้งแต่ที่ลานฝึกทหารก็ผ่านมาสองเดือนกว่าแล้ว วันนี้ได้พบกันอีกครั้ง ใต้เท้าจี้ช่างสั่งสอนได้เก่งกาจจริง ๆ"

"ท่านแม่ทัพชมเกินไปแล้วขอรับ" หลี่เหยียนพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ

หงหลินอิงเห็นสีหน้าของหลี่เหยียนก็ขมวดคิ้ว "อ้อ? หรือว่าสายตาของข้าจะมองผิดไป?"

หลี่เหยียนได้ฟังก็ส่ายหน้า เหมือนกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไร ไม่ได้เอ่ยปาก

หงหลินอิงเห็นเขามีท่าทางเช่นนั้น ก็พอจะเดาออก เขาจึงยืดตัวขึ้น พิงพนักเก้าอี้ "ตอนนั้น พอฟางยวี่เข้าจวนกุนซือแล้ว ตอนที่ข้าเจอเขาอีกครั้ง... นั่นแหละ ข้าถึงได้มองผิดไป"

หลี่เหยียนรู้ว่า "ฟางยวี่" ที่เขาพูดถึงคือใคร นั่นคือศิษย์พี่ผู้เคราะห์ร้ายของเขานั่นเอง สีหน้าของเขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นอย่างลังเล "ท่านแม่ทัพหมายความว่าอย่างไร?"

"อ้อ ไม่มีอะไรหรอก วันนี้พอได้เจอเจ้า ก็รู้สึกว่าถึงแม้ลมปราณของรองนายทหารหลี่จะเพิ่มพูนขึ้นมาก แต่ดูจากสีหน้าของเจ้าแล้ว ลมปราณกลับไม่ค่อยคงที่ ดูเหมือนจะปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา" พูดจบเขาก็จ้องมองใบหน้าของหลี่เหยียนอย่างละเอียด เขาได้รับรายงานจากสายลับในจวนกุนซือว่าช่วงนี้หลี่เหยียนมีอารมณ์แปรปรวน ลมปราณไม่คงที่ จึงได้พูดเช่นนั้นออกไป

หลี่เหยียนมีสีหน้าตกใจ "ท่านแม่ทัพมองออกหรือขอรับ ว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีปัญหา?"

หงหลินอิงรู้สึกยินดีในใจ แต่ยังคงเก็บอาการ "พอจะมองออกบ้าง แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ฮ่า ๆ แต่คงไม่ใช่เพราะฝึกผิดพลาดหรอก อย่างไรก็มีใต้เท้าจี้ ผู้เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดคอยสั่งสอน คงเป็นเพราะเหตุผลอื่นกระมัง"

หลี่เหยียนได้ฟังก็มีสีหน้าแปรปรวนไปมา ทั้งที่หงหลินอิงก็มองเห็นทั้งหมด แต่เขาก็ยังคงนิ่งเฉย

ครู่หนึ่ง หลี่เหยียนก็พูดขึ้นอย่างลังเล "ท่านแม่ทัพ ท่านพอจะรู้วิธีแก้พิษร้ายแรงสำหรับคนในยุทธภพบ้างหรือไม่?"

หงหลินอิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงมีสีหน้าสงสัย "ถามเรื่องนี้ทำไม? อ้อ เจ้าเป็นห่วงพิษที่ใต้เท้าจี้ได้รับงั้นหรือ? ไม่ต้องกังวลไปหรอก แม้แต่ข้าก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ แล้วเจ้าที่ตอนนี้ยังมีพลังตื้นเขิน จะไปช่วยอะไรเขาได้ ดูสิ เจ้าเป็นคนที่เคารพอาจารย์ รักษาธรรมเนียมจริง ๆ เฮ้อ!" พูดจบเขาก็มีสีหน้าเศร้าหมองพลางถอนหายใจออกมา

"อืม แต่วิธีแก้พิษข้าพอจะรู้บ้าง อย่างแรก แน่นอนว่าต้องใช้ยาถอนพิษที่ตรงกัน แต่ต้องรู้ก่อนว่าโดนพิษอะไร อย่างที่สอง คนอย่างพวกเราสามารถใช้พลังภายในอันล้ำลึกขับพิษออกจากร่างกาย แต่วิธีนี้ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ผลกับทุกพิษ บางพิษร้ายแรง เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะซึมเข้าสู่ตับไต ไขกระดูก พิษร้ายแรงแบบนี้ขับออกยากมาก อย่างที่สาม เป็นวิธีของพวกมารในยุทธภพ ต้องหาคนที่พลังภายในไม่ด้อย มาเป็นตัวล่อพิษ ใช้เคล็ดวิชาดูดพิษเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่าย แล้วถ่ายเทพลังภายในบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายเข้าสู่ตับไตของตัวเอง แต่วิธีนี้ต้องใช้เคล็ดวิชามาร จึงมีน้อยสำนักที่รู้วิธีนี้"

เขาจ้องมองหลี่เหยียนพลางพูดช้า ๆ เห็นเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาบนหน้าผากของหลี่เหยียน

ครู่หนึ่ง หลี่เหยียนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแห้งผาก "แล้วคนที่เป็นตัวล่อพิษด้วยวิธีที่สาม จะเป็นอย่างไรขอรับ?"

หงหลินอิงตอบ "ส่วนใหญ่ไม่รอดแน่ นอกจากเขาจะรู้เคล็ดวิชามารเหมือนกัน แล้วทำแบบเดียวกันอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว วันนี้ที่เรียกเจ้ามาที่นี่ คงอย่างที่หลิวเฉิงหย่งบอกเจ้าแล้วล่ะ แต่เมื่อเช้านี้ ที่ปรึกษาในค่ายได้ข้อมูลของเจ้าจากที่ว่าการเขตภูเขามหามรกตมาแล้ว ข้ากำลังจะบอกหลิวเฉิงหย่งว่าไม่ต้องแจ้งให้เจ้ามาแล้ว"

หลี่เหยียนดูเหมือนจะยังตั้งสติไม่ได้ ครู่ใหญ่กว่าสีหน้าของเขาจะกลับมาเป็นปกติ แต่ก็ยังดูเหม่อลอยอยู่ เขาลุกขึ้นคำนับ "ถ้าเช่นนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาขอตัวก่อน"

"ได้ เชิญเจ้ากลับไปก่อนเถอะ" หงหลินอิงพูดด้วยรอยยิ้ม

หลี่เหยียนหันหลังเดินไปทางประตูห้องโถงใหญ่ เมื่อเขาเกือบจะก้าวออกจากห้องโถง เสียงของหงหลินอิงก็ดังขึ้นจากข้างหลัง "รองนายทหารหลี่ ไม่ต้องกังวลเรื่องของใต้เท้าจี้มากเกินไปหรอก อย่างไรเสีย เขาก็โดนพิษนี้มานานแล้ว และเขาก็เป็นถึงหมอเทวดา คงจะมีวิธีแก้ไขอยู่บ้าง"

หลี่เหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหายลับไปจากห้องโถงใหญ่

ครู่หนึ่ง เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นในห้องโถงใหญ่ "ศิษย์พี่ ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะเริ่มสงสัยจี้เหวินเหอแล้ว"

"ฮ่า ๆ วันนี้ข้าพอจะสรุปได้สามเรื่อง เรื่องแรก พลังภายในของสำนักพวกเขาช่างร้ายกาจนัก แค่สองเดือนกว่า เขาก็ฝึกได้ถึงขั้นนี้ ถ้าฝึกต่อไปเรื่อย ๆ คงไม่ธรรมดาแน่ เรื่องที่สอง เขานี่แหละคือคนที่ต้องโดนดูดพิษเข้าร่าง ไม่นึกเลยว่าจี้เหวินเหอจะรู้เคล็ดวิชามารแบบนี้จริง ๆ เรื่องที่สาม เจ้าเด็กนี่เริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เริ่มรู้สึกแล้วว่าอาจจะโดนจี้เหวินเหอใช้เป็นเครื่องมือ"

"ถ้าอย่างนั้น ศิษย์พี่ ต่อไปเราก็แค่รอให้เขามาขอความช่วยเหลือกระมัง"

"ฮ่า ๆ คงอีกไม่นานหรอก เขาต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแน่ ใครบ้างจะไม่รักชีวิตตัวเองกันล่ะ?"

หลี่เหยียนเดินออกจากห้องโถงใหญ่พลางคิด ‘ท่านแม่ทัพหงนี่ก็อยากได้ 'วิทยายุทธ์' นั่นจนตัวสั่นเลย แถมยังเริ่มหยอดความสงสัยลงในใจข้าแล้ว ในเมื่อฝั่งนี้ยืนยันแล้ว แผนต่อไปก็เริ่มได้ เพียงแต่ วันนี้ข้าไม่เห็นยอดฝีมืออีกคนอย่างที่ตงฝูอีบอกเลย ดูเหมือนพลังของข้าจะยังอ่อนด้อยเกินไป แม้แต่ยอดฝีมือในยุทธภพธรรมดาก็ยังสัมผัสไม่ได้’

ระหว่างที่ครุ่นคิด เขาก็เดินออกมาจากจวนแม่ทัพ จึงเห็นทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไปหลายสิบก้าว และมองมาทางนี้เป็นระยะ

หงหลินอิงนับว่าเจ้าเล่ห์อย่างแท้จริง หลี่เหยียนเข้าออกแค่ชั่วอึดใจ คิดเป็นเวลาพอดีกับการรายงานประวัติครอบครัว ทำให้ยากที่จะสงสัยว่ามีเรื่องอื่นแอบแฝง

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด