บทที่ 921 อู๋เมิ่งมาถึง
1,210 ผลึกวิญญาณเพื่อแลกกับยันต์หนึ่งแผ่น...นี่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่กล้าฝันถึงเลยด้วยซ้ำ
เมื่อยันต์ล่องหนแห่งความโกลาหลถูกส่งมาถึงมือของโอวหยางตงชิงเพียงแค่เขามองครั้งแรกก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันคุ้มค่า
ทั้งกระดาษยันต์ที่ใช้รองรับอักขระและอักขระที่วาดบนยันต์ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนสิ่งเหล่านี้เหมือนเปิดประตูบานใหม่สู่โลกของยันต์ระดับสูง
หลังได้ยันต์นี้มาโอวหยางตงชิงก็แทบไม่สนใจการประมูลอีกต่อไป แม้ร่างเขายังนั่งอยู่ในห้องหมายเลขห้า แต่จิตใจกลับมุ่งความสนใจไปที่ยันต์ล่องหนแห่งความโกลาหล
เฉินโม่พยายามเรียกสติอีกฝ่ายสองครั้ง แต่เมื่อพบว่าไม่ได้รับการตอบสนองก็เข้าใจได้ทันทีว่าโอวหยางตงชิงได้เข้าสู่ภาวะสมาธิขั้นลึกอีกครั้ง เว้นแต่ว่าภัยคุกคามจากภายนอกจะกระทบเขา ไม่อย่างนั้นย่อมไม่มีทางฟื้นคืนสติ
ในขณะเดียวกันฟงชิงที่ดูเหมือนจะสงบนิ่งแต่ในใจกลับเริ่มร้อนรน
การประมูลใกล้จะถึงครึ่งทางแล้ว แต่อู๋เมิ่งก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาถึง หากปล่อยให้การประมูลสิ้นสุดโดยที่เขาไม่มา ผลปัญญาเซียนอาจตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น
แม้ว่าฟ่านจู่ปู้จะไม่ได้กล่าวโทษโดยตรง แต่สถานการณ์ของจงโจวอาจเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
ฟงชิงร้อนรน แต่ในฝั่งของอู๋เมิ่งกลับเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ตอนนี้เขาได้ใช้ค่ายกลส่งตัวมาถึงไห่ผิงโจวแล้วและกำลังเร่งเดินทางไปยังเกาะ
แม้เขาจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมซึ่งสามารถเดินทางผ่านรอยแยกในมิติได้อย่างง่ายดาย แต่ในทะเลเขาก็ยังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
สัตว์อสูรทะเลที่โผล่มาเป็นครั้งคราวยังสามารถสร้างปัญหาให้กับเขาได้จนทำให้การเดินทางล่าช้า
“บัดซบ! เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จ!”
อู๋เมิ่งขบกรามแน่นความไม่พอใจในตัวฟงชิงเพิ่มขึ้น
การที่ค่ายกลส่งตัวถูกทำลายทำให้แผนการทั้งหมดเกือบพังทลาย โชคดีที่เขามาแก้ไขทัน ไม่อย่างนั้นหากล่าช้าไปอีกหนึ่งหรือสองชั่วยามทุกอย่างคงล้มเหลว!
...
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ฟงชิงยังคงดึงตัวเองกลับมาและหยิบของประมูลชิ้นที่หกออกมาตามกำหนด
สิ่งนั้นคือหยกอวี้เจี้ยนซึ่งดูเหมือนธรรมดาไม่มีความพิเศษใดๆ และคล้ายกับหยกที่ใช้บันทึกเคล็ดวิชาหรือค่ายกลที่ผู้ฝึกตนใช้กันทั่วไป
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“หยกนี้บันทึก ค่ายกลดวงดาวล้อมเซียน ซึ่งเป็นค่ายกลระดับเจ็ด”
ทันทีที่สิ้นเสียงของฟงชิง เฉินโม่ก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวในห้องประมูลใกล้เคียง
ค่ายกลระดับเจ็ด?!
นี่หมายถึงอะไร?
ระดับเจ็ดเทียบเท่ากับระดับรวมเต๋า และหากตั้งค่ายกลสำเร็จก็สามารถกำจัดผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าผู้ที่เข้าใจศาสตร์ค่ายกลจะรู้ดีว่ายิ่งค่ายกลทรงพลังมากเท่าไร วัสดุในการจัดตั้งก็ยิ่งหาได้ยากขึ้นเท่านั้น
และค่ายกลระดับเจ็ดนี้เพียงแค่รวบรวมวัสดุพื้นฐานก็นับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว!
ฟงชิงกล่าวอธิบายเพิ่มเติม
“การจัดตั้งค่ายกลดวงดาวล้อมเซียนต้องใช้หินดาราจำนวน 108 ก้อน วางเรียงในตำแหน่งเฉพาะเพื่อสร้างรากฐานของค่ายกล บริเวณรอบๆหินดาราต้องโรยด้วยผลึกวิญญาณจำนวนมาก เพื่อเป็นแหล่งพลังงานของค่ายกล”
“เมื่อเปิดใช้งาน หินดาราทั้ง 108 ก้อน จะเชื่อมโยงกันด้วยเส้นพลังวิญญาณ เกิดเป็นอักขระลึกลับนับไม่ถ้วนพร้อมทั้งสร้างลวดลายดวงดาวขนาดมหึมา...”
ฟงชิงกล่าวต่อด้วยความมั่นใจ
อย่างไรก็ตามผู้ฝึกตนที่อยู่ในงานประมูลส่วนใหญ่ยกเว้นคนจากสำนักเทียนกง ดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งนี้อีกต่อไป
หินดาราคืออะไร?
มันคือวัสดุที่มาจากนอกโลก!
หินดาราเป็นวัสดุที่ได้มาจากการบินออกนอกทวีปฝึกตนสู่ดินแดนแห่งดวงดาวไร้สิ้นสุด และมีเพียงผู้ฝึกตนระดับ มหาเซียน เท่านั้นที่สามารถหลุดพ้นข้อจำกัดของทวีปฝึกตนเพื่อไปเก็บหินเหล่านี้ได้
แต่อย่าลืมว่าแคว้นอู๋ฉือไม่เคยมีผู้ฝึกตนระดับมหาเซียน ปรากฏตัวเลยในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา
และถึงแม้จะมีคนระดับนั้น ซึ่งมีพลังมากพอจะเด็ดดวงดาวด้วยมือเปล่า เหตุใดพวกเขาต้องสร้างค่ายกลที่สามารถจัดการได้เพียงผู้ฝึกตนระดับรวมเต๋าด้วย?
ดังนั้นค่ายกลดวงดาวล้อมเซียนนี้จึงอาจเหมาะเพียงแค่ใช้ศึกษาในเชิงวิจัยเท่านั้น การตั้งค่ายกลจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้
แม้แต่เฉินโม่เองก็ไม่สนใจจะซื้อค่ายกลนี้ เพราะหากนำค่ายกลล้อมเซียนไปใช้สนับสนุนการเพาะปลูกพืชวิญญาณ ผลตอบแทนย่อมไม่คุ้มกับต้นทุน
ฟงชิงพยายามควบคุมบรรยากาศการประมูลให้อยู่ในความสนใจของผู้คนราวหนึ่งธูปก่อนจะประกาศราคาเริ่มต้นของค่ายกลดวงดาวล้อมเซียน
“ราคาเริ่มต้น 1,500 ผลึกวิญญาณระดับสูง”
สำหรับค่ายกลระดับเจ็ด การตั้งราคาเพียงเท่านี้ก็เหมือนแจกฟรีแล้ว
แต่กระนั้นก็ยังมีเพียงสำนักเทียนกงที่ยื่นประมูลโดยไม่มีการเพิ่มราคาเลย
สุดท้ายค่ายกลดวงดาวล้อมเซียนถูกปิดประมูลในราคา 1,500 ผลึกวิญญาณ
หลังสิ้นสุดการประมูลชิ้นที่หก ฟงชิงยิ้มอย่างอารมณ์ดีและประกาศพักการประมูลสองชั่วยาม แม้ว่าหลายคนจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ในเมื่อที่นี่คือพื้นที่ของหน่วยเทียนหลง พวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามกฎที่กำหนด
ระหว่างช่วงพัก ฟงชิงไปพบกับจูหย่งอัน ผู้อาวุโสจากสำนักเทียนกง
“ผู้อาวุโสจู ข้าถึงกับนำค่ายกลดวงดาวล้อมเซียนมาประมูลในช่วงแรกเพื่อแสดงความจริงใจ”
จูหย่งอันพยักหน้าและตอบเพียงว่า
“ขอบคุณ!”
ฟงชิงยิ้มและกล่าวต่อ
“ในเมื่อเราจริงใจเช่นนี้ ท่านช่วยซ่อมค่ายกลส่งตัวให้เราได้หรือไม่?”
จูหย่งอันถอนหายใจอย่างอ่อนล้าและตอบว่า
“ข้าปฏิเสธช่วยเหลือพวกเจ้าได้หรือ? แต่ข้าก็ถูกขู่ไว้แล้ว หากเจ้าอยากให้ข้าซ่อมค่ายกลส่งตัวจงไปจัดการกับสองผู้ฝึกตนระดับเปลี่ยนจิตที่เฝ้าอยู่เสียก่อน!”
ฟงชิงยิ้มบางๆและตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ผู้อาวุโสวางใจได้ หน่วยเทียนหลงจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ”
แม้ว่าจูหย่งอันจะดูพอใจ แต่ในใจเขากลับคิดว่าผู้นำหน่วยเทียนหลงนี่ช่างโง่เขลาเสียจริง คิดว่าปัญหาอยู่ที่เขาไม่อยากซ่อมค่ายกล? หากพวกเขาไม่จัดการฝ่ายคัดค้านให้เรียบร้อยเขาย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหวอยู่ดี
...
เวลาสองชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อฟงชิงเรียกประชุมผู้เข้าร่วมประมูลอีกครั้ง พลังงานที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นจากที่ไกลโพ้น
ในตอนนั้นหัวใจที่หนักอึ้งของฟงชิงก็เบาขึ้นในทันที
อู๋เมิ่งมาถึงแล้ว!
ผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมกลับมาที่เกาะอีกครั้ง แผนการทุกอย่างย่อมดำเนินไปตามที่วางไว้
ในช่วงสุดท้ายของการประมูล อู๋เมิ่งจะลงมือจัดการผู้ฝึกตนทั้งหมดบนเกาะ จากนั้นโยนความผิดให้กับสัตว์อสูรทะเลทรงพลัง
หลังจากนั้นเขาจะ“ช่วย”กลุ่มอำนาจต่างๆ เช่นหอสมบัติมังกรฟ้า หรือคนจากหุบเขาลึกลับที่ยังไม่มีท่าทีชัดเจนและใช้โอกาสนี้รวมพลังอำนาจเพื่อสนับสนุนฟ่านเทียนหมิงให้ขึ้นครองตำแหน่งกษัตริย์
แม้ระหว่างทางจะมีอุปสรรค แต่เมื่ออู๋เมิ่งมาทันช่วงสุดท้าย แผนการนี้ย่อมไร้ปัญหา
ฟงชิงเผยรอยยิ้มมั่นใจมาก ขึ้นก่อนจะหยิบของประมูลชิ้นที่เจ็ดออกมาและประกาศว่า
“ของประมูลชิ้นที่เจ็ดนี้เป็นของประมูลระดับปฐพี นั่นคือ ตะเกียงพลังวิญญาณ”
เฉินโม่มองตามเสียงและพบว่ามันคือตะเกียงน้ำมันโบราณที่สร้างจากวัสดุวิเศษ
ฟงชิงอธิบายต่อ
“ตะเกียงพลังวิญญาณนี้สร้างจากหยกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เนื้อหยกเรียบเนียนงดงามบนตะเกียงมีอักขระและลวดลายที่วิจิตรบรรจงซึ่งเรืองแสงอ่อนๆอยู่ตลอดเวลา...”
(จบบท)