บทที่ 66 จางจิ่วหยางตัวจริงตัวปลอม
###
โครม!
แผ่นไม้ของโลงศพกระเด็นลอยออกไปกระแทกพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ
จางจิ่วหยางกดคอของผีร้ายไว้แน่น จนมันดิ้นไม่หลุด ส่วนอาหลี่ก็กดขาของมันไว้ พร้อมกับใช้คมมีดสีชมพูเฉือนเส้นเอ็นที่ข้อเท้าของมันอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และโหดเหี้ยม
ด้วยคาถาฆ่าผีของจงขุย พลังหยินของผีร้ายได้ถูกทำลายไปมากแล้ว หากจางจิ่วหยางไม่จงใจออมมือไว้ มันคงถูกทำลายจนวิญญาณสลายไปนานแล้ว
"พี่จิ่ว จะให้ข้าจัดการมันเลยไหม?"
อาหลี่ใช้มีดเล็ก ๆ จ่อไปที่ตัวของผีร้าย สายตาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
จางจิ่วหยางกำลังจะตอบ แต่ทันใดนั้นสายตาของเขาก็หยุดนิ่ง เมื่อมองเห็นใบหน้าของผีร้าย แม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยเลือดและเนื้อที่เละเทะ แต่ศีรษะโล้นเป็นประกายและหนวดเครายาวของมันกลับดูคุ้นเคยอย่างประหลาด
"เจ้าเป็น..."
"หลวงจีนเหนิงเหริน?"
สายตาของจางจิ่วหยางเผยความตกตะลึงออกมา ใช่แล้ว นี่คือเจ้าอาวาสแห่งวัดจินเซินในเมืองชิงโจวมิใช่หรือ?
ว่ากันว่าเดิมทีเขาเป็นพระธุดงค์ที่เดินทางไปทั่ว จนเมื่อเข้าสู่วัดซีซาน เขาแสดงฝีมือที่ลึกลับจนมีชื่อเสียงโด่งดัง และไม่นานก็ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อวัดซีซานเป็นวัดจินเซิน
พ่อบ้านโจวเคยเล่าว่าเขาเป็นคนละโมบมาก ชอบทองคำเป็นพิเศษ
หลวงจีนเหนิงเหรินเคยเรียกร้องทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลโจวเป็นค่าจ้างในการจับผี แต่แผนการของเขาถูกจางจิ่วหยางทำลาย จนในที่สุดเขาก็ไม่ได้ลงมือ ตอนนั้นจางจิ่วหยางยังเคยกังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะกลับมาแก้แค้น แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย
ใครจะคิดว่าหลวงจีนท่านนี้กลับมาล้มเหลวที่หมู่บ้านเฉิน และกลายเป็นผีร้ายในโลงศพนี้
ทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
"พูดได้หรือไม่?"
จางจิ่วหยางยั้งมืออาหลี่ที่กำลังจะฟันลงไป แล้วถามขึ้น
แต่สายตาของหลวงจีนเหนิงเหรินกลับเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ใบหน้าที่เปื้อนเลือดแสดงความเกลียดชังราวกับว่าจางจิ่วหยางคือศัตรูที่ฆ่าเขาอย่างไรอย่างนั้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จางจิ่วหยางรู้สึกงงงวย แม้ทั้งสองจะมีความบาดหมางกันอยู่บ้าง แต่ก็นับได้ว่าเคยร่วมมือกันบ้างเล็กน้อย ไม่น่าจะถึงกับแค้นเคืองกันขนาดนี้
"ดูท่าคงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วสินะ..."
เขาตบหน้าท้องของตนเองเบา ๆ แล้วพูดว่า "ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นอาหารมื้อพิเศษก็แล้วกัน"
...
อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้านเฉิน
หลัวผิงถือหอกเงินวาววับในมือ ร่างทั้งร่างอาบไปด้วยเลือด ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น หอกในมือราวกับสายฝนซัดสาดฟาดฟันสุนัขร้ายที่กรูกันเข้ามาไม่หยุด
สุนัขเหล่านี้ล้วนเป็นสุนัขของหมู่บ้านเฉิน แต่ในตอนนี้มันได้รับอิทธิพลจากพลังชั่วร้ายจนเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด ดวงตาของมันเป็นสีแดงฉาน เขี้ยวแหลมคมเผยออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว อีกทั้งยังเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งเสือชีตาห์
โชคดีที่หลัวผิงมีวิชาหอกที่ช่ำชองและมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีพลังในระดับที่สอง หอกเงินในมือของเขาจึงเปล่งประกายดุดัน มีพลังรุนแรงน่าเกรงขาม
ในขณะนี้ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ยังไร้เดียงสาอีกต่อไป แต่เป็นนักรบที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน
ก่อนหน้านี้ไม่นานเขายังหลับอยู่ แต่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยความเจ็บปวด เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็พบกับสุนัขร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังแทะร่างของตนเอง และรอบข้างก็เป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับใช้ฟันกัดคอสุนัขร้ายตัวหนึ่งจนขาดสะบั้นด้วยความดุร้าย
เลือดอุ่นและเหม็นคาวไหลเข้าคอ กลับยิ่งปลุกสัญชาตญาณนักสู้ในตัวเขาให้เดือดพล่าน
หลัวผิงที่ปากเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ต่อสู้กับสุนัขร้ายเหล่านี้อย่างดุดัน และด้วยความกล้าหาญอย่างล้นเหลือก็จัดการสังหารพวกมันได้ทั้งหมด
เขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพมากมาย ก่อนจะถ่มน้ำลายออกมาและพ่นขนสุนัขที่ติดอยู่ในปากทิ้ง
"เจ้าพวกเดรัจฉาน กัดข้าจนเจ็บไปหมดเลย"
ทั่วร่างของเขามีบาดแผลน้อยใหญ่ เลือดไหลซึมออกมาตลอดเวลา แต่เขากลับทำเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวด ถือหอกยาวเดินกลับไปยังที่พัก
แต่ยังไม่ทันจะเดินไปได้ไกล เขากลับต้องหยุดกะทันหัน
แสงไฟส่องสว่างท่ามกลางความมืดทำให้อุณหภูมิรอบ ๆ สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา
เขาหรี่ตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง มันคือสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ที่เกิดจากเปลวไฟ
เปลวไฟค่อย ๆ หดตัวลงจนเผยให้เห็นใบหน้าที่ชัดเจน
สายตาของหลัวผิงสั่นไหว ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า "ลู่เหยาเซิง?"
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ดวงตาที่เกิดจากเปลวไฟก็ปรากฏความสั่นไหวเล็กน้อย แต่ในทันทีนั้นก็กลับคืนสู่ความนิ่งสงบดังเดิม
…
จางจิ่วหยางกลืนวิญญาณของหลวงจีนเหนิงเหรินเข้าไป ภายใต้พลังพิเศษในการกลืนกินวิญญาณ เขาเริ่มย่อยพลังของอีกฝ่ายพร้อมกับสำรวจความทรงจำในทะเลจิตของตน
สิ่งที่เขาได้เห็นกลับเป็นความลับอันเหลือเชื่อ
ในความทรงจำ หลวงจีนเหนิงเหรินเป็นเพียงพระธุดงค์ที่ไม่มีความสามารถอะไรนัก เขาดำรงชีวิตด้วยการขอทานและมักจะได้ทรัพย์สินจากการทำบุญทำทานจนพอมีชีวิตที่สุขสบาย
กระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับหมอดูตาบอดแซ่หลิน
หมอดูตาบอดคนนั้นทำนายว่าเขามีดวงชะตาที่จะมั่งคั่งร่ำรวยในอนาคต พร้อมกับมอบพระพุทธรูปทองคำองค์เล็กให้
พระพุทธรูปองค์นั้นมีพลังอัศจรรย์มากมาย ไม่เพียงแต่ช่วยขับไล่ผีร้ายได้เท่านั้น ยังช่วยให้เขาฝึกฝนพลังจนเก่งกาจขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้กลายเป็นเจ้าอาวาสวัดซีซาน
แต่ทว่าพระพุทธรูปทองคำนี้กลับมีข้อเสียร้ายแรง มันต้องกินทองคำเป็นอาหาร และปริมาณที่ต้องการเพิ่มขึ้นทุกวัน หากไม่สามารถหาทองคำมาให้ได้ มันจะก่อให้เกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัว เช่น หลวงจีนเหนิงเหรินมักจะตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับพบรอยไหม้บนร่างกาย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องสะสมทองคำอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าในวัดจะดูงดงามหรูหรา แต่แท้จริงแล้วแผ่นทองที่หุ้มพระพุทธรูปถูกเปลี่ยนเป็นทองเหลืองไปหมด สิ่งที่ได้มาทั้งหมดถูกใช้ไปกับการเลี้ยงพระพุทธรูปองค์นี้
เมื่อเวลาผ่านไป หลวงจีนเหนิงเหรินจึงคิดการใหญ่ หวังรวบรวมทองคำก้อนโตครั้งสุดท้ายแล้วกำจัดพระพุทธรูปองค์นี้ทิ้งไป
เขาจึงเล็งเป้าหมายไปที่ตระกูลโจว และเรียกร้องเอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูล คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา แต่ไม่คาดว่าจางจิ่วหยางจะเข้ามาขัดขวางแผนการ
เดิมทีเขาคิดจะแก้แค้น แต่คืนนั้นหมอดูตาบอดแซ่หลินกลับมาหาเขาเพื่อขอพระพุทธรูปคืน
เขาไม่ยอมให้ เพราะพระพุทธรูปกินทองของเขาไปมากมาย ยังไม่ได้ผลตอบแทนคืนมาก็จะเสียไปไม่ได้เด็ดขาด แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือพระพุทธรูปกลับร้อนขึ้นอย่างฉับพลัน กระโดดออกมาจากมือของเขา พร้อมกับร่างที่ขยายใหญ่ขึ้น ใบหน้าของมันเปลี่ยนไปจนกลายเป็น…จางจิ่วหยาง!
ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจของเขา ร่างทองคำที่มีใบหน้าเหมือนจางจิ่วหยางได้กลายเป็นของเหลวสีทองเดือด ไหลเข้ามาอาบร่างของเขาจนมิด ไม่เพียงแค่เผาผิวหนังจนไหม้เกรียม แต่ยังไหลเข้าปากไปต้มสุกอวัยวะภายในของเขา
...
จางจิ่วหยางลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว ในดวงตายังคงเต็มไปด้วยความตกตะลึง
พระพุทธรูปทองคำ...ดันมีหน้าตาเหมือนเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน?
เขานึกย้อนกลับไปถึงครั้งแรกที่เห็นพระพุทธรูปนี้ ตอนที่มันส่องแสงพุทธะขับไล่เหล่าผีร้าย เขารู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย
ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเพราะพลังอันลึกลับของพระพุทธรูป แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าพระพุทธรูปนี้อาจมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับเขาที่ไม่อาจอธิบายได้
"สลักสามผู้วิเศษลงในทอง สลักสามผู้วิเศษลงในทอง…"
จางจิ่วหยางเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่าง เขาอุทานออกมาดังลั่น "แย่แล้ว ต้องรีบแจ้งพวกเขา!"
พูดจบเขารีบคว้าดาบแล้วพุ่งตรงไปทางทิศตะวันออกทันที
...
เยวี่ยหลิงเดินอยู่บนถนนใหญ่ เส้นผมสีดำปลิวไสว ดวงตาคมกริบดั่งใบมีด กวาดมองทุกมุมอย่างระมัดระวัง
เมื่อครู่มีแสงสีแดงพุ่งเข้าใส่ เธอชักดาบออกมาฟันสวน แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนกลับด้าน และถูกส่งไปยังมุมตะวันออกของหมู่บ้าน
ทว่ารอบข้างกลับไม่มีร่องรอยของค่ายกลแม้แต่น้อย
ในชั่วพริบตา เธอก็ตระหนักถึงบางสิ่งที่น่ากลัว
ที่พวกเธอหาไม่พบสิ่งชั่วร้ายในหมู่บ้านตอนกลางวัน ไม่ใช่เพราะมันซ่อนตัวได้เก่ง แต่เพราะหมู่บ้านแห่งนี้เอง…คือตัวตนของสิ่งชั่วร้ายที่แท้จริง!
ปากทางเข้าหมู่บ้านคือปากของมัน ส่วนภายในหมู่บ้านคืออวัยวะภายในของมัน เหล่าชาวบ้านเป็นเพียงอาหารในกระเพาะของสิ่งชั่วร้ายที่ถูกย่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านความตายครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดพลังอาฆาตออกมาให้มันดูดกลืนเป็นพลังงาน
เพราะเหตุนี้เอง พวกเธอจึงถูกส่งไปยังที่ต่าง ๆ อย่างกะทันหัน
เยวี่ยหลิงรู้ทันทีว่าตนเองประเมินหลินเซี่ยจื่อต่ำไป วิธีการเช่นนี้เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
"แม่ทัพเยวี่ย ข้าเอง รีบมาทางนี้!"
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากระยะไกล ร่างในชุดแพรขาวถือดาบยาวสะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลัง ก็คือจางจิ่วหยางนั่นเอง
ดวงตาของเยวี่ยหลิงฉายแววสงสัย เธอเพิ่งจะก้าวไปได้ก้าวหนึ่งก็ต้องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงอีกด้านหนึ่งดังขึ้นมาเช่นกัน
"อย่าไป! เขาเป็นตัวปลอม!"
ดวงตาของเยวี่ยหลิงหรี่ลง มือหนึ่งวางบนด้ามดาบมังกรหงส์อย่างช้า ๆ
ภายใต้แสงจันทร์ จางจิ่วหยางสองคนวิ่งตรงมาทางเธอ ทั้งสองมีใบหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ชุดก็เหมือนกัน แม้กระทั่งท่าทางร้อนรนก็ยังไม่ต่างกันเลย