บทที่ 49 มีวาสนาพานพบ
“โชคดีที่ข้าเป็นสุภาพชน ไม่ลุแก่อารมณ์ ไม่หลงใหลในความงาม ศิษย์พี่หนอศิษย์พี่ ท่านช่างไว้วางใจข้ายิ่งนักที่กล้าหลับไปต่อหน้าข้าเช่นนี้” ซูไป๋อีวางหนานกงซีเอ๋อร์ลงบนเตียง พลางลุกขึ้นยืน ก่อนกล่าวเสียงเบา
“เฟิงจั่วจวินพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ ศิษย์พี่ช่างงดงามยิ่งนัก ทั้งยังมีเรือนร่างที่น่า…”
ทันใดนั้น เรียวขาของหนานกงซีเอ๋อร์กลับกระตุกเข่ายกชันขึ้นเล็กน้อย เผยท่าทอดร่างอันน่าเย้ายวนใจ
“แย่แล้ว แย่แล้ว แย่แล้ว แย่แล้ว!” ซูไป๋อีเบิกตาค้างไปครู่ ก่อนรีบส่ายหัวปฏิเสธความคิดของตนเอง
“ข้าเป็นคนมีการศึกษา จะคิดเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ได้อย่างไร! ศิษย์พี่จะงดงามหรือไม่งดงาม นางก็คือศิษย์พี่! หรือหากศิษย์พี่ไม่งดงาม จะไม่ใช่ศิษย์พี่แล้วหรือ?”
ขนตาของหนานกงซีเอ๋อร์สั่นไหวเล็กน้อย แต่ยังไม่ลืมตา
ซูไป๋อีเดินกลับไปที่ม้านั่งข้างๆ พลางหยิบเก้าอี้เล็กๆ มาวางข้างเตียง ก่อนนั่งลงพึมพำ “เพียงนั่งมองเฉยๆ มันก็หาได้ผิดกฎเสียหน่อย…”
แต่หนานกงซีเอ๋อร์กลับพลิกตัวไปอีกด้านทันที
ซูไป๋อีอึ้งไปชั่วครู่ก่อนถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นคลุมผ้าห่มให้หนานกงซีเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง จากนั้นเดินกลับไปที่ม้านั่ง เป่าเทียนจนดับสนิท แล้วนั่งขัดสมาธิฝึกปราณ
ตั้งแต่ที่เขาฝึกคัมภีร์เซียนของเซี่ยคั่นฮวาเป็นเวลาหลายเดือน เขาก็มีอาการแปลกๆ หากหลับสนิท เขาจะสูญเสียการควบคุมสติ แต่กลับได้พลังมหาศาลแทน ครั้งหนึ่งเคยเกือบพังลานบ้านจนเสียหายหมดสิ้น
หลังจากนั้นเซี่ยคั่นฮวาสอนวิชาที่ช่วยให้เขาเข้าสู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นขณะฝึกปราณแทน แม้จะไม่สบายเหมือนการนอนหลับจริงๆ แต่ก็ช่วยหลีกเลี่ยงอันตรายได้
“ไม่รู้ว่าเฟิงจั่วจวินกับเซี่ยอวี่หลิง ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง…”
บนถนนหลวง
เซี่ยอวี่หลิงกำลังสะบัดแส้ใส่ม้าอย่างแรง “เร็วเข้า! เร็ว!”
“เจ้าช้าลงหน่อย! กระดูกข้าแทบแหลกหมดแล้ว!” เฟิงจั่วจวินที่นอนอยู่ในเกวียนส่งเสียงร้องโอดโอย ร่างกายของเขาพันด้วยผ้าขาวเต็มไปหมด บ่งบอกถึงบาดแผลสาหัส “ว่าแต่ เซี่ยอวี่หลิง เจ้านี่ตั้งใจพันข้าแบบนี้ใช่หรือ?”
“เจ้าบอกเองว่าต้องรีบเดินทาง แล้วเจ้ากลับมาบอกว่ากระดูกจะแหลก ไยเจ้าไม่บินไปเองเล่า?” เซี่ยอวี่หลิง สีหน้าซีดเซียวดูอ่อนล้า
“ศิษย์พี่คงเดินทางทางน้ำแน่นอน เรือจินเฟิงของตระกูลมู่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดไปยังต้าเจ๋อ หากเราไม่รีบ เราอาจช้ากว่าพวกเขาถึงครึ่งเดือน หากศิษย์พี่ถึงแล้ว แต่ข้าเฟิงจั่วจวินผู้สืบทอดตระกูลเฟิงยังไปไม่ถึง มันจะไม่ยุ่งเหยิงหรือ? แต่เจ้าก็ช่วยดูแลข้าบ้างเถอะ หากไม่ใช่เพราะข้าช่วยเจ้า ข้าก็คงไม่เจ็บตัวขนาดนี้!” เฟิงจั่วจวินพูดอย่างหงุดหงิด
วันนั้นมือสังหารจากตำหนักชิงหมิงเล่นงานเซี่ยอวี่หลิงด้วยการโจมตีหนักหน่วง โชคดีที่เฟิงจั่วจวินเสี่ยงชีวิตเข้าขวางไว้ จึงช่วยให้เซี่ยอวี่หลิงรอดพ้นจากบาดแผลสาหัสได้ แม้ว่าเขาจะปากแข็ง แต่ลึกๆ เขาก็ยังรู้สึกผิด จึงไม่ได้โต้กลับ เพียงสะบัดแส้เร่งความเร็วอีกครั้ง
“ช้าๆ หน่อย! ช้าๆ! เจ้าไม่มีวิธีที่เดินทางเร็วแต่ไม่สะเทือนอย่างนี้หรือ?” เฟิงจั่วจวินร้องอย่างหมดความอดทน
“ไม่มี” เซี่ยอวี่หลิง ไอเบาๆ ก่อนตอบอย่างเย็นชา
เฟิงจั่วจวินขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูด “พรุ่งนี้เช้าเราน่าจะถึงเมืองหนึ่งได้ เราจะจ้างคนขับรถเพิ่มสองคนให้ผลัดกันขับตลอดทั้งวันทั้งคืน และเปลี่ยนม้าทุกครั้งที่ผ่านเมือง วิธีนี้น่าจะช่วยให้เราไม่ล่าช้ากว่าพวกเขา”
“ตกลง เจ้าเป็นทายาทตระกูลเฟิง เจ้ามีเงิน ข้าย่อมไม่ขัดข้อง” เซี่ยอวี่หลิงกล่าวเบาๆ พลางดึงสายบังเหียนให้รถม้าวิ่งช้าลง
หลังจากเดินทางอีกเกือบชั่วยาม เซี่ยอวี่หลิงเริ่มรู้สึกอ่อนล้าจนแทบทรงตัวไม่อยู่ แม้ภายนอกจะดูเหมือนเขาไม่ได้บาดเจ็บสาหัสเท่าเฟิงจั่วจวิน แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บภายในรุนแรงเช่นกัน
ที่เบื้องหน้า เขามองเห็นทะเลสาบกว้างใหญ่ผืนน้ำสงบดั่งกระจก สะท้อนภาพดวงจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า และริมทะเลสาบนั้น มีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ในความมืดมิด ร่างนั้นดูสูงโปร่งและสง่างาม
กลางดึก ในพื้นที่รกร้างริมทะเลสาบใหญ่ เหตุใดถึงมีคนยืนชมทิวทัศน์เพียงลำพัง?
หรือจะเป็นมือสังหารจากสำนักสวรรค์ซ่างหลินอีกแล้ว?
เซี่ยอวี่หลิงกำบังเหียนไว้แน่นด้วยมือขวา มือซ้ายแตะที่กระบี่ตรงเอว พลางพยายามรวบรวมปราณ แต่ปราณในร่างกลับพุ่งพล่านไร้ระเบียบ ดวงตาเขาพร่าเลือนก่อนหมดสติไปในที่สุด
ส่วนเฟิงจั่วจวินซึ่งนอนอยู่ในเกวียนนั้นหลับสนิทและไม่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติใดๆ
ม้าที่ไร้สารถีเริ่มแตกตื่นและวิ่งสะเปะสะปะตรงไปยังริมทะเลสาบ แต่ก่อนที่เกวียนจะเสียหลัก มีมือหนึ่งที่ขาวราวกับหยกบริสุทธิ์คว้ากุมบังเหียนไว้อย่างมั่นคง
เมื่อพวกเขามองออกไปยังริมทะเลสาบ พบว่าที่นั่นว่างเปล่า ไม่มีเงาของผู้ใดหลงเหลือ มีเพียงชายหนุ่มในชุดปราชญ์สีฟ้าอ่อนนั่งอยู่บนรถม้า มือหนึ่งคว้าบังเหียน อีกมือประคองเซี่ยอวี่หลิง ไว้อย่างอ่อนโยน
เขาพึมพำเบาๆ ราวพูดกับตัวเอง “สายลมเย็นจันทร์สว่าง การพบพานกลางน้ำลอยตามกระแส…ช่างเป็นวาสนาที่ประหลาดนัก”
เช้าวันรุ่งขึ้น
แสงแดดอันสดใสส่องลงมาทอประกายบนพื้นน้ำ รถม้าหยุดพักอยู่ริมทะเลสาบ ม้าหลายตัวก้มหน้าเล็มหญ้า เซี่ยอวี่หลิงลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ และตกใจกับภาพที่เห็น เขารีบคว้ากระบี่พร้อมตะโกนเรียกเฟิงจั่วจวินด้วยเสียงต่ำ “เฟิงจั่วจวิน! ตื่นเดี๋ยวนี้!”
เฟิงจั่วจวินสะดุ้งเฮือกและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยบาดแผลทั้งตัวที่ยังเจ็บปวด เขากัดฟันร้องออกมา “มีอะไร! มีอะไร!”
“บางอย่างไม่ชอบมาพากล” เซี่ยอวี่หลิงจ้องไปที่ริมทะเลสาบ ซึ่งมีชายหนุ่มในชุดปราชญ์สีฟ้ายืนหันหลังให้พวกเขา ชายหนุ่มเงยหน้าดื่มสุราจากน้ำเต้าหนึ่งคำ เซี่ยอวี่หลิงสังเกตเห็นว่าทะเลสาบแห่งนี้ไม่ใช่ทะเลสาบใหญ่ที่พวกเขาเห็นเมื่อคืน แต่เป็นเพียงทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ไม่ชอบมาพากลตรงไหน?” ชายหนุ่มในชุดสีฟ้าหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนแขวนสุราน้ำเต้าไว้ที่เอว
“เมื่อคืน ถ้าข้าไม่ช่วย รถม้าของพวกเจ้าคงวิ่งลงไปในทะเลสาบแล้ว พวกเจ้าสองคนเป็นหนุ่มรูปงามเช่นนี้ คงถูกผีสาวในทะเลสาบฉวยโอกาสเสียแล้ว”
ทั้งเซี่ยอวี่หลิงและเฟิงจั่วจวินตกตะลึง ไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา แต่เพราะความงามของชายหนุ่มตรงหน้า
พวกเขาทั้งคู่เกิดในตระกูลใหญ่ รูปร่างหน้าตาก็นับว่าหล่อเหลามากแล้ว เฟิงจั่วจวินสูงใหญ่ ดุดัน มักอวดตนว่าเป็นชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์ป่าเถื่อน ส่วนเซี่ยอวี่หลิงร่างบางเงียบขรึม ดูอ่อนแอแบบที่หญิงสาวในเจียงหนานชื่นชอบ หากรวมกับซูไป๋อีที่เพิ่งเข้ามาร่วมกลุ่ม ซึ่งอบอุ่นเป็นกันเองและมักมีรอยยิ้มสดใส แต่ละคนต่างดึงดูดใจหญิงสาวในแบบของตน
แต่ชายหนุ่มในชุดปราชญ์เบื้องหน้าไม่เหมือนกัน เขาดูจะเป็นคนที่หญิงสาวทั่วทั้งแผ่นดินต้องหลงใหล หรืออาจทำให้หญิงสาวทั้งหลายต้องอิจฉา
เพราะเขารูปงามเกินคำบรรยาย
ยามยืนรับแสงแดดยามเช้า เขาเหมือนหยกชิ้นหนึ่งที่งดงามจนไร้ที่ติ
“เจ้าเป็นใคร?” เซี่ยอวี่หลิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“คนที่มีวาสนาพานพบ” ชายหนุ่มยิ้มพลางโชว์ฟันขาวราวไข่มุก ดวงตาเปล่งประกายสดใสดั่งดวงดาว