บทที่ 48 โกหก
“อาจารย์ข้าเป็นคนที่น่าสนใจมาก” ซูไป๋อีเริ่มเล่าหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
หนานกงซีเอ๋อร์ค่อยๆ ตักข้าวเข้าปาก สีหน้านิ่งสงบ “อืมม์”
“ที่หมู่บ้านดอกท้อ อาจารย์เปิดโรงเรียนเล็กๆ เพื่อหาเลี้ยงเรา แต่นั่นก็เพียงพอให้เรามีกินแค่หมั่นโถว ไม่มีเงินเหลือพอสำหรับสุรา เขาจึงขายตัวอักษรที่เขียนไว้ ข้าจำได้ว่าเขาเขียนตัวอักษรได้งดงามมาก แต่เขาขี้เกียจ จึงสอนข้าเขียนแทน ทุกช่วงสิ้นปี ข้าจะเขียนป้ายอวยพรขายให้เหล่าตระกูลใหญ่ในเมือง ช่วงเวลาเพียงครึ่งเดือน ข้าสามารถหาเงินเลี้ยงชีพได้เกือบครึ่งปี อาจารย์เคยสัญญากับข้าว่าเงินที่เหลือจะมอบให้ข้าทั้งหมด แต่ทุกปีเขาใช้เงินหมดพอดีเสมอ ไม่เคยเหลือเลยสักแดงเดียว”
ซูไป๋อีหยุดชั่วครู่เพื่อสังเกตสีหน้าของหนานกงซีเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่านางยังคงสงบ จึงเล่าต่ออย่างคล่องแคล่ว “ต่อมาข้าฉลาดขึ้น เริ่มแอบเก็บเงินบางส่วนไว้เอง แต่พอทำแบบนั้น เงินก็ไม่พอใช้อีก อาจารย์จึงสอนให้ข้าฟังเสียงลูกเต๋า และให้ข้าไปเล่นพนันหาเงินเพิ่ม แต่ต้องจงใจแพ้บ้างเป็นบางครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต”
“ฟังเสียงลูกเต๋า?” หนานกงซีเอ๋อร์ จิบซุปเบาๆ
“ใช่ ตอนนี้ข้ามีหูที่ไวมาก หากปิดตา ข้าก็ยังสามารถฟังเสียงกระบี่ของอาจารย์ที่ฟันต้นท้อ แล้วนับจำนวนกลีบดอกที่ร่วงลงมาได้” ซูไป๋อีกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“ไม่น่าแปลกใจเลย นั่นเป็นการฝึกฝนวิชาสดับลมจับตำแหน่ง” หนานกงซีเอ๋อร์พยักหน้า “ว่าแต่ อาจารย์ของเจ้าชอบดื่มสุรามากหรือ?”
“ชอบมากเลย เขาบอกว่าเพราะสุราที่หมู่บ้านดอกท้อมีรสดี เขาจึงอยู่ที่นั่น แต่สิ่งที่แปลกคือ บางครั้งเขาดื่มสุราไหใหญ่เข้าไปกลับไม่เมา ดวงตายิ่งแจ่มใส แต่บางครั้งเพียงดื่มไปไม่กี่อึก เขากลับเมาเสียแล้ว” ซูไป๋อีส่ายหัวพลางขบขัน “อาจารย์ของข้าเป็นคนอารมณ์ดีเสมอ ใจดีและชอบล้อเล่น ชาวบ้านต่างรักเขา แต่ข้าว่าภายในใจของอาจารย์…คงกำลังเศร้า”
“เศร้า?” หนานกงซีเอ๋อร์ขนตาสั่นเล็กน้อย
“เมื่ออาจารย์เมา บางครั้งเขาจะทำสิ่งแปลกๆ มีครั้งหนึ่ง เขาร่ายกระบี่ทั้งคืนในลานบ้านโดยไม่พูดอะไรเลย บางครั้งก็ปีนขึ้นไปนอนบนต้นท้อ มองดวงดาวตลอดทั้งคืน หรือบางครั้งก็ดึงข้าไปฟังเขาเล่าเรื่องราวของเขาในยุทธภพ และมีเพียงไม่กี่ครั้ง ที่เขาจะร้องไห้เหมือนเด็ก พูดว่าเขาไร้ค่า ไม่ใช่เจตนากระบี่อันดับหนึ่งเซี่ยคั่นฮวา แต่เป็นแค่คนอ่อนแอไร้ค่า”
หนานกงซีเอ๋อร์ที่ฟังอยู่อย่างสงบ เริ่มเผยสีหน้าอ่อนโยน ซูไป๋อียิ้มเล็กน้อย เขารู้ว่านางอยากฟังเรื่องอะไร
“เมื่ออาจารย์เมา เขามักร้องเพลงบทนี้” ซูไป๋อี ใช้ตะเกียบเคาะถ้วยเบาๆ พลางร้องบทกลอน
“มัดฟืนแนบแน่น แช่มชมดาราสามดวงเฉิดฉันบนฟ้าไกล คืนนี้เป็นคืนใด ไยพบคนผู้เลอค่าเช่นนี้? โอเจ้า โอ้เจ้าผู้เลอค่า คราได้พบพาน เราพานพบกันเช่นไร บุรุษเยี่ยงนี้มีค่าฤๅ?
พันเกลียวมัดหญ้า แช่มชมดาราสามดวงเฉิดฉันบนฟ้าไกล คืนนี้เป็นคืนใด ได้พบพานโดยบังเอิญ? โอเจ้า โอ้เจ้าผู้เลอค่า ไฉนโชคชะตาเช่นนี้?
พันเกลียวมัดต้นไม้ แช่มชมดาราสามดวงเฉิดฉันบนฟ้าไกล คืนนี้เป็นคืนใด ได้พานพบคนที่เปล่งประกาย? โอเจ้า โอ้เจ้าผู้เลอค่า ไฉนเปล่งประกายเช่นนี้?”
หนานกงซีเอ๋อร์ ฮัมตามเบาๆ หลังจากร้องจบ ทั้งคู่ต่างเงียบ ทานอาหารในบรรยากาศที่เงียบงันแต่ไม่อึดอัด
เมื่อทานเสร็จ ซูไป๋อีเก็บอาหารใส่ปิ่นโต ก่อนรินสุราให้ตนเองและหนานกงซีเอ๋อร์
“บางเรื่อง ถ้าดื่มสุราไปด้วย การเล่าก็ยิ่งมีรสชาติ” ซูไป๋อีกล่าวขณะวางกระบี่ลงบนโต๊ะอย่างมั่นคง
หนานกงซีเอ๋อร์จิบสุราหนึ่งอึก ก่อนพูดขึ้น “มารดาของข้าบอกว่าบิดาเป็นคนที่มีความสามารถมาก อ่านตำรามาก็เยอะ ไปมาหลายที่ แต่…” นางหยุดคำพูดไปครู่หนึ่ง
“แต่รักเพียงคนเดียว” ซูไป๋อี กล่าวพร้อมดื่มสุรา “อาจารย์ข้าก็เคยพูดเช่นนี้ เขามีความสามารถมาก กล่าวอ้างคัมภีร์ได้อย่างลื่นไหล เขียนบทกวีสิบบทจากดอกท้อเพียงดอกเดียว และออกท่องไปทั่ว หลายสถานที่ในยุทธภพที่เขาเคยผ่านไป ทั้งเมืองซุ่ยเย่ทางเหนือ หรือเกาะทางใต้ของทะเล แต่สุดท้ายเขากล่าวเสมอว่า เขาสัญญากับสตรีนางหนึ่งว่าจะนำพาศิษย์กระบี่สามร้อยคน สวมชุดขาว ควบม้าไปยังอวิ๋นเหมิง พร้อมธงที่มีข้อความว่า ‘มือกระบี่เซี่ยคั่นฮวาจะแต่งงานกับเซียนหญิงหนานกงอวี่เหวิน ยินดีต้อนรับวีรชนทั่วหล้า’ แต่เขาไม่เคยทำได้ เมื่อเขาเดินทางไปถึง ลัทธิมรรคาสวรรค์เพียงลำพัง อวิ๋นเหมิงกลับกลายเป็นแดนรกร้างอีกครั้ง”
หนานกงซีเอ๋อร์เงียบไป ก่อนจิบสุราอีกอึกโดยไม่ได้เอ่ยคำใด
“อาจารย์ข้าเคยบอกว่าตลอดชีวิตนี้ มีสามเรื่องที่เขาเสียดายที่สุด เรื่องแรกคือ เขาอยากเป็นอิสระ ไร้สังกัด ไร้บ้าน แต่ว่า…เพราะสู้ซูหานไม่ได้ จึงถูกบังคับให้เข้าร่วมสำนักสวรรค์ซ่างหลิน ทำให้ต้องมีที่พักอาศัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรื่องที่สองคือ เขาอยากตัดขาดจากตระกูลไม่ผูกพันใดๆ แต่เพราะเด็กกลุ่มหนึ่งที่โดนเขาทำเรื่องผิดพลาดจนลำบากมาตั้งแต่ยังเล็กๆ เขาไม่อาจทอดทิ้งพวกเขาได้ แม้เหล่าผู้อาวุโสพวกนั้นจะน่าโมโหเพียงใด แต่เด็กๆ เหล่านี้ทำให้เขาต้องกลับไป เจียงหนานเป็นระยะเพื่อข่มขู่ผู้อาวุโสเหล่านั้น เรื่องที่สาม เขาอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระ ปราศจากความรักความผูกพัน แต่เมื่อเขาได้พบสตรีผู้นั้น เขากลับไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของหัวใจ เขาสูญเสียความอิสระไปตลอดกาล ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม ภาพของสตรีผู้นั้นจะผุดขึ้นมาในหัวเสมอ และที่น่าโมโหที่สุดคือ เขากลับชอบความรู้สึกไร้อิสระนี้มาก เขาบอกว่าทิวเฟิงซู่แดงในซุ่ยเย่งดงาม ทะเลทางใต้มีหมื่นพันสีสัน แต่อวิ๋นเหวินที่ไม่มีอะไรเลยกลับดูสมบูรณ์แบบ เพียงเพราะมีนางยืนเคียงข้าง”
ซูไป๋อี ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “อาจารย์ข้าแต่งบทกวีจากดอกท้อเป็นสิบบท ข้าจะอ่านให้ศิษย์พี่ฟังสักสองสามบท…”
“หรือจะเป็นเรื่องราวที่อาจารย์เล่าให้ข้าฟังถึงตอนที่เขากับสตรีผู้นั้นไปสำรวจทะเลทรายในอวิ๋นเหวิน…”
“หรือเรื่องที่เขาเคยบอกว่าเขามีลูกสาวตัวน้อย หน้าตาจิ้มลิ้มดั่งตุ๊กตา แต่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาตามหานางมาหลายปีแล้ว…”
หนานกงซีเอ๋อร์ไม่พูดอะไร ฟังด้วยรอยยิ้มบาง บ้างก็ถามคำถาม ขณะที่ดื่มสุราไปเรื่อยๆ หลังจากฟังซูไป๋อีเล่าเรื่องอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วยาม นางเริ่มมีอาการมึนเมาและฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป
ซูไป๋อีเรียกเบาๆ “ศิษย์พี่…ศิษย์พี่…”
แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินไปอุ้มนางขึ้น “เหตุใดจึงหลับไปเช่นนี้? แต่ก็ดีแล้ว หากยังตื่นอยู่ ข้าก็คงเล่าอะไรต่อไม่ได้จริงๆ”
เสียงเบาๆ จากหนานกงซีเอ๋อร์ลอยมา น้ำเสียงคล้ายละเมอ “เจ้าโกหก…”
“หา?”
“เจ้าหลุดปากไปเองว่า เซี่ยคั่นฮวาจากอวิ๋นเหวินไปแล้ว ไม่เคยพบมารดาของข้าอีกเลย แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร ว่าข้าคือเด็กหญิงที่หน้าตางดงามจิ้มลิ้ม”
“นั่นข้าคงจำผิด…”
“และอวิ๋นเหวินก็ไร้ซึ่งทะเลทราย มีแต่ป่าภูเขาสิบหมื่นลูก ที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด”
“อาจเป็นเพราะข้าหลงทางเสียแล้ว…”
“ลำบากเจ้านัก ตั้งแต่เริ่มพูดเรื่องสามสิ่งนั้น เจ้าก็แต่งเรื่องขึ้นมาตลอด แต่ข้ากลับชอบเรื่องโกหกของเจ้ามากจริงๆ” หนานกงซีเอ๋อร์เอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนหลับสนิทในที่สุด