ตอนที่แล้วบทที่ 46 ฝึกกระบี่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 48 โกหก

บทที่ 47 พยัคฆ์หลับไหล


บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนใช้มือเคาะเบาๆ บนหน้ากากของตน

“ดูเหมือนว่าเรือจินเฟิงลำนี้ จะมีทั้งมังกรซ่อนอยู่ในห้วงลึก และพยัคฆ์หลับไหลในผืนป่าจริงๆ”

หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย พลางโค้งตัวอย่างงดงาม “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณที่สายตาของตระกูลมู่ไม่ค่อยเฉียบแหลมนัก ถึงทำให้พวกเราแทรกตัวเข้ามาในห้องชั้นฟ้าได้ หากพวกเขารู้ตั้งแต่แรกว่ามีแขกจากสำนักสวรรค์ซ่างหลินอยู่บนเรือ ที่นี่คงไม่มีที่ให้พวกตัวเล็กๆ อย่างพวกเราอยู่กระมัง”

“เจ้าจงใจทำให้ข้ารู้สึกอับอายกระมัง? อรหันต์พันหน้า มู่หลงเหอ” บุรุษสวมหน้ากากกล่าวช้าๆ

“ผิดแล้ว ข้ามิใช่มู่หลงเหอ” หญิงสาวยิ้มพลางปิดปากหัวเราะ

“เช่นนั้นหรือว่าเจ้าเป็น เหอเสวี่ยผู้โด่งดังในนามบุรุษพันหน้า?” บุรุษสวมหน้ากากถามต่อ

“ข้าเคยได้ยินว่าตำหนักพันกลศาสตรา รู้ทุกเรื่องในใต้หล้า แต่ข้าคือใครเจ้าคงไม่มีทางเดาถูก”หญิงสาวยิ้มหวานก่อนทำท่าชี้มือเชิญ “ข้าต้องกลับห้องแล้ว คุณชายโปรดเดินทางปลอดภัย”

“อืมม์” บุรุษสวมหน้ากากหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ครานี้เป็นชายชราในชุดคลุมทองที่เดินกลับเข้ามาในห้อง เขาขมวดคิ้วพลางกล่าวกับตัวเอง “ข้าคงทำให้เขารู้สึกอับอายจริงๆ”

หนานกงซีเอ๋อร์ ถอนหายใจยาวก่อนวางกระบี่ลง แม้ความกังวลจะบรรเทาลง แต่ยังคงมีความสงสัยในใจ คนที่พักอยู่ห้องข้างๆ สองคนนั้นคือใครกันแน่? ทำไมถึงกล้าต่อกรกับสำนักสวรรค์ซ่างหลินเพื่อปกป้องนาง? และในห้องที่ปิดสนิทนั้น ยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่? หากมี พวกเขาเป็นใคร?

เรือจินเฟิงลำนี้ ดูซับซ้อนยิ่งกว่าที่นางจินตนาการไว้มากนัก

“คุณชาย คิดตกแล้วหรือยัง?” พ่อบ้านเหยียน เอ่ยถามเมื่อเห็น มู่เหนียนฮวา กลับมาจากดาดฟ้า เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มหนึ่งอึกก่อนเอ่ยต่อ

มู่เหนียนฮวาทรุดตัวนั่งตรงข้าม เข้าสู่บทสนทนาด้วยคำถามแรก “หากข้าตัดสินใจทำจริงๆ เจ้าจะจับข้ามัดแล้วส่งกลับตระกูลมู่หรือไม่?”

พ่อบ้านเหยียน ส่ายหน้า “ข้ามิกล้า คุณชายคือเจ้านาย ส่วนข้าคือบ่าว แม้ข้าจะไม่เต็มใจสักเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องฟังคำสั่งคุณชาย”

“จริงหรือ?” มู่เหนียนฮวา ยกคิ้ว

“จริง” พ่อบ้านเหยียน ตอบพร้อมรินชาอีกถ้วยให้

มู่เหนียนฮวา ดื่มชาหมดในรวดเดียว ก่อนวางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างหนักแน่น “งั้นทำเลย!”

“คุณชายไม่คิดทบทวนอีกหรือ?” พ่อบ้านเหยียน ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อวิ๋นเซี่ย” มู่เหนียนฮวา ร้องเรียกเสียงดัง หญิงงามในชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมยื่นลูกคิดทองคำบริสุทธิ์ให้เขา

เขารับลูกคิดนั้นมาและวางลงตรงหน้าของพ่อบ้านเหยียน “ลูกคิดของเจ้าเสียไปแล้ว ข้านำทองคำมามอบให้ เจ้าใช้มันคำนวณให้ข้าที”

พ่อบ้านเหยียน ขมวดคิ้วถาม “คุณชายต้องการคำนวณเรื่องใด?”

มู่เหนียนฮวายิ้มเล็กน้อย “เจ้าเฉลียวฉลาดนัก จะไม่รู้หรือว่าข้าหมายถึงเรื่องใด? คำนวณเถิด”

พ่อบ้านเหยียนถอนหายใจยาว ก่อนหยิบลูกคิดขึ้นมาคำนวณ “บนเรือจินเฟิงมีทหารคุ้มกันสามร้อยนาย ส่วนตำหนักชิงหมิงที่ขึ้นมาบนเรือนี้มีดาบสังหารทั้งหมดสิบเก้าเล่ม ทหารสามร้อยนายนี้ คงเป็นเพียงเป้าหมายที่ใช้เพียงหนึ่งดาบต่อหนึ่งคน”

มู่เหนียนฮวาหยิบลูกคิดกลับมาเคาะเสียงดังสองสามครั้ง “แต่เรามีทองคำสิบเก้าเล่ม ที่จ้างยอดฝีมือจากยุทธภพมาเป็นผู้ติดตาม พวกเขาไม่น่าจะรับมือไม่ได้”

พ่อบ้านเหยียนเคลื่อนไหวลูกคิดลบตัวเลขทั้งหมด “หากยอดฝีมือที่จ้างมาด้วยเงินทองสามารถเอาชนะศิษย์สำนักสวรรค์ซ่างหลินได้ โลกนี้ก็คงมีตระกูลมู่เป็นที่หนึ่งนานแล้ว ทองคำสิบเก้าเล่มนี้ก็เป็นเพียงแค่ดาบที่ใช้ฟันคนได้หนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น”

“เช่นนั้น แล้วพวกเขาสองคน...” มู่เหนียนฮวา ใช้นิ้วเลื่อนลูกคิดสองเม็ดขึ้นไป

พ่อบ้านเหยียนใช้นิ้วลูบเม็ดลูกคิดสองเม็ดบนแผ่นทองคำ ก่อนพูดช้าๆ “พวกเขาสองคนมีอยู่ก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ หากเราต้องพึ่งพาผู้ติดตามสามร้อยคนและดาบทองคำสิบเก้าเล่ม เรือจินเฟิงคงจมลงก้นแม่น้ำไปนานแล้ว แต่สองคนนี้คือไพ่ใบสุดท้าย หากไพ่ใบสุดท้ายถูกเปิดออกแล้วยังไร้ผล นั่นหมายความว่าเราจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง”

“หากมีเพียงดาบสังหารสิบเก้าเล่ม เราคงไม่ต้องกังวลอะไร” พ่อบ้านเหยียนกล่าวพลางถอนหายใจ “แต่ปัญหาคือพวกเขามาพร้อมกับพยัคฆ์ตัวหนึ่ง”

“พยัคฆ์?” มู่เหนียนฮวาขมวดคิ้ว

“แม้เหวินเจ๋อแห่งตำหนักพันกลศาสตราจะไม่ได้เอ่ยชื่อคนผู้นั้นออกมา แต่ข้าก็พอคาดเดาได้ คนที่เขาหมายถึงต้องเป็น รองเจ้าตำหนักชิงหมิงที่มีฉายาพยัคฆ์หลับไหล คนผู้นี้…ฝีมือร้ายกาจยิ่ง” พ่อบ้านเหยียน กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ร้ายกาจเพียงใด?” มู่เหนียนฮวา ถาม

พ่อบ้านเหยียนก้มหน้าใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนฟาดลูกคิดสองเม็ดลงด้วยแรงหนักแน่น

“ไม่มีโอกาสเลยหรือ?” มู่เหนียนฮวายังคงไม่ละความหวัง

“ไม่มีโอกาสเลย” พ่อบ้านเหยียนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“แล้วห้องหิมะวสันต์ในชั้นฟ้าเล่า?” มู่เหนียนฮวาลดเสียงลงอย่างมาก พลางจ้องมองพ่อบ้านเหยียน

พ่อบ้านเหยียน กดลูกคิดทองคำลงพร้อมพูดช้าๆ “ต่อให้ท่านขนสมบัติทั้งตระกูลมู่ไปวางไว้หน้าประตูห้องหิมะวสันต์ คนผู้นั้นก็จะไม่เหลียวมอง ข้าไม่รู้ว่าท่านผู้นำตระกูลบอกท่านว่าคนในห้องนั้นเป็นใคร แต่จงจำไว้ คนในห้องนั้นเป็นเพียงผู้โดยสาร”

มู่เหนียนฮวาพยักหน้าเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว แต่ไพ่ในมือของเรายังมีมากกว่าที่ข้าเพิ่งพูดไป”

เขาลุกขึ้นพลางยิ้ม “เรายังมีศิษย์สำนักศึกษาอีกสองคน คนหนึ่งงดงามดั่งเซียน ส่วนอีกคน…”

เขาหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อด้วยความลำบากใจ “อีกคน…เป็นชาย”

เขาส่ายหัวพร้อมหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ “และที่สำคัญ เรายังมีข้าอยู่”

ชั้นฟ้า ห้องโปรยปราย

ซูไป๋อีกลับมาพร้อมเหงื่อโชก ห้อยกระบี่ไว้ที่เอว มือซ้ายถือไหสุรา มือขวาถือปิ่นโต เขาใช้เท้าเคาะประตูเบาๆ “ศิษย์พี่ ข้ากลับมาแล้ว”

“เข้ามาเถิด” หนานกงซีเอ๋อร์ตอบ

ซูไป๋อีดันประตูเข้าไปด้วยไหล่ ก่อนปิดประตูด้วยท่าทางสบายๆ เขายกของในมือขึ้นพร้อมพูด “ศิษย์พี่ มาทานข้าวกันเถอะ”

หนานกงซีเอ๋อร์ลุกขึ้นพลางมองไปที่ไหสุรา “เจ้าไฉนถึงเอาสุรามาด้วย?”

ซูไป๋อีนั่งลงอย่างสบายใจ “เคยชินแล้ว ก่อนหน้านี้ทุกคืนข้าต้องออกไปซื้ออาหาร และมักจะซื้อสุรากลับมาด้วย สุราดอกท้อจากหมู่บ้านไม่แรงนัก ออกจะหวานเสียด้วยซ้ำ ข้ากับอาจารย์ดื่มกันคนละไหทุกคืน บนเรือนี้ไม่มีสุราดอกท้อ ข้าเลยหาสุราข้าวที่มีรสหวานมาทดแทน ข้าลองแล้ว รสชาติดีทีเดียว”

“เจ้าไม่ได้บอกว่าพวกเจ้ายากจนหรือ ทำไมต้องซื้ออาหารกินทุกวัน ทำไมไม่ทำอาหารเอง?” หนานกงซีเอ๋อร์ ถามขณะเปิดปิ่นโตและจัดจานอาหารออกมา

ซูไป๋อีส่ายหัวพร้อมหัวเราะ “ศิษย์พี่คงไม่รู้ อาจารย์ของข้า…ฝีมือทำอาหารของเขาเลวร้ายเพียงใด อาหารที่เขาทำ แม้แต่เจ้าเหลืองใหญ่ที่เลี้ยงไว้ยังต้องเดินหนีทันทีที่ได้กลิ่น”

หนานกงซีเอ๋อร์หัวเราะเล็กน้อย “เล่าเรื่องอาจารย์ของเจ้าให้ข้าฟังหน่อยสิ”

รอยยิ้มของนางอบอุ่นดุจสายลมแห่งวสันต์ งดงามและอ่อนโยนยิ่งนัก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด