บทที่ 46 ฝึกกระบี่
ในวันวาน ณ ใต้ต้นดอกท้อ ชายผู้หนึ่งในอาการเมามายยกกระบี่ในมือขึ้นพลางกล่าวกับซูไป๋อี
“กระบี่ เป็นศาสตราวุธที่มีเสน่ห์ที่สุดในใต้หล้า ส่วนมือกระบี่ คือผู้ที่ดูสง่างามที่สุดในใต้หล้านี้ เจ้าต้องการเป็นมือกระบี่หรือไม่?”
“ต้องการ” ซูไป๋อีตอบอย่างไม่ลังเล
“ในความว่างเปล่าระหว่างฟ้าดิน มือกระบี่เดินอย่างอิสระ หลายคนอิจฉาชีวิตของมือกระบี่ที่มีเพียงกระบี่หนึ่งเล่ม เสื้อขาวหนึ่งชุด และสุราหนึ่งไหท่องไปทั่วหล้า ทว่าเบื้องหลังการชักกระบี่แต่ละครั้ง กลับเต็มไปด้วยการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่านับไม่ถ้วน การฝึกกระบี่นั้นง่าย แต่หากจะเป็นมือกระบี่ตัวจริง ต้องอุทิศความพยายามที่เหนือความคาดหมายของคนทั่วไป”
“อาจารย์ ท่านพูดจริงจังเช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่คุ้นนัก”
“ชีวิตจะเล่นสนุกได้ แต่สำหรับกระบี่ เจ้าต้องจริงจัง” เซี่ยคั่นฮวา ลูบกระบี่ในมือพลางกล่าว
“มีเมืองแห่งหนึ่งเดิมชื่อเมืองจี๋โม่ ที่นั่นผู้คนทุกคนล้วนฝึกกระบี่ จนได้สมญานามว่า เมืองกระบี่จี๋โม่ พวกเขาสร้างหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการประเมินมือกระบี่ เช่น ปราณกระบี่ เจตนากระบี่ ท่วงท่ากระบี่ หัวใจกระบี่ วิถีกระบี่ และเพลงกระบี่ เป็นต้น พวกเขายังจัดอันดับเหลวไหล ข้าเคยได้อันดับสามในปราณกระบี่ อันดับหนึ่งในเจตนากระบี่ อันดับห้าในท่วงท่ากระบี่ อันดับสี่ในหัวใจกระบี่ อันดับเก้าในวิถีกระบี่ และอันดับสามร้อยยี่สิบหกในเพลงกระบี่”
ซูไป๋อี หัวเราะเล็กน้อย “อาจารย์ ท่านว่าการจัดอันดับไร้สาระ แต่เหตุใดท่านจึงจำได้แม่นนัก?”
เซี่ยคั่นฮวา เงียบไป
“อาจารย์ เจตนากระบี่คืออะไร ทำไมท่านถึงได้อันดับหนึ่ง?”
“เจตนากระบี่ คือหัวใจของการฆ่า”
“หัวใจของการฆ่า?”
“อย่างน้อยสำหรับข้า ข้าเข้าใจเช่นนั้น”
“แล้วเหตุใดเพลงกระบี่ของท่านถึงได้อันดับต่ำ? ท่านไม่ได้บอกว่าเพลงกระบี่ชมบุปผาในหมอก ของท่านเลื่องชื่อไปทั่วยุทธภพหรือ?”
“เพลงกระบี่ หมายถึงรูปแบบหรือท่าทางกระบี่ แต่ละสำนักต่างมีรูปแบบกระบี่ของตน เช่นสกุลเซี่ยของข้าใช้เพลงกระบี่บุปผาโปรยจนโด่งดัง หรือเมืองกระบี่จี๋โม่ที่มีเพลงกระบี่บุปผาวสันต์ จันทราสารท สายลมคิมหันต์ และ หิมะเหมันต์ รวมกันสามร้อยหกสิบสี่ท่า หากใช้ทั้งหมดต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ท่าทางเหมือนร่ายรำมากกว่าประลองกระบี่ ข้าไม่ชอบ” เขากล่าวพลางยิ้ม
“สำหรับข้า เพลงกระบี่มีแค่สามอย่าง ชักกระบี่ ฟันกระบี่ เก็บกระบี่ หากฝึกแต่ละกระบวนท่าให้ถึงที่สุด ทุกครั้งที่ชักกระบี่ออกมา ก็เป็นยอดวิชากระบี่แล้ว เจ้าฝึกกระบี่กับข้า มีเพียงต้องฝึกสามกระบวนนี้ให้ถึงที่สุด เริ่มจากการชักกระบี่ได้เลย”
“ขอรับ อาจารย์ แต่ข้าต้องฝึกการชักกระบี่นานแค่ไหน?”
“สิบปี”
“หา!?”
“สิบปี” เซี่ยคั่นฮวา ชักกระบี่ออกจากฝักในพริบตา แสงเย็นวาบผ่าน
ซูไป๋อีกระพริบตาไม่กล้าขยับตัว เรื่องเล่ามักกล่าวว่ากระบี่ที่เร็วที่สุดจะตัดลำคอโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว ก่อนที่ศีรษะจะร่วงหล่น
แต่เซี่ยคั่นฮวาเพียงยิ้มและส่งกระบี่ให้ซูไป๋อี บนตัวกระบี่มีกลีบดอกท้ออยู่ “กระบี่เล่มนี้ ขอมอบให้เจ้า”
“สิบปีแล้ว อาจารย์...” ซูไป๋อียืนอยู่ในห้องลับชั้นล่างของเรือจินเฟิง ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็ก
มองไปรอบๆ ห้องเปล่าเปลี่ยวเงียบงัน “ท่านบอกว่าขั้นต่อไปของการชักกระบี่คือการฟันกระบี่ อีกสิบปีท่านจะสอนข้า...แต่ตอนนี้ ท่านอยู่ที่ใดเล่า?”
ไม่มีใครอยู่ในห้อง ไม่มีเสียงใดตอบคำถามของเขา
ซูไป๋อียืนถือกระบี่คำกล่าววีรชนไว้ในมือ กล่าวเบาๆ กับตัวเอง “ยังดีที่ในวันนั้นท่านตั้งใจให้ข้าเห็นกระบี่นั้นอย่างชัดเจน ท่านมักคาดการณ์ทุกอย่างไว้อย่างรอบคอบ คงคาดการณ์ถึงวันนี้แล้วสินะ ข้าฝึกการชักกระบี่มาสิบปี แล้วการฟันกระบี่เล่า ต้องใช้เวลากี่วัน? สิบปี เพียงพอหรือไม่?”
ห้องพักชั้นฟ้า ห้องโปรยปราย
หนานกงซีเอ๋อร์อาบน้ำเสร็จแล้ว กำลังนั่งบนเตียง ปรับลมหายใจและฟื้นฟูพลังปราณ บนโต๊ะข้างเตียงมีแผ่นกระดาษที่ไน่ลั่วเพิ่งส่งมาให้
ข้อความบนกระดาษเขียนว่า “อย่ากังวล ยามอัสดงจะกลับมา”
เมื่ออ่านจบ หนานกงซีเอ๋อร์เพียงยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ใส่ใจมากนัก แม้ซูไป๋อีจะยังเยาว์วัยกว่าเฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิงอยู่หลายปี และบางครั้งเขายังดูชอบพูดเล่นไร้แก่นสาร แต่กลับมีความสงบและมั่นใจในบางเวลาที่ทำให้ผู้คนรู้สึกวางใจได้
เช่นในวันที่เขาอุ้มนางขึ้น พร้อมกล่าวว่า “เชื่อใจข้า”
ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีฝีมือโดดเด่น แต่เมื่อเขาพูดว่า “ข้าจัดการได้” กลับทำให้นางเชื่อในคำพูดนั้นจริงๆ
“ดรุณหนุ่มเช่นเขา คงต้องผ่านอะไรมามากมายถึงได้เติบโตขึ้นเช่นนี้” หนานกงซีเอ๋อร์คิดอยู่ในใจ
นางลืมตาขึ้นทันใด สัมผัสถึงอันตรายบางอย่าง แม้พลังปราณในตัวนางจะถูกดูดไปกว่าครึ่ง แต่สัญชาตญาณในการรับรู้ภัยยังคงอยู่ ที่หน้าห้อง มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ คนผู้นั้นอันตรายมาก
สองผู้คุ้มกันหน้าห้องยังคงยืนนิ่งเฉย ร่างตั้งตรงราวรูปปั้น ดวงตาเบิกกว้าง แต่ไม่พูดไม่จา
บุรุษที่ยืนหน้าประตูยกมือแตะหน้ากากบนใบหน้าของตน ก่อนจะเอื้อมมือแตะที่ประตู
หนานกงซีเอ๋อร์คว้ากระบี่ข้างกายมาไว้ในมือ พร้อมกลั้นลมหายใจ รวบรวมพลังปราณที่เหลืออยู่
แต่บุรุษสวมหน้ากากถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ยกมือตัวเองขึ้นมาดู ในมือของเขามีรอยบาดเล็กๆ
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ห้องข้างๆ เปิดออกอย่างเงียบงัน
“ใคร?” บุรุษสวมหน้ากากเอ่ยเบาๆ
ประตูห้องข้างๆ ปิดลงอีกครั้งทันที คล้ายกับคนข้างในไม่ต้องการพบหน้าเขา
ทันใด ชายชราในชุดคลุมทองเดินเข้ามาจากทางเดินข้างนอก ใบหน้ายิ้มแย้มพูดทักทายชายสวมหน้ากาก “ท่านกำลังหาคนอยู่หรือ? หรือว่ามาหาข้า เพื่อทวงหนี้พนัน? เมื่อคืนรีบร้อนเกินไป ข้ายังไม่ได้คืนเงินที่แพ้พนัน ต้องขออภัยท่านด้วย ไม่ทราบว่าข้ายังติดหนี้ท่านอยู่เท่าใด?”
ชายชราเดินผ่านผู้คุ้มกันทั้งสองไปจนถึงหน้าบุรุษสวมหน้ากาก ผู้คุ้มกันทั้งสองทรุดตัวลงทันที หายใจอย่างหนัก เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าผาก หนึ่งในนั้นพยายามหันกลับมากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ห้องพักชั้นฟ้า ห้ามผู้ไม่ได้รับเชิญเข้าไป!”
แต่บุรุษสวมหน้ากากไม่สนใจคำพูดนั้น สายตาจับจ้องเพียงชายชราในชุดคลุมทอง
ชายชรายังคงยิ้มแย้ม “ท่านไม่ควรจะไปพบหญิงสาวที่พักอยู่คนเดียวในห้องโปรยปรายหากเจ้าของห้องไม่อยู่ ท่านว่าจริงรึไม่? ข้าไปตามหาเขาให้ท่านเป็นอย่างไร?”
“ไม่จำเป็น” บุรุษสวมหน้ากากกล่าวพลางก้าวออกไปไม่กี่ก้าว ก่อนหยุดและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจำท่านได้แล้ว”
“จำได้แล้วหรือ?” น้ำเสียงหวานใสของสตรีดังขึ้นแทนคำตอบ
บุรุษสวมหน้ากากหันกลับมาทันที แต่พบว่าชายชราในชุดคลุมทองเมื่อครู่กลับกลายเป็นสตรีร่างเพรียวระหง ใบหน้าเยาว์วัยงดงามพานตะลึง
“หน้ากากจากตำหนักพันกลศาสตรา ก็ยังด้อยกว่าใบหน้าของข้า” สตรีกล่าวพลางยิ้มหวาน “ท่านว่าจริงหรือไม่?”