บทที่ 45 มองสายน้ำ
บนดาดฟ้าเรือจินเฟิงมีเพียงลูกเรือไม่กี่คนเดินไปมาอย่างเร่งรีบ บ้างก็มีคู่ชายหญิงหนุ่มสาวยืนสนทนาและชมทิวทัศน์อยู่ประปราย แต่ไม่นานนักก็มักถอยกลับเข้าไปในห้องพักเพราะไม่อาจทนลมเย็นจากแม่น้ำได้ ทว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งเฉย มองไปยังท้องน้ำเบื้องหน้า คล้ายรูปปั้นไร้ชีวิต
ไม่ไกลจากเขา มีกลุ่มคนยืนคุมเชิงอยู่ คนกลุ่มนี้คือผู้ติดตามของมู่เหนียนฮวา คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลมู่ ผู้ที่ปกติแล้วมีนิสัยร่าเริงและพูดจาเจื้อยแจ้วเสมอ แม้ในหมู่คุณชายแห่งตระกูลมู่ เขาจะเป็นคนที่ดูเหมือนใส่ใจสิ่งใดน้อยที่สุด แต่ในสายตาของผู้ติดตาม เขาคือคุณชายที่ใจดีที่สุดในใต้หล้า
ทว่าในบางครั้ง เขาก็จะกลายเป็นคนเงียบขรึมดังเช่นในวันนี้ ยืนมองไปยังที่ห่างไกลด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง
เมื่อเห็นดังนั้น ผู้ติดตามเหล่านี้จึงเลือกที่จะอยู่ห่างออกไปไม่รบกวน เพราะพวกเขารู้ดีว่า คุณชายกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องสำคัญ
ชายหนุ่มในชุดขาวคนหนึ่งเดินผ่านกลุ่มผู้ติดตามไป และก้าวฉับๆ ไปยังเสากระโดงเรือ ก่อนจะตบไหล่มู่เหนียนฮวาอย่างแรง “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
กลุ่มผู้ติดตามตกใจแทบจะพร้อมกัน บางคนถึงกับเตรียมตัวจะพุ่งเข้ามาลงโทษเด็กหนุ่มที่เสียมารยาทนี้ แต่มู่เหนียนฮวาหันกลับมายิ้มเพียงเล็กน้อย “เป็นเจ้านี่เอง ทำไมถึงไม่อยู่ในห้องพักเล่า?”
ซูไป๋อี ยิ้มเจื่อนๆ พลางตอบ “ศิษย์พี่ของข้า...เอ่อ...ภรรยาข้าสั่งให้ข้าออกมาซื้อของกินให้นาง”
“เลิกเสแสร้งเถอะ นางไม่ใช่ภรรยาของเจ้า แค่ศิษย์พี่ของเจ้าก็เท่านั้น หากจะซื้อของกิน ทำไมต้องวิ่งมาบนดาดฟ้าเรือด้วย หยุดแสดงละครได้แล้ว” มู่เหนียนฮวาหัวเราะเยาะเบาๆ
“เจ้ามองออกได้อย่างไร?” ซูไป๋อีถาม
“หากมีภรรยาที่งดงามเช่นนั้น ใครจะอยากออกมาบนดาดฟ้าเรือเล่า” มู่เหนียนฮวา ยักไหล่
ซูไป๋อี ขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้ายังเยาว์นัก” มู่เหนียนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความลึกซึ้ง มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย
“ช่างเถอะ เจ้าตอบข้าก่อนว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ซูไป๋อีเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ขณะหันมองแม่น้ำที่ระยิบระยับใต้แสงสุริยัน “แม่น้ำแม้งดงามก็จริง แต่มิใช่สิ่งที่น่าสนใจถึงขนาดต้องมองอยู่นานเช่นนั้น”
มู่เหนียนฮวา ถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ “บิดาข้าเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งเขาออกทะเลในวัยหนุ่มและพบเจอเหตุการณ์สำคัญ เขาเคยยืนมองทะเลจากดาดฟ้าเรือ ความกว้างใหญ่ของทะเลทำให้เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างช่างเล็กน้อยนัก ใต้ผืนฟ้ากว้างใหญ่ สิ่งที่เคยกังวลกลับเล็กน้อยจนไม่สำคัญ ข้ากำลังพยายามเรียนรู้จากเขา”
“แล้วเจ้ามองเห็นอะไรหรือไม่?” ซูไป๋อีถาม
มู่เหนียนฮวา เผยมือที่สั่นเล็กน้อยให้เขาดู “ข้าเห็นแต่ความกว้างใหญ่ของแม่น้ำ เมฆที่ต่ำลง และลมฝนที่กำลังจะมา ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ข้าคิดว่าข้าคงไม่อาจเทียบเท่าบิดาได้...”
ซูไป๋อีอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนถอนหายใจ “เป็นเพราะเรื่องของข้าหรือ?”
“จริงๆ แล้ว ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยกลัวสิ่งใด ข้าเคยคิดว่าตัวเองหาญกล้า แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเป็นเพราะตระกูลมู่แข็งแกร่ง ยามใดก็ตามที่ตระกูลไม่อาจรับมือสิ่งเหล่านี้ได้ ข้าก็เริ่มหวาดกลัว” มู่เหนียนฮวา วางมือบนราวกั้นเรือ “เจ้าไปพัวพันกับสำนักสวรรค์ซ่างหลินได้อย่างไร?”
“เล่าแล้วเรื่องมันยาว” ซูไป๋อีพึมพำ
“ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องเล่า” มู่เหนียนฮวา เงยหน้ามองฟ้า “ดูเหมือนฝนจะตกจริงๆ แล้ว”
ทั้งสองยืนมองแม่น้ำอย่างเงียบงันผ่านไปหนึ่งก้านธูป
“ตอนนี้เจ้ามองเห็นอะไรอีกหรือไม่?” ซูไป๋อี เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
มู่เหนียนฮวา ก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ข้าก็ยังกลัวอยู่ดี”
ทั้งสองสบตากันพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไป
หลังจากเงียบไปอีกครู่ใหญ่ ซูไป๋อีกล่าวเสียงเบา “หรือเราจะปล่อยวางเสีย”
“เจ้าพูดคำว่าปล่อยวางเมื่อใด เจ้ากับศิษย์พี่ของเจ้าก็จะหมดลมหายใจทันที” เสียงของมู่เหนียนฮวาเปลี่ยนไปเป็นสงบจนไม่อาจจับอารมณ์ได้
“ข้ามักคิดว่าโชคของข้าดีเสมอ” ซูไป๋อีพูดช้าๆ น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความเจ็บปวด “ในวัยเด็ก แม้ถูกมือสังหารนับสิบไล่ล่าก็ยังรอดมาได้ เมื่อสำนักสวรรค์ซ่างหลินส่งเจ้าหอ เจ้าตำหนัก และรองเจ้าตำหนักมาข้าก็ยังรอด แต่คนรอบตัวข้ากลับโชคไม่ดี บิดามารดาบุญธรรมถูกฆ่า อาจารย์ของข้าถูกจับไป”
มู่เหนียนฮวา ยกมือตบเบาๆ ที่ราวกั้นเรือก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สิ่งที่ทำให้ข้ากลัว คือการที่คำมั่นสัญญานี้อาจนำพาให้เรือจินเฟิงต้องล่มที่นี่ ข้าจะตาย พวกเจ้าจะตาย ทุกคนบนเรือตระกูลมู่จะต้องตาย และตระกูลมู่ทั้งหมดอาจพังทลายเพราะเรื่องนี้” เขาพูดพร้อมน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “แต่หากข้าล้มเลิกตรงนี้ ข้าก็จะไม่เหลือความน่าเชื่อถือใดๆ อีกต่อไป ข้าเองก็จะไม่มีวันสามารถเป็นผู้นำของตระกูลมู่ได้อีก”
ซูไป๋อีหรี่ตามองเขาเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
มู่เหนียนฮวา หันมองแม่น้ำเบื้องหน้า พลางกล่าวต่อ “ในวัยหนุ่ม บิดาของข้าเคยนำพาตระกูลมู่ซึ่งตกต่ำจนกลับมารุ่งโรจน์ เขาต้องผ่านการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายมากมาย หากเดินผิดเพียงก้าวเดียว ทุกอย่างอาจพังพินาศ แต่เขากล้าที่จะก้าว และยังเดินถูกทาง ข้าก็สามารถทำได้”
เขาหันมายิ้มให้ซูไป๋อี “หรือบางทีเจ้าอาจเป็นอ๋องที่หลบซ่อนตัว หากข้าช่วยเจ้าไว้ สักวันเจ้าจะตอบแทนบุญคุณจนทำให้ตระกูลมู่รุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม”
ซูไป๋อีขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “บางทีข้าอาจเป็นบุตรของซูหาน”
มู่เหนียนฮวาตกใจจนตาโต ก่อนใช้นิ้วเคาะหน้าผากของซูไป๋อี “เจ้าคุยโวเกินไปแล้ว!”
ซูไป๋อีถอยหลังไปหนึ่งก้าว พลางตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน “เจ้าก็พูดว่าข้าเป็นอ๋อง แล้วทำไมบุตรของซูหาน ข้าจะเป็นไม่ได้?”
“เจ้าไม่รู้หรือว่า ซูหานยิ่งใหญ่มากแค่ไหน? ตระกูลมู่ที่เป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ก็เพราะบิดาข้าตัดสินใจเลือกซูหานในตอนนั้น” มู่เหนียนฮวาหยุดพูดครู่หนึ่ง ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ห้ามพูดเรื่องนี้อีก อากาศบนดาดฟ้าเย็นนัก เราไปกันเถอะ”
“คิดตกแล้วหรือ?” ซูไป๋อีถาม
มู่เหนียนฮวาหันกลับไปตอบขณะเดิน “ทันทีที่พูดประโยคนั้น ข้าก็คิดตกแล้ว ไปดื่มสุรากันเถอะ ข้าคิดว่าเจ้าน่าสนใจมาก เรามาเป็นสหายกันเถอะ”
ซูไป๋อีหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าว “ดื่มสุราไว้คราวหลัง ข้าขอถามเจ้าสักเรื่อง”
มู่เหนียนฮวา หยุดเดิน “เรื่องใด?”
“เจ้ามีสถานที่ที่เหมาะกับการฝึกกระบี่หรือไม่?” ซูไป๋อีถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
มู่เหนียนฮวาหันกลับมามองซูไป๋อีพลางยิ้ม “ตอนนี้เจ้าเพิ่งคิดจะฝึกกระบี่ มันไม่สายเกินไปหรือ?”
“ไม่สาย กระบี่ของข้ายิ่งฝึกช้าเท่าไหร่ยิ่งดี” ซูไป๋อีตบกระบี่ที่เอวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่กระบี่ของข้าทรงพลังมาก หากฝึกในห้องพัก อาจเจาะเรือทะลุได้”
มู่เหนียนฮวาหัวเราะพลางเดินนำไป “ที่ฝึกกระบี่มี ตามข้ามา ซูไป๋อี เจ้ารู้หรือไม่ว่านอกจากเหตุผลทั้งหมดที่ข้ากล่าวไว้ ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ข้าต้องช่วยพวกเจ้า?”
ซูไป๋อีเลิกคิ้ว “เพราะเจ้ารู้สึกถูกชะตากับข้า? เห็นข้าเป็นสหายตั้งแต่แรกพบ?”
“ผิดแล้ว” มู่เหนียนฮวาหยุดเดิน ก่อนหันมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะศิษย์พี่ของเจ้า...นางงดงามมาก เป็นสตรีงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ”
ซูไป๋อีตอบกลับทันทีด้วยเสียงเย็นชา “ไสหัวไป!”