บทที่ 43 การสิ้นสุดของเหตุการณ์
“แต่ในวันนั้นที่พบกันครั้งแรก อาจารย์เพียงบอกว่าข้าชื่อซูไป๋อี ส่วนบิดามารดาที่แท้จริงของข้าเป็นใคร หรือเหตุใดพวกเขาจึงส่งคนมาฆ่าข้า เขาไม่เคยบอกเลย” ซูไป๋อีหันไปมองหนานกงซีเอ๋อร์ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิษย์พี่พอจะมีคำตอบให้ข้าหรือไม่?”
หนานกงซีเอ๋อร์ ลุกขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “หากเซี่ยคั่นฮวาบอกว่าเจ้าสกุลซู และเขายังตั้งใจรับเจ้าเป็นศิษย์ เลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่ เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะเป็นบุตรของซูหานเจ้าสำนักใหญ่ หรือไม่ก็ ซูเตี้ยนโม่รองเจ้าสำนัก ส่วนคำตอบที่แท้จริงนั้น เราคงต้องค้นหาด้วยตัวเอง และการที่ข้าลงจากเขาครั้งนี้ ก็เพื่อหาคำตอบว่าในปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ลัทธิมรรคาสวรรค์มิใช่พรรคมาร พวกเขาไม่มีทางกระทำการรุกรานยุทธภพหรือสังหารผู้บริสุทธิ์ เรื่องทั้งหมดนี้ต้องมีเบื้องหลังบางอย่างซ่อนอยู่”
“แล้วรองเจ้าสำนักซูเตี้ยนโม่เล่า? เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินศิษย์พี่เอ่ยถึงนางเลย?” ซูไป๋อีถาม
หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวตามที่มารดาเล่าไว้ “ซูเตี้ยนโม่คือน้องสาวของซูหาน วิทยายุทธ์ธรรมดาสามัญ รูปลักษณ์ก็ไม่ได้โดดเด่น แถมยังมีนิสัยไม่ค่อยดี นางเพียงครองตำแหน่งรองเจ้าสำนักไว้เท่านั้นไร้ซึ่งผลงานสำคัญใดๆ”
ซูไป๋อีนั่งตัวตรง สีหน้าจริงจัง “ศิษย์พี่ ข้าเคยถามคำถามหนึ่งกับท่าน แต่ท่านก็ไม่ได้ตอบตรงๆ หากสิ่งที่ยุทธภพร่ำลือเป็นจริง ว่าระหว่างเรามีความแค้นลึกซึ้งถึงขั้นฆ่าล้างตระกูล เช่นนั้น...”
หนานกงซีเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าว “แล้วอย่างไรเล่า? ข้าไม่รู้อะไรอื่น แต่ที่ข้ารู้แน่ชัดคือมารดาข้าชื่นชมซูหานอย่างมาก นางเชื่อว่าการที่ซูหานกับท่านลุงของข้าต้องตายในปีนั้น ย่อมมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังคอยบงการ และหากสกุลซูเป็นผู้สังหารท่านลุงของข้า หรือท่านลุงของข้าเป็นผู้ฆ่าล้างสกุลซู ในเวลานั้นพวกเรายังเยาว์นักมิอาจรู้ความ แล้วมันจะเกี่ยวข้องอันใดกับความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจ้า?”
นางยิ้มอย่างจริงใจ “ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า ความสัมพันธ์ของพวกเราเรียบง่ายเพียงเท่านี้”
ซูไป๋อี หัวเราะ “ศิษย์พี่ ข้ารู้สึกว่าท่าน...”
หนานกงซีเอ๋อร์ เลิกคิ้วสงสัย “ว่าข้าทำไม?”
ซูไป๋อี ชมเชย “ช่างน่าเลื่อมใส ศิษย์พี่เหตุผลของท่านตรงไปตรงมา แม้ดูเหมือนขัดแย้งกับสามัญสำนึก แต่พอพิจารณาดีๆ กลับไร้ข้อโต้แย้ง”
หนานกงซีเอ๋อร์ ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “นี่คือเหตุผลของสำนักศึกษา หากเจ้าพบเซียนปราชญ์ ท่านเองก็จะสอนเจ้าในลักษณะนี้”
“เซียนปราชญ์ เป็นคนเช่นไร?” ซูไป๋อี ถาม
หนานกงซีเอ๋อร์ ตอบเพียงสั้นๆ “งดงามดุจหยก”
ซูไป๋อีทวนคำ “งดงามดุจหยก...” พลางใคร่ครวญ
จากนั้นหนานกงซีเอ๋อร์กลับไปนั่งบนเตียง เริ่มต้นนั่งสมาธิและควบคุมลมปราณภายใน
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป นางถอนหายใจเบาๆ “วิทยายุทธ์ของเจ้าช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ดูดซับพลังภายในของข้าจนแทบหมดสิ้น กว่าจะถึงฝั่ง ข้าคงฟื้นฟูกลับมาได้ไม่เกินหกส่วน เจ้าคิดถูกที่ไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลมู่ เพราะหากตอนนี้มีนักฆ่าจากตำหนักชิงหมิงโผล่มา เราคงไม่รอดแน่ ซูไป๋อีหนอซูไป๋อี… เหตุใดวิทยายุทธ์ของเจ้าจึงอ่อนด้อยถึงเพียงนี้?”
ซูไป๋อี ยิ้มพลางลูบกระบี่ข้างเอว “วิทยายุทธ์ข้าหรืออ่อนด้อย? กระบี่ของข้ารวดเร็วจนแม้แต่ตัวข้าเองยังมองไม่ทันเลย”
หนานกงซีเอ๋อร์ กล่าวเยาะเย้ย “เจ้าหลอกเฟิงจั่วจวินได้ก็จริง แต่หลอกข้าไม่ได้หรอก เจ้าฝึกเพลงกระบี่ชมบุปผาในหมอกไม่ได้เลย ตั้งแต่พบเจ้าครั้งแรกที่เมืองเย่หลัน เจ้าก็ยังไม่เคยชักกระบี่ออกมาเลยสักครั้ง ข้าคาดว่าเจ้าคงไม่ถนัดวิชากระบี่”
ซูไป๋อีตอบทันควัน “ข้าถนัดสิ! ศิษย์พี่เชื่อข้าเถิด ข้าไม่ชักกระบี่พร่ำเพรื่อ เพราะการชักกระบี่แต่ละครั้งของข้ามีค่ามาก เมื่อข้าฟันกระบี่หนึ่งครั้ง นั่นหมายถึงข้าตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว”
หนานกงซีเอ๋อร์หัวเราะ “ช่างน่าเกรงขามนัก แล้วพลังที่เจ้าดูดจากข้าไปเล่า ใช้ได้หรือไม่?”
ซูไป๋อียักคิ้ว “พลังที่ดูดมาจะค่อยๆ กระจายไปตามเส้นลมปราณของข้า ไม่อาจเก็บไว้ในจุดตันเถียนเป็นพลังของข้าได้ แต่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและเส้นเอ็นของข้าให้แข็งแกร่ง ดังนั้นข้าจึงทนรับการโจมตีได้มาก แน่นอนว่าตอนนี้พลังเหล่านั้นยังอยู่กับข้า ข้าสามารถใช้มันได้ แต่เมื่อใช้ไปแล้วก็จะหายไป ตอนประลองกับหลวงจีนเมื่อครั้งก่อน กระบวนท่านั้นทำให้พลังข้าสูญไปไม่น้อย”
“เป็นวิทยายุทธ์ที่ทรงพลังยิ่ง” หนานกงซีเอ๋อร์เอ่ยขึ้น แต่สีหน้ากลับไม่ได้แสดงถึงความโล่งใจ ซูไป๋อี สังเกตเห็นว่าศิษย์พี่กำลังครุ่นคิด เขารู้ว่าที่นางกังวลคือคำอธิบายของเขา ทำให้คัมภีร์เซียนดูคล้ายกับวิชามารในคำเล่าลือเมื่อปีนั้น อีกทั้งเหตุการณ์ของชายชุดครามในครั้งก่อน ก็ยิ่งทำให้ข่าวลือนั้นดูเหมือนจริงมากขึ้น
ในห้องพัก ความเงียบโรยตัวอย่างกะทันหัน บรรยากาศชวนให้อึดอัด
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หนานกงซีเอ๋อร์จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเลเล็กน้อย “เมื่อครู่เจ้าว่าห้องพักชั้นฟ้าของเราสามารถขออะไรได้แทบทุกอย่างใช่หรือ?”
“ใช่ ศิษย์พี่ ท่านสั่งมาได้เลย ข้าจะไปแจ้งไน่ลั่ว” ซูไป๋อีตอบ
หนานกงซีเอ๋อร์เอ่ยด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย “ข้าอยาก... อาบน้ำ”
ซูไป๋อีกระโดดลุกจากเก้าอี้ทันที ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด แฝงความเขินอายและประหม่า “ได้เลย ศิษย์พี่ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้” กล่าวจบก็รีบเปิดประตูออกไป
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นเสี่ยวติงและเสี่ยวอี้ซึ่งเฝ้าประตูอยู่ ก็ยกถังน้ำร้อนขนาดใหญ่มายังห้องพักของพวกเขา พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกลีบดอกกุหลาบที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
“น้ำถังใหญ่ขนาดนี้เชียว?” หนานกงซีเอ๋อร์ อุทานด้วยความประหลาดใจ
เสี่ยวติงผู้ที่ปกติไม่ค่อยพูดจา ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สำหรับสองคน นับว่าไม่กว้างขวางนักหรอก”
เสี่ยวอี้ที่ดูท่าทีเย็นชากว่าหันไปมองซูไป๋อีอย่างไม่สบอารมณ์ “อาบน้ำกลางวันแสกๆ เช่นนี้ มันไม่ประเจิดประเจ้อไปหน่อยหรือ?”
ซูไป๋อีหน้าแดงจนถึงใบหู ส่ายหน้าไม่หยุดแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
หนานกงซีเอ๋อร์เองก็หน้าแดงก่อนจะหันมามองซูไป๋อีด้วยสายตาที่แฝงความหมายหลากหลาย แต่สิ่งแรกที่ ซูไป๋อีสัมผัสได้คือจิตสังหารแผ่วเบา
เสี่ยวติงและเสี่ยวอี้ปิดประตูห้องพัก ก่อนจะหันกลับมาพบว่าซูไป๋อียังยืนอยู่ข้างพวกเขา ทั้งสองเอ่ยพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”
ซูไป๋อีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าจำได้ว่า พวกเจ้าสองคนไม่ใช่คนที่พล่ามมากเช่นนี้มิใช่หรือ? เดิมข้ายังคิดว่าพวกเจ้าเป็นใบ้แท้ๆ แล้วไฉนวันนี้เจ้าจึงพูดมากได้เล่า?”
เสี่ยวติง ตอบอย่างราบเรียบ “สตรีงดงามอยู่เบื้อหน้า ปากย่อมเปราะเป็นธรรมดา”
ซูไป๋อี แค่นเสียงพลางกล่าว “หากพวกเจ้าไม่พูดมาก ข้าอาจนั่งอยู่หลังฉากบังตา ชมไอหมอกจางๆ และสนทนากับศิษย์พี่ถึงเรื่องราวในยุทธภพ วิถีของเซียนปราชญ์ หรือแม้กระทั่งข้าจะเล่าเรื่องบุปผาและสุราให้ฟัง แต่ตอนนี้ ข้ากลับต้องมายืนเฝ้าประตูที่นี่ ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเจ้า!” เขาตวาด
“ไปหาม้านั่งมาให้ข้าที!”
ถัดจากห้องพักชั้นฟ้า เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ แม้รวมทั้งสี่ห้องชั้นฟ้ายังเล็กกว่านี้ ภายในตกแต่งด้วยทองคำ เงินหยก เครื่องประดับล้ำค่า และจิตรกรรมโบราณ รวมทั้งมีสตรีในชุดขาวงดงามนับสิบยืนประจำอยู่
นี่คือห้องของมู่เหนียนฮวา เขานั่งอยู่ที่โต๊ะ ใช้นิ้วเคาะเบาๆ บนพื้นโต๊ะ ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกำลังครุ่นคิด
“คุณชาย...” สตรีนางหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นเบาๆ
มู่เหนียนฮวา พึมพำด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เหตุใดถึงยังไม่กลับมาเสียที? เจรจามาตลอดทั้งคืนแล้ว”