ตอนที่แล้วบทที่ 41 หวนคืนอดีต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 43 การสิ้นสุดของเหตุการณ์

บทที่ 42 เรื่องราว


“ศิษย์ลัทธิมรรคาสวรรค์โดยส่วนใหญ่ล้วนมาจากแผ่นดินอวิ๋นเหมิง ไร้ความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมแผ่นดินจงหยวน ดังนั้นจึงมักเกิดความขัดแย้งกับขุมกำลังต้าเจ๋อ ซึ่งอยู่ติดกันบ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งทั้งสองฝ่ายเกิดข้อพิพาทเรื่องการแย่งชิงม้าศึกสายพันธุ์เยี่ยเหลียงอันหายาก ศิษย์หมู่ตึกธารสวรรค์พ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์ลัทธิมรรคาสวรรค์อย่างย่อยยับ เมิ่งเจ๋อซี เจ้าหมู่ตึกธารสวรรค์ จึงนำดาบไปท้าประลองด้วยตัวเอง ทว่ากลับถูกหนานกงอวิ๋นฮั่วเจ้าลัทธิมรรคาสวรรค์ ฟันเส้นเอ็นที่มือจนขาดในกระบวนท่าเดียว”

“หลังจากเหตุการณ์นั้น ชื่อเสียงของลัทธิมรรคาสวรรค์ ก็เริ่มเลื่องลือไปทั่วยุทธภพ”

“แต่กระนั้น นอกจากเรื่องเล่าขานถึงความสามารถของหนานกงอวิ๋นฮั่ว ที่สามารถเอาชนะเจ้าหมู่ตึกธารสวรรค์ได้ในกระบวนท่าเดียว เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับลัทธิมรรคาสวรรค์กลับเต็มไปด้วยเสียงลือในแง่ร้าย ว่าศิษย์ลัทธิล้วนดุร้ายกระหายเลือด ไร้ซึ่งมโนธรรม และสำนักทั้งหมดยึดมั่นในวิชามารลึกลับ ที่อ้างว่าหากฝึกแล้วจะสามารถบรรลุขั้นทะยานฟ้าได้ วิชานี้สามารถเปลี่ยนผู้ที่ไม่เคยฝึกยุทธ์ให้มีพลังมหาศาลในเวลาเพียงไม่กี่เดือน อีกทั้งยังปลดปล่อยพลังเหนือขีดจำกัดหลายเท่าตัวได้ชั่วขณะ แต่มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรง เมื่อผ่านไปหนึ่งถึงสองปี ผู้ฝึกจะเส้นปราณเสียหายจนไม่สามารถใช้พลังภายในได้อีก กลายเป็นเพียงร่างเปล่าที่เรียกว่าผู้ไร้ยุทธ ซึ่งมีไว้เพื่อให้หนานกงอวิ๋นฮั่วดูดซับพลังและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตน”

“วิธีการฝึกนี้ฝ่าฝืนจารีตธรรมเนียมยุทธภพ จึงถูกประณามโดยฝ่ายธรรมะ หากลัทธิมรรคาสวรรค์ยังจำกัดการเคลื่อนไหวอยู่แค่ในดินแดนอวิ๋นเหมิง คงไม่เป็นปัญหาของดินแดนจงหยวน แต่เมื่อพวกเขาล้ำเขต มหาสมุทรอวิ๋นเหมิงส่งผลกระทบต่อขุมกำลังต้าเจ๋อ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป”

“สามสำนักใหญ่ในขุมกำลังต้าเจ๋อได้ส่งสารถึงสำนักสวรรค์ซ่างหลิน ขอให้เข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่ง สำนักสวรรค์ซ่างหลินตอบรับอย่างรวดเร็ว โดยซูหานเจ้าสำนักใหญ่ และเซี่ยคั่นฮวาเจ้าหอหมอกพิรุณ เดินทางลงใต้ด้วยตนเอง”

“เรื่องราวหลังจากนั้น กลับถูกปิดบังในยุทธภพ สิ่งที่เล่าลือกันแพร่หลายที่สุดคือ ซูหานและเซี่ยคั่นฮวา ต่อสู้ฝ่ากองทัพของลัทธิมรรคาสวรรค์จนกระทั่งตัดหัวหนานกงอวิ๋นฮั่วได้ ทว่าความจริงคือพวกเขาเดินทางไปเยือนอย่างสุภาพ และพักอยู่ที่ลัทธิมรรคาสวรรค์ครึ่งเดือนก่อนเดินทางกลับ โดยแจ้งแก่ขุมกำลังต้าเจ๋อว่า ข่าวลือเกี่ยวกับวิชามารไร้มูลความจริง พร้อมกับขอให้เลิกพูดถึงข่าวลือดังกล่าว”

“ลัทธิมรรคาสวรรค์ให้คำมั่นว่าจะควบคุมศิษย์ไม่ให้ก่อปัญหาอีก ขณะเดียวกัน ขุมกำลังต้าเจ๋อก็ไม่สามารถรุกล้ำอาณาเขตของลัทธิมรรคาสวรรค์ได้อีก อาการบาดเจ็บของเมิ่งเจ๋อซีได้รับการรักษาโดยหมอเทวดาแห่งตำหนักพันกลศาสตรา และลัทธิมรรคาสวรรค์ยังส่งสมุนไพรหายากมาเป็นของกำนัล”

“เรื่องราวทั้งหมดจึงยุติลงเช่นนี้” กล่าวถึงตรงนี้นางก็หยุด

ซูไป๋อี แสยะยิ้มเย็นเมื่อฟังจบ “จะจบง่ายๆ เช่นนั้นเลยหรือ”

หนานกงซีเอ๋อร์ ตอบพร้อมสายตาเศร้าสร้อย “แน่นอนว่าย่อมไม่จบเพียงเท่านั้น ลัทธิมรรคาสวรรค์เป็นมารหรือไม่ มิใช่เรื่องสำคัญ พวกเขาฝึกวิชามารหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาครองอำนาจในอวิ๋นเหมิงจนเป็นภัยต่อขุมกำลังต้าเจ๋อ ขุมกำลังต้าเจ๋อไม่พอใจการกระทำของสำนักสวรรค์ซ่างหลิน แต่กลับไม่กล้าพูดออกมา เรื่องราวจึงสงบอยู่พักใหญ่ จนกระทั่ง… สงครามเทียนเหมินปะทุขึ้น”

ซูไป๋อี ทวนคำ “สงครามเทียนเหมิน” คำเหล่านี้สะท้อนความยิ่งใหญ่ในยุทธภพ

“ลัทธิมรรคาสวรรค์รุกรานจงหยวนอย่างยิ่งใหญ่ ยาตราทัพเข้าสู่ขุมกำลังต้าเจ๋อ สำนักสวรรค์ซ่างหลินรวบรวมสำนักพันธมิตร ก่อตั้งเป็นพันธมิตรแห่งเหวยหลงเพื่อต่อต้าน โดยการปะทะครั้งสำคัญเกิดขึ้น ณ ชายฝั่งทะเลใต้ การต่อสู้ครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่าสำนักกระบี่ไร้ขอบเขตต่อกรกับสุสานวีรชนครั้งก่อน ซูหานเจ้าสำนักใหญ่ ซูเตี้ยนโม่รองเจ้าสำนัก เซี่ยคั่นฮวาเจ้าหอหมอกพิรุณ และเจ้าตำหนักทั้งสี่ของสำนักสวรรค์ซ่างหลิน รวมถึงยอดฝีมือจากขุมกำลังต้าเจ๋อ สี่ตระกูลใหญ่ และ เมืองกระบี่จี๋โม่ ต่างสละชีวิตเพื่อแลกกับการล่มสลายของลัทธิมรรคาสวรรค์”

หนานกงซีเอ๋อร์ ถอนหายใจลึก “นี่คือเรื่องราวสงครามเทียนเหมิน รายละเอียดทั้งหมดถูกปกปิด ผู้รอดชีวิตจากสำนักที่เข้าร่วมต่างเก็บงำความลับไว้ ยุทธภพได้รับความสงบกว่าสิบปีเพราะการสูญเสียครั้งนั้น”

“นี่คือเรื่องราวที่เล่าขานในยุทธภพ แล้วเรื่องราวที่ศิษย์พี่รู้เล่าเป็นเช่นไร?” ซูไป๋อี เอ่ยถามขึ้น

หนานกงซีเอ๋อร์ พึมพำเบาๆ ราวกับพูดกับตนเอง “เรื่องราวที่ข้ารู้คือ ในช่วงครึ่งเดือนที่ซูหานและเซี่ยคั่นฮวาไปเยือนลัทธิมรรคาสวรรค์ มีบุรุษผู้หนึ่งตกหลุมรักสตรีนางหนึ่ง”

“คืออาจารย์ที่ตกหลุมธิดาแห่งลัทธิมรรคาสวรรค์...” ซูไป๋อี เอ่ยช้าๆ

หนานกงซีเอ๋อร์ สายตามืดมน “เซี่ยคั่นฮวาได้พบกับสตรีที่งดงามยากหาใดเปรียบ และทั้งสองก็หลงรักกันในเวลาอันสั้น สตรีผู้นั้นคือหนานกงอวี่เหวิน น้องสาวของหนานกงอวิ๋นฮั่ว หลังจากนั้น เซี่ยคั่นฮวากับซูหานก็กลับไปยังเขาเหวยหลง เพราะเซี่ยคั่นฮวามีเรื่องในอดีตที่ต้องสะสาง ทั้งสองสัญญากันไว้ว่าจะกลับมาภายในสามเดือนเพื่อเข้าพิธีวิวาห์ แต่การพบกันครั้งถัดไปของพวกเขา...” น้ำเสียงของหนานกงซีเอ๋อร์สั่นเครือเล็กน้อย “กลับเป็นที่ชายฝั่งทะเลใต้”

“ศิษย์พี่...” ซูไป๋อี ถอนหายใจเบาๆ

หนานกงซีเอ๋อร์ กล่าวต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคือบุตรสาวของเซี่ยคั่นฮวาและหนานกงอวี่เหวิน ตอนที่ข้าลืมตาดูโลก บิดาข้าได้จากไปแล้ว อย่างน้อยก็ในสายตาของทุกคน เขาได้จากไปแล้ว... จนกระทั่งเจ้าได้ปรากฏตัวขึ้น เมื่อครั้งที่หนานกงอวิ๋นฮั่วนำลัทธิมรรคาสวรรค์บุกขึ้นเหนือ มารดาของข้าที่กำลังตั้งครรภ์ไม่ได้ติดตามเขาไปด้วย การเดินทางครั้งนั้นถูกกล่าวว่าเป็นเพียงการไปเจรจากับสำนักสวรรค์ซ่างหลินไม่ใช่การรุกราน แต่เมื่อข่าวสงครามเทียนเหมินแพร่สะพัดไปถึงดินแดนอวิ๋นเหมิง มารดาข้าก็ทนอยู่นิ่งเฉยไม่ไหว นางนำศิษย์ที่เหลือทั้งหมดเดินทางทั้งวันทั้งคืนไปยังชายฝั่งทะเลใต้ แต่…” หนานกงซีเอ๋อร์ หยุดชั่วครู่

สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ดังนั้น ข้าจึงต้องพบกับเซี่ยคั่นฮวาให้ได้ ข้าต้องถามเขาว่า หากเขายังมีชีวิตอยู่ ทำไมจึงไม่กลับมาหาพวกเรา! และในสงครามเทียนเหมินครานั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

ซูไป๋อี พยักหน้าเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว”

หนานกงซีเอ๋อร์ หันมามองเขา “ดี เช่นนั้นครานี้ถึงตาเจ้าบอกเล่าเรื่องราวที่เจ้ารู้แล้ว”

ซูไป๋อี นิ่งไปชั่วครู่ก่อนตอบ “วิชามารที่กล่าวขานกันเมื่อครั้งนั้น ถูกเรียกขานในปัจจุบันว่า คัมภีร์เซียน”

“ข้าเติบโตมากับบิดามารดาบุญธรรม พวกเขาบอกว่าข้าคือเด็กที่เก็บได้จากริมแม่น้ำ และข้าก็เชื่อเช่นนั้นมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง มีกลุ่มมือสังหารบุกเข้ามาที่บ้านของเรา” ซูไป๋อี กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“บิดามารดาบุญธรรมที่ปกติเป็นเพียงพ่อค้าแม่ขายธรรมดา กลับกลายเป็นผู้มีฝีมืออันร้ายกาจ แม้จะถูกมือสังหารล้อมไว้ แต่พวกเขาก็สามารถฝ่าออกมาได้ แต่ศัตรูมีจำนวนมากเกินไป บิดาบุญธรรมของข้าถูกฆ่าในที่สุด มารดาพาข้าหลบหนี แต่ระหว่างทางยังคงมีผู้ไล่ล่ามาไม่หยุดหย่อน สุดท้ายมารดาของข้าสละชีวิตต่อสู้กับศัตรูเพื่อปกป้องข้า นางบอกให้ข้าวิ่งไป ทว่าข้าในตอนนั้นยังเยาว์นัก วิ่งไปได้ไม่ไกลก็ถูกไล่ทัน ขณะกำลังจะถูกฆ่า...” ซูไป๋อี หยุดไปชั่วครู่

สายตาเต็มไปด้วยความทรงจำ “ข้าก็ได้พบกับอาจารย์”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด