บทที่ 414: เสียใจไหม?
"หลอกฉันงั้นเหรอ?"
จางเสวี่ยหมิงแทบจะหลุดปากสบถออกมา แต่เมื่อคิดได้ว่าเธอเองก็เป็นฝ่ายเริ่มใช้กลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่ายก่อน เธอก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงไป
พูดตามตรง ถ้าคนอื่นพูดว่าสัตว์อสูรของพวกเขาฝึกทักษะจนถึงขั้นไร้ที่ติในระหว่างการประลอง เธอคงไม่แม้แต่จะชายตามอง
แต่เฉียวซางนั้นต่างออกไป
ผู้ฝึกสัตว์อสูรอัจฉริยะที่มีอายุเพียง 15 ปีและสามารถประสบความสำเร็จระดับนี้ได้ คนแบบนี้ย่อมมีความหยิ่งทะนงในสายเลือด และไม่น่าจะลดตัวมาใช้กลยุทธ์การพูดแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลที่เธอรวบรวมมาได้ระบุชัดว่า สุนัขเพลิงพร่างพรายของเฉียวซางมีทักษะฝนดาวตกที่ฝึกจนถึงขั้นไร้ที่ติจริงๆ
ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมา เธอถึงเกือบจะเชื่อโดยไม่ทันคิด
นี่คงเป็นการตอบโต้ที่ฉันพยายามเบี่ยงเบนความสนใจเธอสินะ... คนที่มีพรสวรรค์สูงนี่เรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมได้ไวขนาดนี้เลยเหรอ...
จางเสวี่ยหมิงรู้สึกทั้งเหนื่อยใจและอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
การแข่งขันรอบแรกจบลง เสียงเชียร์และความตื่นเต้นดังกึกก้องทั่วอัฒจันทร์
แม้การแข่งขันจะไม่ได้ดุเดือดถึงขั้นตึงเครียด แต่บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนถึงขีดสุด
“พรายเกล็ดน้ำค้างไม่ใช่แค่สวย แต่ยังร้องเพลงเพราะมากอีก! โอ๊ย ฉันหลงรักมันสุดๆไปเลย!”
“เมื่อกี้ใครบันทึกไว้ได้บ้าง? ฉากที่มันฝืนลืมตาแบบง่วงๆน่ะ! น่ารักจนใจละลายเลย!”
“ถ้าจะพูดตรงๆ ฉันว่าจางเสวี่ยหมิงกับภูตหลงเสน่ห์ทำงานเข้าขากันดีมากนะ โดยเฉพาะตอนที่เธอพูดอะไรบางอย่างกับเฉียวซาง แล้วภูตหลงเสน่ห์ฉวยโอกาสใช้คลื่นฟื้นฟูนั่นน่ะ ถ้าความเข้าขาไม่ดีจริงคงทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็หนีไม่พ้นสายตาของพรายเกล็ดน้ำค้างของเราอยู่ดี! เห็นหางน้ำที่ฟาดไปไหม? นั่นแหละ เรียกว่าคม เร็ว แม่น!”
ในท่ามกลางเสียงโห่ร้องและความตื่นเต้น ภูตหลงเสน่ห์ถูกนำออกจากสนามอย่างระมัดระวัง
บริเวณที่นั่งผู้ชม โซน B แถวแรก
“เฟยเฟย!”
“เฟยเฟย!”
อสรพิษมรกตพันตัวอยู่บนร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง มันส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นขณะมองไปที่สนาม
หญิงสาวสวมเสื้อโค้ทสีนวลยาวระดับกลาง ใบหน้าสวยสะดุดตา ดูมีอายุประมาณ 30 ต้นๆเมื่อเทียบกับผู้ชมรอบข้างที่ต่างส่งเสียงโห่ร้องอย่างคลุ้มคลั่ง เธอกลับดูนิ่งสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบคุณที่พาฉันมานะคะ” หญิงสาวกล่าว
“จะขอบคุณทำไม” เพ่ยซื่อพ่านที่สวมหมวกแก๊ปและหน้ากากตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ฉันบังเอิญมีตั๋ว และเธอก็อยากมาอยู่แล้ว”
หญิงสาวมองไปยังร่างสีฟ้าอ่อนในสนามด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะพูดขึ้น
“มันถูกเลี้ยงดูได้ดีมาก”
เพ่ยซื่อพ่านหันมามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะถาม
“เธอรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าสัตว์อสูรที่อสรพิษมรกตช่วยฝึกคือพรายเกล็ดน้ำค้าง?”
เว่ยอิ๋งเงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบด้วยเสียงเบาๆ “อืม”
เธอจะไม่รู้ได้ยังไง? ช่วงเวลานั้น อสรพิษมรกตดูหิวโหยเหมือนกินเท่าไรก็ไม่พอ เธอเคยแอบตามมันไปครั้งหนึ่งและพบว่าพรายน้ำครามในตอนนั้นก็คือพรายเกล็ดน้ำค้างในตอนนี้
เธอยังจำความรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งตอนนั้นได้ดี
กลัวว่าจะทำให้พรายน้ำครามตกใจ เธอจึงไม่กล้าออกมาให้มันเห็นหน้า
เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็สังเกตว่าพรายน้ำครามดูเหมือนจะไม่ชอบมนุษย์ เธอจึงยิ่งไม่กล้าแสดงตัว
จะบอกว่าไม่มีความคิดอะไรเลยก็คงเป็นเรื่องโกหก แต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีพรสวรรค์ พออายุ 33 ปีแล้ว ตำราอสูรของเธอก็ยังมีเพียงหน้าเดียว
ถ้าไม่ใช่เพราะคนกลุ่มนั้นปรากฏตัวขึ้นมา เธอคิดว่าเธอคงค่อยๆสานสัมพันธ์กับพรายน้ำครามไปอย่างช้าๆ
“เธอเสียใจไหม?” เพ่ยซื่อพ่านถามขึ้น
เว่ยอิ๋งรู้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร
การที่เธอรู้ถึงการมีอยู่ของพรายเกล็ดน้ำค้าง และในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูรของอสรพิษมรกต เธอย่อมรู้ว่าอสรพิษมรกตแอบพามันขึ้นเครื่องบินไปด้วย
ถ้าเธอไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ อสรพิษมรกตก็คงไม่ต้องไปที่เรือนจำสัตว์อสูร และเธอเองก็คงไม่ต้องเสียงานไป
เว่ยอิ๋งไม่ได้ตอบทันที เธอจ้องมองไปที่พรายเกล็ดน้ำค้างในสนามซึ่งมีท่าทางเยือกเย็นและหยิ่งทะนง
มันเปลี่ยนไปแล้ว...
ตอนนั้น พรายน้ำครามดูเหมือนจะตึงเครียดตลอดเวลา ราวกับตัวมันเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ตอนนี้ แม้จะยังมีสีหน้าเย็นชาและดูไม่เป็นมิตร แต่ท่วงท่าของมันกลับดูอ่อนโยนและผ่อนคลายกว่าเดิม
“เคยเสียใจนะ” เว่ยอิ๋งยิ้มบางๆ“แต่ตอนนี้ไม่แล้วค่ะ”
ในสนามแข่ง
เฉียวซางกำลังจะยกมือเพื่อเรียกลู่เป่ากลับมา
"ลูลู่!"
แต่ลู่เป่าหันกลับมาส่งเสียงเรียกเหมือนจะบอกว่ามันยังอยากสู้ต่อ
"อย่าทำตัวเลียนแบบหยาเป่าเลยนะ! คู่ต่อสู้รอบต่อไปคือสิงโตทะเลน้ำแข็ง สัตว์อสูรระดับสูง ถ้าแกลงสนามต่อก็มีแต่จะแพ้นะ..."
เฉียวซางยิ้มขณะพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
"ลู่!"
ลู่เป่าร้องตอบด้วยท่าทางจริงจัง เหมือนจะยืนยันว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผู้ฝึกของมันพูด
ตั้งแต่ที่รายชื่อคู่ต่อสู้ออกมา เฉียวซางก็บอกสัตว์อสูรของเธอทุกตัวถึงสิ่งที่พวกมันต้องเจอ รวมถึงข้อควรระวัง และลู่เป่าก็จดจำทุกอย่างได้ดี
แต่มันก็ยังอยากลองต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง
หยาเป่าทำได้ ทำไมมันจะทำไม่ได้?
นี่คงเป็นสิ่งที่ลู่เป่าคิด
เฉียวซางถอนหายใจเบาๆขณะมองลู่เป่าที่มีแววตาแน่วแน่
นี่มันการแข่งขันสะสมคะแนนนะ ถ้าแพ้ก็ต้องถูกหักคะแนน...
แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นในสายตาของลู่เป่า เธอก็ทำได้เพียงยอมตาม
"เอาเถอะ..."
ในรอบแบ่งกลุ่มนี้ คู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอคือจางเสวี่ยหมิงและไป๋ปินปิน ซึ่งเธอมั่นใจว่าหยาเป่าจะสามารถเอาชนะสิงโตทะเลน้ำแข็งของจางเสวี่ยหมิงได้ในรอบถัดไป
ส่วนไป๋ปินปินนั้น หากเธอส่งหยาเป่าลงสนามตั้งแต่ต้น มีโอกาสครึ่งหนึ่งที่หยาเป่าจะเจอกับพังพอนวายุระดับกลางในรอบแรก
และในรอบที่สอง ถ้าหยาเป่าหาจังหวะใช้ฝนดาวตกได้ถูกต้องแมงป่องมรณะของไป๋ปินปินก็มีแต่ต้องพ่ายแพ้
ในแง่ของสัตว์อสูร จางเสวี่ยหมิงและไป๋ปินปินไม่มีใครที่น่าจะสามารถชนะสองรอบรวดได้
ดังนั้นโอกาสที่คะแนนสะสมของเธอจะอยู่ในอันดับหนึ่งยังคงสูงมาก
ถึงแม้การคาดการณ์ของเธอจะผิดพลาด และเธอไม่สามารถผ่านเข้ารอบระดับประเทศด้วยอันดับหนึ่งในกลุ่มได้ แต่เธอก็ยังมีโอกาสแข่งขันในรอบถัดไป เพื่อเข้าสู่ระดับประเทศด้วยการเป็นหนึ่งใน 40 อันดับแรกของการแข่งขันรอบแบ่งเขตภูมิภาค
ถึงแม้จะเพิ่มความยุ่งยาก แต่การที่ต้องลงแข่งในรอบเพิ่มเติมหมายถึงโอกาสสะสมคะแนนที่มากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อคิดถึงคะแนนสะสม เฉียวซางก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เธอพยักหน้าและพูดขึ้น
"ตกลง ฉันเชื่อในตัวแก ลุยให้เต็มที่เลย"
"ลู่!"
ลู่เป่าส่งเสียงตอบรับด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย มันรู้สึกตื้นตันและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น "ฉันทำได้ ฉันต้องทำได้!"
ในเมื่อผู้ฝึกของมันเชื่อว่ามันจะทำได้เหมือนกับหยาเป่า มันก็ต้องไม่ทำให้เธอผิดหวัง!"
เสียงของพิธีกรประกาศเริ่มการเรียกสัตว์อสูรรอบที่สอง
ลู่เป่าแสดงสีหน้าจริงจังและเตรียมพร้อมต่อสู้อย่างเต็มที่
บนอัฒจันทร์
ผู้ชมเริ่มคุยกันเสียงดังอย่างตื่นเต้น
"ฉันจำได้ว่าตัวต่อไปของจางเสวี่ยหมิงเป็นสัตว์อสูรระดับสูงประเภทน้ำแข็งใช่ไหม?"
"ใช่เลย จำไม่ผิดแน่! โธ่เอ๊ย! ทำไมเฉียวซางไม่เรียกพรายเกล็ดน้ำค้างกลับไปล่ะ!?"
"ฉันอยากดูพรายเกล็ดน้ำค้างก็จริง แต่ฉันไม่อยากเห็นมันถูกเล่นงานนะ!"
"เฉียวซาง!!! รอบสองเริ่มแล้วนะ!!! รีบเรียกพรายเกล็ดน้ำค้างกลับมาเถอะ!!!"
"หรือว่าเฉียวซางคิดจะให้พรายเกล็ดน้ำค้างโจมตีสิงโตทะเลน้ำแข็งเพื่อลดทอนพลังไปก่อน?"
"ระดับต่างกันตั้งระดับนึง จะไปถ่วงอะไรได้ล่ะ!?"
"จริงๆเมื่อกี้ฉันเห็นเหมือนเฉียวซางจะทำท่าเรียกพรายเกล็ดน้ำค้างกลับนะ แต่พอมันหันกลับมาพูดอะไรบางอย่าง เฉียวซางก็ดูเปลี่ยนใจ ไม่ใช่ว่าพรายเกล็ดน้ำค้างอยากจะสู้เองเหรอ?"
บทสนทนานี้ถูกเสียงรอบข้างกลบไปในเวลาไม่นาน
"เฟยเฟย!"
"เฟยเฟย!"
อสรพิษมรกตส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นขณะมองลู่เป่า มันดูเหมือนจะจดจำลู่เป่าได้ แม้ว่ารูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปมาก แต่มันยังคงเห็นภาพของเพื่อนตัวเล็กในอดีต
การที่เพื่อนที่เคยเกลียดชังมนุษย์ที่สุดสามารถทุ่มเทในสนามประลองต่อหน้าสายตามนุษย์มากมายเช่นนี้ อสรพิษมรกตรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
ในสนามแข่ง
"ฮัชชี่!"
เสียงคำรามหนักแน่นดังขึ้น พร้อมกับปรากฏร่างสัตว์อสูรตัวใหญ่ที่มีขนยาวสีขาวทั้งตัว ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ดูเยือกเย็นพร้อมคิ้วหนา และขนยาวเป็นเส้นๆปกคลุมบริเวณปาก
สิงโตทะเลน้ำแข็งปรากฏตัวบนเวทีจากกลุ่มดาวสีเทา มันจ้องมองลู่เป่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยพลังข่มขวัญ