บทที่ 289 ทุกคนมุ่งหา ฉินหวันหวัน
ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น! สิ่งเดียวที่ จินเป่าเอ๋อพึ่งพาได้ในตอนนี้ คือพลังของตัวนางเอง
ขณะเดียวกัน ข่าวเกี่ยวกับที่อยู่ของจินเป่าเอ๋อได้แพร่กระจายออกไป
เจ็ดตระกูลใหญ่ต่างก็ส่งคนออกตามหานาง โดยมุ่งหน้าไปยังหลินหลางเก๋อ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตของตระกูลกงเจวี๋ย
ในช่วงเวลานั้น ผู้แข็งแกร่งระดับเซียนแห่งสวรรค์มากมายปรากฏตัวบนถนนสายหลัก ดูเหมือนกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่าง
ท่ามกลางฝูงชน มีสองบุคคลที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ชายวัยประมาณ 30-40 ปีผู้หนึ่งมีท่าทางสงบนิ่ง ใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางสุภาพเรียบง่าย ชุดสีฟ้าขาวที่เขาสวมยิ่งเสริมให้เขาดูสะอาดสะอ้าน แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมืดมนที่ทำลายความสง่างามของเขา
ข้างกายเขามีหญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อน รูปร่างงดงามดึงดูดสายตาผู้คน ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเพียงเล็กน้อยยิ่งเพิ่มความอ่อนหวานและเสน่ห์เย้ายวน
การเคลื่อนไหวของนางอ่อนช้อยเต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่ลึกในแววตากลับเผยความเหนื่อยล้าและเย็นชา
“ท่านพี่… พวกเรามาช้าไปหรือไม่ นังแพศยานั่นอาจจะหนีไปแล้วหรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ชายคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของนาง ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบท่าทีของนางในตอนนี้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะคิดถึงบางสิ่ง
“ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ในเมื่อนางมาปรากฏตัวที่หลินหลางเก๋อและเปิดเผยตัวตนอย่างโจ่งแจ้ง แสดงว่านางต้องมีเรื่องสำคัญที่จะทำ”
“แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดคือ เราไม่สามารถบังคับให้พวกหลินหลางเก๋อบอกที่อยู่ของจินเป่าเอ๋อได้ เพราะเราไม่ใช่มิตรของพวกเขา!”
หญิงสาวได้ยินดังนั้น แววตาที่เย็นชาเล็กน้อยเริ่มสงบลง แต่รอยยิ้มเย็นบนใบหน้ายังคงไม่จางหาย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“อย่างไรก็ตาม คราวนี้ข้าจะต้องให้นังแพศยานั่นชดใช้ชีวิตเพื่อบุตรสาวของเราให้ได้!”
ด้วยกลิ่นอายความอาฆาตแค้นที่แผ่ออกมาจากหญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อน ทำให้ผู้คนรอบข้างที่เดินอยู่บนถนนต่างพากันหลบหลีกด้วยความหวาดกลัว เกรงว่าความรุนแรงจะลุกลามมาถึงตนเอง
ขณะนี้ ตระกูลกงเจวี๋ยตกอยู่ในกระแสความตึงเครียดที่แอบแฝงอยู่ใต้ผิวน้ำ
จากเจ็ดตระกูลใหญ่ มีถึงห้าตระกูลที่ส่งคนมายังพื้นที่นี้ นอกจากนี้ยังมีศิษย์ของสำนักอื่นๆที่ทยอยเข้าสู่เมือง หนึ่งในนั้นที่โดดเด่นที่สุดคือคู่สามีภรรยาอาวุโสจากสำนักลั่วเซียนและสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงที่สุดคือการปรากฏตัวของ สำนักเจวี๋ยซาหรือสำนักนักฆ่า
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา สำนักต่างๆเริ่มแสดงความแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน พลังของพวกเขาเริ่มมีแนวโน้มจะแข็งแกร่งเกินกว่าตระกูลใหญ่เสียด้วยซ้ำ
สำนักเจวี๋ยซาที่มีชื่อเสียงด้านการลอบสังหารก็ยิ่งทำให้หลายตระกูลหวาดผวาด้วยการกระทำที่เด็ดขาดและไร้ความปรานี
แม้ว่าผิวเผินจะดูเหมือนว่าทุกคนกำลังแย่งชิงตัวจินเป่าเอ๋อ หญิงสาวที่เพิ่งไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับหนึ่งในรายชื่อเทพ แต่เบื้องหลังนั้นไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีเป้าหมายอะไรกันแน่
ในฐานะเจ้าบ้าน ตระกูลกงเจวี๋ยจึงไม่สามารถแสร้งทำเป็นไม่สนใจได้ พวกเขาเพิ่มกำลังป้องกันและตรวจตราทั่วเมือง
ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยความไม่สงบ โรงเตี๊ยมหลายแห่งถูกจับจองจนแน่นขนัด ทุกคนดูเหมือนจะซ่อนแผนการบางอย่างเอาไว้ในใจ
ฉินหวันหวันก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเช่นกัน ในฐานะบุคคลเดียวที่ได้พบกับจินเป่าเอ๋ออย่างใกล้ชิดในช่วงที่ผ่านมา นางจึงกลายเป็นเป้าหมายความสนใจของหลายตระกูลทันที
เมื่อผู้อาวุโสและทายาทรุ่นเยาว์ของตระกูลหมิงเฉวียนมาขอพบนางที่ตระกูลกงเจวี๋ย นางก็รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะนางไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่เปิดเผยกับตระกูลใหญ่มากเกินไป
การออกมาในครั้งนี้ จุดประสงค์ของนางคือการหาตระกูลที่แข็งแกร่งมาปกป้องตัวนางและครอบครัวของนาง
เป้าหมายหลักของนางคือ กงจวี๋เหมยอิน แต่ด้วยนิสัยดุร้ายของน้องสาวของเขา ทำให้นางไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าใกล้
นางคาดไม่ถึงว่าตระกูลหมิงเฉวียนจะหันมาสนใจนาง นางรู้สึกดีใจจนแทบไม่เชื่อ
นางงรีบเตรียมตัวและแต่งกายอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อพบกับหมิงเฉวียนหยุนมู่ ทายาทตระกูลหมิงเฉวียน
เมื่อมาถึงห้องรับรอง ฉินหวันหวันในชุดขาวบริสุทธิ์ราวกับนางฟ้าสวรรค์ ยังคงสวมผ้าคลุมหน้าโปร่งบางที่ช่วยเพิ่มความงดงามอย่างลึกลับ สายตาของผู้พบเห็นต่างหลงใหลในเสน่ห์ของนาง
นางโค้งคำนับอย่างสง่างาม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าน้อยฉินหวันหวัน ขอคารวะท่านหมิงเฉวียนหยุนมู่!”
เสียงหวานอ่อนโยนดังมาก่อนตัว ทำให้หมิงเฉวียนหยุนมู่ ผู้กำลังรู้สึกหงุดหงิดรำคาญในตอนแรกถึงกับสะดุด หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเขาเงยหน้ามอง ก็สบตาเข้ากับดวงตาคู่งามของหญิงสาวในชุดขาวบริสุทธิ์ที่มีคิ้วเรียวงามและแฝงเสน่ห์นับไม่ถ้วนอยู่ในท่าทางอ่อนช้อยนั้น ผิวขาวเนียนละเอียด แม้จะถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมหน้า แต่ยังเห็นได้ถึงความงามอันไร้ที่ติ
“ช่างเป็นหญิงงามที่งดงามเหลือเกิน!”
หัวใจของหมิงเฉวียนหยุนมู่เต้นแรงไม่หยุด ความตื่นเต้นและดีใจเอ่อล้น “นี่หรือคือความรัก”
ฉินหวันหวันสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเขาอย่างชัดเจน นางยิ้มอย่างอ่อนหวานยิ่งขึ้น
แต่นางไม่ได้สังเกตถึงสายตาที่จับจ้องอย่างเคร่งขรึมจากชายชราในชุดยาวที่ยืนข้างหมิงเฉวียนหยุนมู่
“แค่กๆ!”
เสียงกระแอมจากชายชราขัดจังหวะความหลงใหลของหมิงเฉวียนหยุนมู่ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตรงไปตรงมา
“หลายปีไม่พบ หลานสาวช่างงดงามเกินหน้าเกินตานัก แต่เรามีธุระสำคัญในวันนี้ ที่ข้าต้องการถามเกี่ยวกับข่าวของจินเป่าเอ๋อ!”
สายตาของเขาส่งสัญญาณเตือนให้หมิงเฉวียนหยุนมู่ระวังตัว อย่าให้ความงามของฉินหวันหวันมาหลอกลวงเขา
ขณะเดียวกันเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจในความงดงามของหญิงสาวคนนี้
'นางสวยขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากนัก' ในฐานะอดีตผู้อาวุโสของสำนักลั่วเซียน เขาเคยพบฉินหวันหวันมาก่อน แต่ไม่คาดคิดว่านางจะเติบโตขึ้นจนงามล้ำถึงเพียงนี้
ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับใครบางคนที่แสนเยือกเย็นในความทรงจำของเขา ฉินหวันหวันยังคงขาดไปเล็กน้อย
หมิงเฉวียนหยุนมู่รู้สึกตัว รีบเก็บอาการและแสดงรอยยิ้มสุภาพ เขาปรับท่าทีจากความร้อนแรงเป็นความนอบน้อม
“ไม่ต้องมากพิธีนัก วันนี้พวกเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องถาม หวังว่าเจ้าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับจินเป่าเอ๋อในวันนั้นให้ฟังได้หรือไม่”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังโดยไม่สังเกตเห็นสีหน้าของฉินหวันหวัน ที่เปลี่ยนไปในทันที นางนิ่งไปเล็กน้อย ความรู้สึกขุ่นเคืองพลุ่งขึ้นในใจ
'พวกเขามาหาข้าก็เพราะผู้หญิงคนนั้น!'
แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าของนางยังคงรักษารอยยิ้มอันอ่อนโยนเอาไว้
“ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง!”
นางกล่าวอย่างสุภาพ ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นทั้งหมด แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อย นางพยายามสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูเป็นหญิงที่เข้มแข็งและอ่อนน้อม ในขณะเดียวกันก็ใส่ร้ายจินเป่าเอ๋อ ว่าเป็นหญิงที่หยิ่งยโส เอาแต่ใจ และไร้ซึ่งมารยาท
หมิงเฉวียนหยุนมู่ ที่ฟังเรื่องราวนี้ถึงกับโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและโกรธเคือง
"นางเป็นคนแบบนี้จริงหรือ พ่อยังให้ข้ามาพยายามผูกมิตรกับนางอีก ช่างน่าขัน! ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้าขนาดนี้มีสิทธิ์อะไรมากลายเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลหมิงเฉวียนของเรา!"
อาวุโสฉินที่อยู่ข้างๆยืนนิ่งเงียบ ดวงตาฉายแววเฉียบคม เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าแผนในใจของฉินหวันหวันคืออะไร
เพียงแต่เขารู้สึกเหนื่อยใจยิ่งขึ้นกับความไม่รอบคอบของหมิงเฉวียนหยุนมู่! ไม่แปลกใจเลยที่หัวหน้าตระกูลถึงสั่งให้เขาตามประกบทุกฝีก้าว...
เพราะหมิงเฉวียนหยุนมู่เป็นคนที่ไร้สมอง!
จนกระทั่งสุดท้าย เขาทนฟังบทสนทนาที่เริ่มสนิทสนมเกินไปของทั้งสองไม่ไหวอีกต่อไป จึงกล่าวลาตัดบททันที!
ก่อนจากไป หมิงเฉวียนหยุนมู่ยังมองด้วยสายตาเสียดายอย่างเห็นได้ชัด! ทำให้อาวุโสฉินแทบอยากเดินหนีออกไปทันที เพราะรู้สึกหมดคำจะพูดกับคนที่หุนหันพลันแล่นและโอหังเช่นนี้!
เดิมทีเขาคิดว่าจะถามรายละเอียดเผื่อจะคาดการณ์การกระทำต่อไปของจินเป่าเอ๋อได้ แต่ไม่คาดคิดว่าทั้งสองคนกลับคุยกันยืดยาว!
หลังจากหมิงเฉวียนหยุนมู่เดินจากไป ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนของฉินหวันหวันพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
แม้นางจะยังไม่ทราบว่าจินเป่าเอ๋อมีที่มาที่ไปอย่างไร ถึงขั้นทำให้ทายาทตระกูลหมิงเฉวียนต้องออกมาตามหา
แต่สำหรับนางในตอนนี้ นี่ถือว่าเป็นประโยชน์แล้ว หากเข้าหาตระกูลกงเจวี๋ยไม่ได้ ตระกูลหมิงเฉวียนก็ถือว่าไม่เลว!
อย่างไรก็ตาม ขณะที่หมิงเฉวียนหยุนมู่และอาวุโสฉินเพิ่งก้าวออกจากตระกูลกงเจวี๋ย ก็มีชายหญิงอีกคู่ส่งบัตรเชิญขึ้นมา ระบุว่าต้องการพบฉินหวันหวัน...
ต่อมา ขณะที่ฉินหวันหวันเพิ่งกลับถึงห้อง ยังไม่ทันได้วางแผนการก้าวต่อไป ก็ถูกเรียกตัวไปที่ห้องรับแขกอีกครั้ง!
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่กลับถูกหญิงงามข้างกายขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเร่งรีบทันที!