บทที่ 1348 การศึกแห่งโลกเฉียนเฟิง (จบองก์ 2 - ชนต้นฉบับ)
สิ้นเสียง ประตูมิติบิดเบือนอีกบานในโลกเฉียนเฟิงก็เปิดออก
จากประตูนั้น ชายร่างยักษ์ที่ยืนตระหง่านราวภูผาก้าวออกมาทีละก้าว ในอ้อมแขนของเขามีสุรากระบอกยักษ์สีแดงทองที่เปล่งประกายระยิบระยับ ทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน กำแพงมิติบิดเบือนใต้ฝ่าเท้าจะปริแตกไปตามน้ำหนักอันมหาศาลของร่างกาย
ชายผู้มาใหม่หัวเราะอย่างเย็นชา “จุ๊ จุ๊ จุ๊ การเผาพลังหยวนหยางหลายร้อยสายพร้อมกัน ช่างสิ้นเปลืองเสียจริง”
“เฉียนหยวน!”
ตงเสวี่ยเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาด้วยความโกรธแค้น แต่ในใจก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
ทำไมหยุนฉีถึงมีตัวช่วยในฐานขอบเขตหยวนหยาง? เหล่ายอดฝีมือในเขตแดนชิงเสินฝั่งตะวันออกไม่ใช่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวสำหรับสงครามอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้อยู่หรอกหรือ?
หยุนฉีรีบกล่าวขึ้น “พี่เฉียน ช่วยข้าจัดการเขา มิฉะนั้นพลังหยวนหยางหลายร้อยสายจะถูกเผาไปเสียเปล่า”
ปัง!
หยุนฉีปลดปล่อยพลังชีพจรวิญญาณทั้งห้าอีกครั้ง ยักษ์หกตาเบื้องหลังของเขากระชับกระบอง “ซื่อหมิง” ที่พองโตขึ้นเป็นเสาขนาดยักษ์ และทะยานขึ้นฟ้า
เฉียนหยวนยังคงถือกระบอกสุราไว้ในมือ ร่างกายอันมหึมาสั่นสะเทือนก่อนที่เขาจะเปิดฝาออก เขาหัวเราะเย็น ๆ และยกกระบอกสุราขึ้นดื่มอย่างตะกละตะกราม
หนึ่งลมหายใจหลังจากนั้น เฉียนหยวนหยุดดื่ม พลังชีพจรวิญญาณห้าสายสีแดงฉานปรากฏขึ้นเบื้องหลัง เขาขว้างกระบอกสุราออกไปในทันที พร้อมกับอ้าปากเผยให้เห็นปากที่ลึกเหมือนเหว พลันพ่นเปลวไฟลุกโชนออกมา เปลวไฟที่เหมือนคลื่นทะเลผลักดันกระบอกสุราไปข้างหน้า ก่อนที่กระบอกสุราจะลุกไหม้และพุ่งตรงไปยังตงเสวี่ย
เมื่อเห็นดังนั้น ตงเสวี่ยไม่มีเวลาคิดอะไรมากอีกแล้ว เขาตัดสินใจกลืนพลังหยวนหยางจำนวนมหาศาลเข้าไปในร่างกาย พร้อมยกขวานยักษ์สีดำขึ้นรับมือ
ทว่าความเจ็บปวดจากการเผาผลาญพลังหยวนหยางในร่างวิญญาณนั้นแทบจะทนไม่ได้ แม้แต่ฐานขอบเขตหยวนหยางเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หากเขาไม่สามารถทนได้ ร่างกายของเขาอาจระเบิดจากพลังที่สะสมไว้
“ใครกันที่ทรยศข้า!”
ตงเสวี่ยคำรามด้วยความโกรธแค้นในขณะที่ต่อสู้กับหยุนฉีและเฉียนหยวน พลังที่เพิ่มขึ้นจากพลังหยวนหยางทำให้ขวานยักษ์ของเขาฟาดฟันด้วยความรุนแรงมากขึ้นทุกครั้ง และด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรเทาได้ การโจมตีของเขาก็ราวกับคนที่สิ้นหวัง
ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับหยุนฉีและเฉียนหยวนพร้อมกัน ตงเสวี่ยก็ยังคงต่อสู้ได้โดยไม่เสียเปรียบ
“ใครกันที่ทรยศข้า!” เขายังคงคำราม
หลิวซานเชียนและยอดฝีมือครึ่งก้าวหยวนหยางในกลุ่มซานคงต่างก็มีสีหน้าที่ดูแย่ลง พวกเขาเองก็อยากรู้คำตอบนี้
พวกเขาซ่อนตัวมาเป็นเวลาหลายปี หยุนฉีไม่มีทางรู้ถึงตัวตนของพวกเขา แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงได้รู้ทุกอย่าง?
หากไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ เฉียนหยวนที่กำลังยุ่งอยู่คงไม่มีทางมาปรากฏตัวที่นี่
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้สงสัยซึ่งกันและกัน เสียงระเบิดอันดังกึกก้องก็ดังขึ้นทั่วโลกเฉียนเฟิง
ตูม!
ตงเสวี่ยนิ่งแข็งเหมือนท่อนไม้เป็นครั้งที่สอง ก่อนจะถูกหยุนฉีและเฉียนหยวนร่วมมือกันกระแทกตกลงมาจากท้องฟ้า
“หัวหน้า!”
“หัวหน้า!”
หลิวซานเชียนและเหล่าสมาชิกกลุ่มซานคงตะโกนด้วยความตกใจ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูสถานการณ์ เพราะพวกเขาเป็นเพียงครึ่งก้าวหยวนหยาง การเข้าไปในเขตต่อสู้ของฐานขอบเขตหยวนหยางมีแต่จะนำไปสู่ความตาย
ในขณะนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้น “ทำไมหัวหน้าถึงยืนนิ่งเฉย เขาหลบการโจมตีของหยุนฉีและเฉียนหยวนได้แท้ ๆ”
นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว
ครั้งแรกอาจเป็นความประมาท แต่ครั้งนี้ยังจะประมาทอีกหรือ?
เฉียนหยวนที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ที่สุดถึงกับอดกล่าวไม่ได้ “หยุนฉี สหายข้า เคล็ดวิชาลมปราณประจำสายของเจ้าช่างน่ากลัวยิ่งนัก โชคดีที่เราไม่ใช่ศัตรูกัน”
“เจ้ากับข้าจะไม่มีวันเป็นศัตรูกัน!”
หยุนฉีตอบกลับด้วยความมั่นใจ
หลังจากนั้น หยุนฉีได้แต่กล่าวขอบคุณในใจต่อท่านผู้อาวุโสแห่งศาลาจื่อฉี
หากไม่มีซื่อหมิงและแผนภาพวังวนเจ็ดเกลียววังวน การต่อสู้นี้คงยืดเยื้อจนไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ได้ ใครแพ้ใครชนะก็ไม่แน่ชัด เพราะการตอบโต้ของตงเสวี่ยนั้นน่าสะพรึงกลัว หากการต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกสักระยะ หรือหากตงเสวี่ยหันไปเล่นงานเฉียนหยวนโดยตรง ก็อาจทำให้เฉียนหยวนต้องล่าถอยเพื่อเอาชีวิตรอด
ทันใดนั้น เฉียนหยวนตะโกนขึ้นด้วยเสียงเตือน “ระวัง!”
ลูกบอลสีดำขนาดเท่ากำปั้นลอยขึ้นมาจากโลกเฉียนเฟิง ก่อนจะพุ่งตรงมาทางหยุนฉีและเฉียนหยวนด้วยความเร็วสูงจนพวกเขาแทบมองไม่ทัน เมื่อพวกเขาเพ่งมอง มันก็ระเบิดออกทันที
พวกเขารีบปล่อยเคล็ดวิชาลมปราณประจำสายออกมาต้านทาน แต่กลับพบว่าหลังการระเบิด ลูกบอลสีดำไม่ได้สร้างความเสียหายรุนแรง แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีดำที่ปกคลุมทั่วทั้งโลกเฉียนเฟิง รวมถึงฟากฟ้าเบื้องบน
หยุนฉีและเฉียนหยวนตกอยู่ในนั้น
ในเวลาเดียวกัน ตงเสวี่ยที่ถูกหยุนฉีและเฉียนหยวนโจมตีจนตกลงไปในโลกเฉียนเฟิง กลับทะลุผ่านกำแพงมิติบิดเบือนและเข้าสู่มิติบิดเบือนอีกครั้ง
“คิดจะหนีหรือ!”
หยุนฉีและเฉียนหยวนพยายามไล่ตาม แต่พบว่าพวกเขาไม่สามารถทะลวงกำแพงมิติบิดเบือนรอบโลกเฉียนเฟิงได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้กำแพงนี้ดูเปราะบางราวกับแผ่นไม้ที่สามารถพังลงได้ด้วยแรงเพียงเล็กน้อย
เฉียนหยวนรีบกล่าว “ปล่อยให้เขาหนีไม่ได้!”
เขาเริ่มโจมตีแสงสีดำที่ปกคลุมโลกเฉียนเฟิง แต่ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถทำลายมันได้ หยุนฉีจึงเข้ามาช่วย แต่แสงสีดำนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถถูกทำลายได้
หยุนฉีจ้องมองแสงสีดำเบื้องหน้าด้วยความไม่พอใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่คิดเลยว่าหมอนี่จะซ่อนของป้องกันตัวที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้…ทำไมคนที่มีของแบบนี้ถึงเลือกเป็นแค่โจรปล้นสะดม? สิ่งนี้แม้แต่ช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดเกลียววังวนที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตแดนชิงเสินก็ยังสร้างไม่ได้”
“เจ้าหมอนี่มันเป็นใครกันแน่ มีของวิเศษที่สามารถขังยอดฝีมือฐานขอบเขตหยวนหยางไว้ได้ แต่กลับเป็นแค่โจรปล้นสะดม”
เฉียนหยวนกล่าวอย่างไม่พอใจ
เขาตั้งใจมาเพื่อจัดการหัวหน้ากลุ่มซานคง เพราะตอนนี้เสินเจวี๋ยเทียนต้องการพลังหยวนหยางอย่างมาก แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้
เฉียนหยวนกล่าวด้วยความโกรธ “ในเมื่อหมอนั่นหนีไปได้ คนพวกนี้ต้องไม่มีใครรอด!”
เขาหมายถึงเหล่าผู้ฝึกตนครึ่งก้าวหยวนหยางที่ยังอยู่
หยุนฉีตอบรับด้วยความโกรธ “ฆ่า!”
ทั้งสองพุ่งตัวด้วยความรวดเร็วเพื่อกำจัดหลิวซานเชียนและพรรคพวกทันที
...
...
...
หนึ่งวันผ่านไป
ตงเสวี่ยหนีผ่านมิติบิดเบือนอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดเขาก็หาที่พักได้ในความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด
ในสภาพที่เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดที่เปื้อนไปทั่วร่างกาย ตงเสวี่ยต้องหยุดลงเพื่อดูดซับพลังหยวนหยางที่เผาผลาญอยู่ในร่างกายของเขา
“หยุนฉี เฉียนหยวน เมื่อข้าฟื้นตัวแล้ว ข้าจะทำลายฉีหยุนเทียนและเสินเจวี๋ยเทียนจนไม่เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัขสักตัวเดียว!”
เสียงตะโกนด้วยความโกรธดังออกมาก่อนที่ตงเสวี่ยจะหลับตาลง
แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง ดอกบัวหกกลีบสีเขียวลอยผ่านความว่างเปล่ามาด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า ก่อนจะปรากฏขึ้นต่อหน้าตงเสวี่ยในทันใด
.
(จบองก์ 2)
.
.
.
ชนต้นฉบับแล้วนะครับ คงต้องรอกันไปยาว ๆ เดี๋ยวจะเอานิยายอีกเรื่องที่นักเขียนกำลังเขียนอยู่มาให้อ่านกันไปพลาง ๆ สนุกไม่แพ้กัน
หรือลองอ่านเรื่องอื่น ๆ ที่กำลังแปลอยู่ไปก่อนก็ได้เช่นกัน
ขอบคุณสำหรับการอุดหนุนและติดตามกันมาจนถึงตอนนี้
แล้วพบกันใหม่เมื่อนักเขียนจีนกลับมาลงต่อ
.
ฝากผลงานเรื่องอื่น ๆ
ท่านลอร์ดโครงกระดูก ผู้ต้องการแค่ปลูกพืชผลอย่างสงบก็เท่านั้น