ตอนที่ 26 สุดท้ายก็กลายเป็นผู้บ่มเพาะเซียน
[ระดับก่อกำเนิดขั้นแปดไม่ใช่จุดสิ้นสุดของท่าน ท่านเริ่มฝึกฝนอีกครั้งด้วยความมุ่งมั่น ในปีแรก ด้วยเคล็ดวิญญาณหมื่นพฤกษาขั้นเริ่มต้น ท่านรู้สึกว่าการฝึกฝนเคล็ดชีวิตนิรันดร์นั้นง่ายขึ้นมาก]
[ปีที่สอง ท่านยังคงฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากระดับบ่มเพาะของท่านอยู่ในช่วงปลายของระดับก่อกำเนิด การพัฒนาจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า]
[ปีที่สาม ท่านเกือบจะยอมแพ้และคิดจะฝึกฝนเคล็ดชีวิตนิรันดร์ในระดับหลอมรวมปราณซึ่งง่ายกว่า แต่ท่านไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ ท่านยังคงฝึกฝนต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ]
[ปีที่สี่…]
[ปีที่ห้า…]
[ปีที่หก ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ในที่สุดท่านก็ทะลวงสู่ระดับก่อกำเนิดขั้นเก้า]
ลู่เฉินถอนหายใจ “ไม่เลว ก่อนหน้านี้ข้าใช้เวลาหกปีในการทะลวงจากระดับก่อกำเนิดขั้นเจ็ดสู่ขั้นแปด ตอนนี้ก็ใช้เวลาหกปีในการทะลวงจากขั้นแปดสู่ขั้นเก้าเช่นกัน ดูเหมือนว่าเคล็ดวิญญาณหมื่นพฤกษาจะได้ผล”
[ปีที่เจ็ด ท่านไม่ได้หลงระเริงกับความสำเร็จ ท่านตัดสินใจฝึกฝนต่อไปและมุ่งสู่ระดับก่อกำเนิดขั้นสิบ]
[ปีที่แปด…]
[ปีที่เก้า…]
[ปีที่สิบสอง ท่านรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะถึงจุดสูงสุดของระดับก่อกำเนิดขั้นเก้าแล้ว แต่ก็ยังคงห่างไกล ‘มองดูเหมือนใกล้ แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึง’ นี่คือเส้นทางการบ่มเพาะ]
[ปีที่สิบสาม…]
[ปีที่สิบห้า ในที่สุดท่านก็ถึงจุดสูงสุดของก่อกำเนิดขั้นเก้า สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ในโลกนี้ นี่คือจุดสิ้นสุดของชีวิต แต่ท่านตัดสินใจที่จะก้าวต่อไป]
[ปีที่สิบหก…]
[ปีที่สิบแปด…]
[ปีที่สิบเก้า ปลายปีนี้ จู่ ๆ ท่านก็รู้สึกเหมือนได้รับพร ท่านรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ทันใดนั้น กำแพงสุดท้ายก็พังทลายลง ความเข้าใจในวิถียุทธ์ของท่านกระจ่างชัด ท่านทะลวงสู่ระดับก่อกำเนิดขั้นสิบ]
“หืม ~” ลู่เฉินกลั้นหายใจ แม้จะเป็นเพียงการเฝ้าดู เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าจะล้มเหลว แต่ไม่คิดว่าในวินาทีสุดท้ายเขาจะประสบความสำเร็จ
[ปีที่ยี่สิบ หลังจากทะลวงสู่ระดับก่อกำเนิดขั้นสิบ วิสัยทัศน์ของท่านก็กว้างไกลขึ้น ท่านอ่านเคล็ดชีวิตนิรันดร์ในระดับหลอมรวมปราณอย่างคร่าว ๆ และพบว่ามันไม่ยากเลย ท่านทะลวงสู่ระดับหลอมรวมปราณขั้นหนึ่งในเดือนเมษายนและขั้นสองในเดือนสิงหาคม ตอนนี้ท่านเป็นผู้บ่มเพาะเซียนระดับหลอมรวมปราณขั้นสองแล้ว]
[การฝึกฝนสิ้นสุดลง]
เมื่อการจำลองฝึกฝนสิ้นสุดลง ลู่เฉินก็รับรู้ถึงความทรงจำอันน่าอัศจรรย์ ร่างกายก็พลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สิ่งนี้คือประสบการณ์การฝึกฝนยี่สิบปีของเขา
เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา ลู่เฉินลืมตาตื่น ในห้องมืด ๆ กลับมองเห็นประกายแสงในดวงตาของเขา
“ระดับก่อกำเนิดขั้นสิบ!”
“ผู้บ่มเพาะเซียนระดับหลอมรวมปราณขั้นสอง!”
“ความสุขสองต่อ!” เขาแทบคลั่งตายด้วยความดีใจ
ระดับก่อกำเนิดขั้นสิบ หมายความว่าระดับวรยุทธ์ของเขาบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเมืองเจิ้นหนาน แม้แต่ในจักรวรรดิต้าเฉียนทั้งหมด เขาก็ไร้คู่ต่อสู้
ผ่านไปสองเดือนกว่า เขาก็มีความสามารถในการเอาตัวรอดในโลกนี้ได้เสียที
ส่วนการที่เขาเป็นผู้บ่มเพาะเซียนหลอมรวมปราณขั้นสองได้นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าการบ่มเพาะในระดับหลอมรวมปราณนั้นง่ายกว่าการบ่มเพาะในระดับก่อกำเนิดมาก
หากเป็นผู้บ่มเพาะเซียนระดับหลอมรวมปราณขั้นสองคนอื่น ๆ พลังต่อสู้ของพวกเขาคงอ่อนแออย่างมาก แต่ลู่เฉินครอบครองพละกำลังของก่อกำเนิดขั้นสิบ พูดได้ว่าผู้บ่มเพาะเซียนในอาณาจักรเดียวกันไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
เขาดีใจมากและหลับตาลงอีกครั้ง “เช่นนั้นเอง ระดับก่อกำเนิดเน้นวรยุทธ์ภายนอกและการประสานพลังปราณกับอวัยวะต่างๆ ส่วนระดับหลอมรวมปราณเน้นพลังปราณเป็นหลัก ถึงขั้นสามารถละทิ้งการฝึกร่างกายได้…”
แม้ว่าในทางทฤษฎีจะเป็นเช่นนั้น แต่ลู่เฉินไม่คิดจะละทิ้งการฝึกร่างกาย หากเป็นไปได้ เขาอยากจะเป็นทั้งผู้บ่มเพาะเซียนและผู้บ่มเพาะกายา
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ลู่เฉินดีใจคือขีดจำกัดอายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 105 ปี
ลู่เฉินใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้รับในช่วงยี่สิบปี เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ระดับบ่มเพาะของเขาก็คงที่
เขามองไปที่ประสบการณ์บ่มเพาะอีกครั้ง
[ใช้ประสบการณ์บ่มเพาะกับ…]
“วิชาเตะวายุอัสนี”
[ระยะเวลาฝึกฝน…]
“สิบสองปี”
[ท่านฝึกฝนวิชาเตะวายุอัสนีสิบห้าท่าแรกจนบรรลุขั้นสูงแล้ว แต่หากต้องการบรรลุขั้นสูงสุด ท่านต้องฝึกฝนอีกสามท่าที่เหลือ ในปีแรก ท่านหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝน กระบวนท่านั้นง่าย แต่ท่านรู้สึกว่ามันแข็งทื่อ ไร้ชีวิตชีวา]
[ปีที่สอง ท่านฝึกฝนท่าแรกจนเกือบสมบูรณ์แบบ]
[ปีที่สาม ท่านฝึกฝนท่าที่สองจนสำเร็จ]
[ปีที่สี่ ท่านฝึกฝนท่าที่สามจนสำเร็จ]
[ปีที่ห้า ท่านเริ่มเข้าใจ]
[ปีที่หก ท่านฝึกฝนสามท่าสุดท้ายของวิชาเตะวายุอัสนีจนชำนาญ แต่ยังคงขาดอีกก้าวหนึ่ง ท่านคิดว่านี่คือจุดตัน]
[ปีที่เจ็ด…]
[ปีที่แปด ท่านฝึกฝนวิชาเตะวายุอัสนีจนสมบูรณ์แบบ ท่านบรรลุเพลงเตะขั้นสูงสุด ไร้เทียมทานในใต้หล้า ท่านกลายเป็นปรมาจารย์วิชาเตะวายุอัสนี]
“สำเร็จ!” ลู่เฉินดีใจอย่างมาก
ขณะที่เขาต้องการจะหยุดการจำลองและเก็บประสบการณ์บ่มเพาะสี่ปีที่เหลือไว้ ระบบก็แจ้งเตือนอีกครั้ง
[หลังจากที่วิชาเตะวายุอัสนีบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว ท่านต้องการใช้ประสบการณ์บ่มเพาะเพื่อพัฒนาวิชาต่อหรือไม่?]
“พัฒนาต่อ?” ลู่เฉินลังเล ในที่สุดเขาก็คิด “ใช้เวลาสี่ปีที่เหลือลองดูก็แล้วกัน”
“พัฒนาต่อ”
[ปีที่เก้า แม้ว่าวิชาเตะวายุอัสนีของท่านจะบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว แต่ท่านก็เป็นผู้บ่มเพาะเซียนแล้ว ท่านต้องการเพิ่มพลังปราณลงในเพลงเตะ และท่านตัดสินใจที่จะพัฒนาวิชาวรยุทธ์ระดับนี้]
[ปีที่สิบ ท่านลองผิดลองถูกหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล]
[ปีที่สิบเอ็ด ท่านรวมพลังปราณทั้งหมดไว้ที่ขาข้างหนึ่ง เปลี่ยนขาให้กลายเป็นกระบองขนาดใหญ่ ทรงพลังกว่าเดิมมาก]
[ปีที่สิบสอง แม้ว่าท่านจะยังคิดค้นได้เพียงท่าเดียว แต่มันก็ทำให้ท่านมีความหวัง ท่านตั้งชื่อวิชาใหม่ว่า “วิชาเตะเทพวายุ” ปัจจุบันมีสิบเก้าท่า]
[การฝึกฝนสิ้นสุดลง]
ลู่เฉินหลับตาลง ประสบการณ์การฝึกฝนเพลงเตะสิบสองปีปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง
“วิชาเตะวายุอัสนีกลายเป็นวิชาเตะเทพวายุ”
“วิชาต่อสู้ระดับมนุษย์กลายเป็นวิชาต่อสู้ระดับเซียน! นี่เป็นวิชาที่ผู้บ่มเพาะเซียนเท่านั้นที่ฝึกฝนได้! ข้าเพิ่งคิดถึงวิชาเซียน ตอนนี้ก็ได้มาแล้ว!”
ลู่เฉินทบทวนสามท่าสุดท้ายของวิชาเตะวายุอัสนี จากนั้นก็นึกถึงท่าสุดท้าย “กระบองวายุ” เขารู้สึกแทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่
เขาเดินออกจากกระท่อม เมื่อระดับบ่มเพาะของเขาเข้าสู่ระดับหลอมรวมปราณขั้นสอง การมองเห็นและการได้ยินของเขาก็ดีขึ้น เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจ้าวเหลยแอบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อปกป้องเขา
และเขาก็เดินออกจากเขตเฝ้าระวังของจ้าวเหลยได้อย่างง่ายดาย
เมื่อไปถึงมุมหนึ่งของสวน ลู่เฉินก็อดใจไม่ไหวที่จะใช้ท่าใหม่ที่เพิ่งเรียนรู้
“เข้าใจแล้ว สามท่าสุดท้ายนี้ทรงพลังมาก!” ลู่เฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ท่า “กระบองวายุ” มันทรงพลังและเสียงดังเกินไป
หลังจากฝึกฝนจนถึงเช้า ลู่เฉินก็หยุดฝึกและกลับเข้าไปยังกระท่อม
“คุณชาย ท่านออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่?” จ้าวเหลยมีสีหน้าสับสน
แม้ว่าพลังของลู่เฉินจะเหนือกว่า แต่เขายังคงทำหน้าที่ปกป้องลู่เฉินเช่นเดิม นี่ไม่เพียงแต่เป็นภารกิจที่ลู่โฉ่วอี๋มอบหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความกตัญญูต่ออาจารย์อีกด้วย
ลู่เฉินยิ้ม “ข้าจะออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ ข้าต้องบอกท่านด้วยหรือ? ต่อไปนี้ท่านไม่ต้องคอยคุ้มกันข้าแล้ว!”
“ไม่ได้ขอรับ” จ้าวเหลยส่ายหน้า “คุณชาย แม้ว่าท่านจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่โลกนี้เต็มไปด้วยอันตราย มีคนชั่วมากมายจ้องมอง บางคนไม่อาจเอาชนะท่านได้โดยตรง จึงใช้วิธีสกปรกเล่นงานตอนที่ท่านหลับหรือฝึกฝน หากข้าอยู่ที่นี่ ก็สามารถป้องกันได้บ้าง”
ลู่เฉินหัวเราะ ตบไหล่เขา “ท่านลองใช้เพลงเตะวายุอีกครั้ง ข้ามีความคิดดี ๆ อยากจะแนะนำท่าน”
“ได้ขอรับ!”
ปล.ในอาณาจักรที่พระเอกอยู่ คือโลกมนุษย์ ฉะนั้น จอมยุทธ์ที่เก่งสุดก็คือก่อกำเนิดขั้นสิบ ส่วนใหญ่คือแค่ฝึกฝนร่างกาย หากมีพรสวรรค์ถึงไปถึงหลอมรวมปราณ ปล่อยพลังปราณออกจากตัวได้ จะถือเป็นผู้บ่มเพาะเซียน ส่วนคนที่เกิดมาเป็นผู้บ่มเพาะเซียนเลย น่าจะไม่ต้องผ่านระดับหลอมกายาและก่อกำเนิด ทำให้ร่างกายไม่แข็งแกร่งเท่า ไม่ได้ฝึกฝนร่างกาย แค่อาศัยการปล่อยพลังปราณอย่างเดียว