บทที่ 10 เคล็ดมารราชันย์
เซี่ยอวิ๋นซีเดินจากไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน ส่วนหลินเฟิงเหมียนเองก็กลับไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีวนในใจไม่ต่างกัน
ทันทีที่กลับมาถึงยอดเขาชิงจิ่ว บรรดาสมุนของหวังหมิงก็กรูกันเข้ามาถามด้วยความอยากรู้ "ศิษย์พี่หวังหมิงล่ะ?"
โดยปกติแล้ว ยอดเขาชิงจิ่วซึ่งเป็นแหล่งต้นหญ้ากุยฉ่ายจะไม่ถูกดูดพลังจนหมดในครั้งเดียว แต่จะถูกดูดทีละน้อยในหลายๆ ครั้ง
วิธีนี้เปรียบเสมือนการตักน้ำจากลำธารเล็กๆ ให้ใช้งานได้ยาวนานที่สุด เพราะหญ้ากุยฉ่ายที่มีรากปราณนั้นหาได้ยาก
ทุกครั้งที่พลังหยางบริสุทธิ์ถูกดูดออกไปเล็กน้อย กลับทำให้พลังหยางในร่างกายของพวกเขาดูเหมือนจะพุ่งสูงขึ้น ทำให้พลังที่ฝึกในคัมภีร์เทพเก้าหยาง ยิ่งพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น
นี่คล้ายกับปรากฏการณ์เรืองแสงสุดท้ายก่อนดับสิ้นที่เผาผลาญพลังหยางและเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ในตัวหญ้ากุยฉ่ายจนหมด
พวกหญ้ากุยฉ่ายที่ดูเหมือนจะเปี่ยมด้วยพลังงานและความก้าวหน้าในระดับพลังของตน มักหลงคิดว่าเป็นผลจากการฝึกคู่หยินหยาง นั่นยิ่งทำให้พวกเขามีความกระตือรือร้นในวิชานี้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พลังหยางบริสุทธิ์ในตัวแต่ละคนมีขีดจำกัด เมื่อสูญเสียมากเกินไป ร่างกายจะเริ่มอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
ถึงตอนนั้น บรรดาศิษย์พี่หญิงจากยอดเขาหงหลวนจะดูดพลังหยางบริสุทธิ์และพลังฝึกฝนที่เหลือทั้งหมดในคราวเดียว สร้างภาพลวงตาว่าหญ้ากุยฉ่ายเหล่านั้นได้เข้าสู่ระดับศิษย์ในชั้นใน เพื่อหลอกลวงหญ้ากุยฉ่ายต้นอื่นต่อไป
หวังหมิงถูกดูดพลังไปแล้วถึงแปดครั้ง นับว่าอดทนกว่าคนทั่วไปมากทีเดียว
จากการสังเกตของหลินเฟิงเหมียน เขาต้องไปเก็บศพจากยอดเขาหงหลวนเฉลี่ยเดือนละห้าครั้ง ทุกปีมีหญ้ากุยฉ่ายตายประมาณหกสิบต้น
และในทุกปี ยอดเขาชิงจิ่วก็จะมีหญ้ากุยฉ่ายจำนวนใกล้เคียงกันถูกส่งเข้ามาทดแทน ทำให้จำนวนหญ้ากุยฉ่ายบนยอดเขาชิงจิ่วคงที่อยู่ที่ประมาณร้อยคนเสมอ
เรื่องทั้งหมดนี้แน่นอนว่าไม่สามารถพูดออกไปได้ หลินเฟิงเหมียนจึงต้องโกหกออกไปว่า “เขาผ่านการทดสอบของศิษย์พี่หลิวและได้เข้าสู่ชั้นในแล้ว”
บรรดาหญ้ากุยฉ่ายรอบตัวต่างแสดงความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ละคนดูปลื้มใจราวกับเป็นความสำเร็จของตนเอง
เพราะตามคำกล่าวในสำนักเหอฮวน การเข้าสู่ชั้นในหมายถึงโอกาสที่จะได้บำเพ็ญคู่หยินหยางกับศิษย์พี่หญิง หรือแม้กระทั่งอาจมีโอกาสได้ฝึกกับผู้อาวุโสในสำนัก เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝัน
อย่างไรก็ตาม หลินเฟิงเหมียนสังเกตเห็นว่ามีบางคนที่ไม่ได้แสดงความดีใจอย่างออกหน้าออกตา แต่กลับมีสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง พวกนี้คือหญ้ากุยฉ่ายที่ยังไม่ถูกลวงจนหลงใหล
ทุกครั้งมักมีคนประเภทนี้อยู่เสมอ คนที่ฉลาดพอจะมองเห็นความผิดปกติ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่รอดชีวิตไปได้นาน
หลินเฟิงเหมียนไม่ได้สนใจพวกนั้น เขาเดินตรงกลับไปยังเรือนพักของตนเอง แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า
เขานอนจ้องเพดาน พลางคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดในคืนนี้อย่างเงียบๆ
เขาประเมินผู้บำเพ็ญขั้นสร้างฐานต่ำไป เพราะไม่ได้พูดเปิดอกกับหลิวเม่ยทันทีที่เจอกัน ทำให้เกือบจะไม่มีโอกาสได้ใช้ไพ่ตายที่เตรียมไว้
นอกจากนี้ เขายังดันไปเล่นกับไฟ โดยการดึงชื่อของเซี่ยอวี้เยี่ยน ศิษย์หญิงคนหนึ่งในสำนักเหอฮวนเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่อาจเป็นการสร้างปัญหาในอนาคตให้ตัวเอง
หากเซี่ยอวี้เยี่ยนไม่ได้ออกจากการปิดด่านฝึกในเร็วๆ นี้ และถูกเข้าใจว่าตายแล้ว ยันต์ป้องกันภัยที่เขาอ้างถึงก็จะหมดผลไป
แต่หากนางออกจากการปิดด่านได้โดยปลอดภัย การโกหกแบบไม่ดูตาม้าตาเรือของเขา อาจนำมาซึ่งการลงโทษจากนางได้
ที่สำคัญ เขาสังเกตได้จากคำพูดของหลิวเม่ยว่า นางดูเหมือนจะทำตามคำสั่งของใครบางคน และคนผู้นั้นจะต้องเป็นคนในสำนักเหอฮวนอย่างแน่นอน…
ไม่ว่าจะอย่างไร หลินเฟิงเหมียนก็รู้ว่าต้องหาทางหลบหนีออกจากสำนักเหอฮวนให้เร็วที่สุด เพราะหากยังอยู่ต่อไป ก็ไม่แคล้วต้องพบจุดจบในสักวัน
สุดท้าย เรื่องที่ทำให้เขาครุ่นคิดมากที่สุดก็คือเรื่องของเซี่ยอวิ๋นซี เมื่อคิดถึงนาง หลินเฟิงเหมียนก็รู้สึกสับสนในใจ
นางปฏิบัติต่อเขาอย่างดี และระหว่างทั้งสองก็เกิดความใกล้ชิดกันขึ้น อีกทั้งนางยังดูเหมือนจะมีใจให้เขาเล็กน้อย
"คนเรามิใช่ต้นหญ้าไร้ใจ" หลินเฟิงเหมียนยอมรับในใจว่าเขาเองก็เริ่มหวั่นไหวต่อเซี่ยอวิ๋นซี
หญิงสาวที่ทั้งบริสุทธิ์และงดงามราวกับนางฟ้าเช่นนี้ ใครจะไม่หวั่นไหว?
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เซี่ยอวิ๋นซีกำลังจะเข้าสู่ขั้นสร้างฐาน และอาจจะกลายเป็นเหมือนหลิวเม่ยในวันหนึ่ง เขาก็เกิดความคิดอยากจะพานางหนีไปให้พ้นจากที่นี่
เขาไม่อาจทนมองเห็นนางต้องจมอยู่ในสำนักเหอฮวนและเปลี่ยนเป็นเหมือนเหล่าหญิงสาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายปีศาจเช่นนี้ได้
แต่เขาเองก็เหมือนพระพุทธรูปดินที่ข้ามแม่น้ำ ช่วยตัวเองยังแทบไม่ได้ จะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร?
หลินเฟิงเหมียนถอนหายใจยาว "ตอนนี้คงต้องก้าวไปทีละก้าว แล้วค่อยดูกันต่อไป"
เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป รวบรวมสมาธิและเริ่มฝึกตนเพื่อเสริมสร้างพลังที่เขาดูดซับมาจากเซี่ยอวิ๋นซีให้มั่นคงยิ่งขึ้น
ที่เขาสามารถดูดซับพลังวิญญาณของเซี่ยอวิ๋นซีได้ ไม่ใช่เพราะเขาฝึก คัมภีร์เทพเก้าหยางของสำนักเหอฮวนที่ชื่อฟังดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพราะเขาฝึกเคล็ดมารราชันย์ต่างหาก
นี่คือวิชาที่เขาได้รับจากหยกปลาคู่หลังจากฝันร้ายครั้งแรก ซึ่งเขาเริ่มเปลี่ยนมาฝึกเมื่อสามเดือนก่อน
ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ว่าวิชานี้มีผลลัพธ์อย่างไร แต่ในสายตาของหลินเฟิงเหมียน อย่างน้อยมันก็ดีกว่า คัมภีร์เทพเก้าหยางของสำนักเหอฮวนมากมายนัก
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจในวันนี้คือ วิชานี้สามารถดูดซับพลังของผู้อื่นได้ ซึ่งดูเหมือนจะเกินคาดหมายไปมากจนเขารู้สึกว่า "นี่มันแปลกเกินไปหน่อยแล้ว!"
"เคล็ดมารราชันย์" ชื่อมันช่างเหมาะเจาะจริงๆ!"
หลินเฟิงเหมียนตัดสินใจว่า ครั้งต่อไปที่เขาเข้าไปในมิติแห่งนั้น เขาจะถามลั่วเสวี่ยว่ามันคืออะไรและเหตุใดถึงมีพลังแบบนี้
เขาตั้งใจจะบำเพ็ญอย่างสงบ แต่สุภาษิตว่า "ต้นไม้ปรารถนาความสงบ แต่ลมมิหยุดพัด" ก็เกิดขึ้นจริง เพราะประตูห้องของเขาถูกเคาะเบาๆ
หลินเฟิงเหมียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเสียงเบา "ใคร?"
"ศิษย์พี่หลิน ท่านพักหรือยัง?" เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังมาจากด้านนอก
เมื่อเขาเปิดประตูด้วยความสงสัย ก็พบชายหนุ่มศิษย์รุ่นน้องคนหนึ่งยืนอยู่
ชายคนนั้นเห็นหลินเฟิงเหมียนก็รีบทำความเคารพอย่างสุภาพ "ข้าน้อยเซี่ยกุ้ย ขอคารวะศิษย์พี่หลิน"
"ศิษย์น้อง ท่านมีธุระอะไรกับข้าหรือ?"
หลินเฟิงเหมียนจำได้ทันทีว่า เซี่ยกุ้ยคือหนึ่งในศิษย์ที่เขาเห็นแสดงท่าทางสงสัยก่อนหน้านี้
"ศิษย์พี่หลิน พอจะเข้าไปพูดข้างในได้หรือไม่?" เซี่ยกุ้ยถามพร้อมมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง
หลินเฟิงเหมียนเปิดประตูให้เซี่ยกุ้ยเข้ามาในห้อง ก่อนจะปิดประตูตามหลัง แต่เมื่อเขาหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเซี่ยกุ้ยคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“ศิษย์พี่ ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
“ศิษย์น้อง ท่านทำอะไร?”
หลินเฟิงเหมียนรีบยื่นมือไปพยุงเขา แต่เซี่ยกุ้ยกลับไม่ยอมลุกขึ้น
“ลุกขึ้นก่อนเถอะ หากใครมาเห็นเข้า เรื่องคงยุ่งยากแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยกุ้ยจึงลุกขึ้นและนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับหลินเฟิงเหมียน หลินเฟิงเหมียนรินน้ำชาที่ค้างคืนไว้ให้เขาหนึ่งถ้วย
“ศิษย์น้องเซี่ย ท่านพูดเรื่องอะไรเมื่อครู่?”
เซี่ยกุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “ศิษย์พี่ ข้าอยู่ที่นี่มาครึ่งปี สังเกตการณ์อยู่นาน และพบว่ามีเพียงท่านเท่านั้นที่ขึ้นไปยังยอดเขาหงหลวนหลายครั้ง แต่กลับยังปลอดภัยดี”
“คนอื่นๆ บางคนขึ้นไปได้สามครั้ง หรือห้าครั้ง มากที่สุดก็แปดครั้ง แต่ข้าขึ้นไปเพียงสามครั้ง ข้าก็กลัวแล้ว ขอศิษย์พี่ช่วยข้าด้วยเถอะ”
หลินเฟิงเหมียนหัวเราะเบาๆ “ศิษย์น้อง ท่านกังวลเกินไปแล้ว ข้าอยู่มาได้นานขนาดนี้ก็เพราะคุณสมบัติของข้าต่ำเกินไป ไม่อาจผ่านการทดสอบได้เท่านั้นเอง”
แต่เซี่ยกุ้ยส่ายหน้า “ศิษย์พี่ อย่าหลอกข้าเลย พี่ชายของข้า เซี่ยซวี่ ได้รับเลือกให้เข้าสู่ชั้นใน แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีกเลย”
“ข้ารู้จักพี่ชายของข้าดี เขาไม่มีทางตัดขาดจากข้าเช่นนี้ เขาต้องเจอกับอะไรบางอย่างแน่นอน อาจจะ...ตายไปแล้วก็เป็นได้”
เซี่ยกุ้ยและพี่ชายของเขาเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ถูกหลอกล่อให้เข้าสำนักเหอฮวน พวกเขาเริ่มต้นด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะฝึกฝนเป็นผู้บำเพ็ญตน
ในช่วงแรก ทั้งคู่เคยขึ้นไปบนยอดเขาหงหลวนสองครั้ง รู้สึกเหมือนสัมผัสกับความสุขอันสุดยอดเหมือนขึ้นสวรรค์ชีวิตดั่งเทพเจ้า
แต่หลังจากที่พี่ชายของเขาเข้าสู่ชั้นในและไม่กลับมาอีกเลย เซี่ยกุ้ยเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติ เขาเฝ้ามองอยู่นานจนแน่ใจว่า สำนักแห่งนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้แต่แรก
เซี่ยกุ้ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ศิษย์พี่ ท่านสามารถยืนหยัดอยู่ในสำนักแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย ข้าคิดว่าท่านต้องมีความสามารถล้ำเลิศ ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้าให้ท่าน"
หลินเฟิงเหมียนมองเซี่ยกุ้ยด้วยสายตาเรียบเฉย ในใจแอบถอนหายใจคนผู้นี้ไม่โง่ แต่โชคร้ายที่หลงเข้ามาในสำนักเหอฮวน
"ตัวข้ายังเอาตัวไม่รอด จะไปช่วยเขาได้อย่างไร?"
เขาส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ "ศิษย์น้อง ท่านคิดมากไปแล้ว บางทีพี่ชายของท่านอาจกำลังมีความสุขล้นเกินในชั้นในจนลืมเรื่องทุกอย่างไปชั่วคราว"
เซี่ยกุ้ยจ้องหลินเฟิงเหมียนด้วยดวงตาแน่วแน่ ก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า "ศิษย์พี่ ท่านคิดจะนิ่งดูดายจริงๆ หรือ?"
หลินเฟิงเหมียนหัวเราะเบาๆ "ข้ามิได้มีความสามารถมากมายอย่างที่เจ้าคิด ข้าเพียงแค่เป็นคนที่มีคุณสมบัติต่ำเกินไปจนไม่มีใครใส่ใจเท่านั้น"
เซี่ยกุ้ยแสดงสีหน้าเคร่งขรึม เขายืนขึ้นช้าๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ถ้าเช่นนั้น ถือว่าข้ารบกวนท่านโดยใช่เหตุ"
เมื่อเห็นเซี่ยกุ้ยเดินออกไปพร้อมสีหน้ามืดมน หลินเฟิงเหมียนยังคงสงบนิ่ง ใบหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ ที่เด่นชัด
เขาไม่ได้รู้สึกผิดอะไรนัก เพราะเขากับเซี่ยกุ้ยแทบไม่รู้จักกันเลย
"หากข้าสามารถช่วยได้ ข้าก็ยินดีช่วย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าก็ไร้กำลังที่จะทำอะไรได้"
……….