ตอนที่ 8 นายน้อยกลายเป็นคนสวน
หลังจากนำศพของจวี้เซียงไปยังสุสานรวม จ้าวเหลยได้ตรวจสอบทรัพย์สินของนางแต่ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ จึงหันมาให้ความสนใจกับ “ฆาตกรที่ฆ่าปิดปาก” แทน
ลู่โฉ่วอี๋ตกใจมาก ไม่คิดว่าในจวนของเขาจะมี “ยอดฝีมือเพลงเตะ” ที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับจ้าวเหลยซ่อนอยู่ นี่มันเรื่องใหญ่!
ไม่นานนัก จ้าวเหลยก็พบเบาะแส
“ท่านอ๋อง ที่มุมหนึ่งของสวนมีกองหินถล่มลงมา ข้าน้อยคิดว่ามันถูกเตะจนแตกโดยผู้ที่มีวิชาเพลงเตะอันร้ายกาจ! ฝีมือของคนผู้นี้น่าจะเหนือกว่าข้าน้อย!”
ลู่โฉ่วอี๋ตกใจอีกครั้ง เมื่อมาถึงกองหินที่พังทลายลงมา ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว “ในจวนข้ามียอดฝีมือเช่นนี้แฝงตัวอยู่ ช่างน่าเป็นห่วงยิ่งนัก! สืบ! ต้องสืบให้รู้เรื่อง!”
“ขอรับ!” จ้าวเหลยรีบรวบรวมยอดฝีมือด้านวรยุทธ์ในกองทัพเพื่อเริ่มการสืบสวนทันที
แต่ไม่ว่าจะสืบอย่างไร ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ลู่เฉินฆ่าจวี้เซียง เขาก็กลับไปยังเรือนพักและได้รับรางวัลจากระบบในทันที
[สังหารสายลับ ท่านสังหารสายลับที่แฝงตัวอยู่ข้างกายได้สำเร็จ ระบบจะมอบหัวข้อรางวัลสามอย่าง โปรดเลือกมาหนึ่งอย่าง:
1. อาวุธวิเศษขั้นสูง “มีดสั้นเอ๋อเหมย”
2. วิชาเสริม “เคล็ดวิญญาณหมื่นพฤกษา”
3. ยา “ยาบำรุงปราณ” ]
ลู่เฉินอยากได้อาวุธวิเศษ แต่มีดสั้นไม่ใช่อาวุธที่เขาชอบ ส่วนข้อสามก็ไม่ได้จำเป็นเท่าใดนัก
เขาตัดสินใจทันที “ข้าเลือกข้อสอง”
ในพริบตาทักษะเสริม “เคล็ดวิญญาณหมื่นพฤกษา” ก็ปรากฏขึ้นในหัว เขาศึกษาอย่างตั้งใจ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกพอใจ
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าวิชาเสริมคืออะไร ที่แท้ก็มีประโยชน์เช่นนี้นี่เอง!”
ในหน้าต่างระบบมีแถวหนึ่งเขียนว่า "วิชาเสริม" ลู่เฉินไม่เคยรู้ว่าวิชาแบบนี้มีไว้เพื่ออะไร แต่หลังจากที่ได้อ่านเคล็ดวิญญาณหมื่นพฤกษาเขาก็เข้าใจได้ทันที
เคล็ดวิญญาณหมื่นพฤกษาเป็นวิชาปลูกและเพาะปลูกพืชพันธุ์ แล้ววิชาเช่นนี้มีประโยชน์อย่างไร?
มันสามารถเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกฝนกับพลังปราณไม้ได้
เดิมทีลู่เฉินฝึกวิชาที่เน้นธาตุไม้ หากเพิ่มความสัมพันธ์กับพลังปราณไม้ให้มากขึ้น ก็อาจบรรลุถึงขั้นที่มนุษย์กับพืชเป็นหนึ่งเดียวกัน กล่าวคือ เพิ่มพรสวรรค์ด้านธาตุไม้ของเขานั่นเอง!
สำหรับผู้ฝึกฝน พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง!
วิชาที่สามารถเพิ่มพรสวรรค์นั้นเป็นสิ่งล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง!
“เยี่ยมมาก! นี่มันแก้ไขจุดอ่อนของข้าได้พอดี” ลู่เฉินพยักหน้าอย่างพอใจ
เขาศึกษาเคล็ดวิญญาณหมื่นพฤกษา พบว่ามันเริ่มต้นได้ง่าย แต่หากต้องการฝึกฝนให้ลึกซึ้งนั้นค่อนข้างยุ่งยาก…
ไม่ยาก แต่เสียเวลามาก
การฝึกฝนเคล็ดวิญญาณหมื่นพฤกษาต้องใช้เวลาในการปลูกและดูแลพืชพันธุ์เป็นอย่างมาก เพื่อสร้างความสนิทสนมระหว่างตนเองกับพืช ซึ่งจะช่วยให้สามารถสัมผัสกับพลังปราณไม้ได้ง่ายขึ้น
“ก็ไม่เลว ข้าก็ว่างอยู่พอดี”
วิชาพื้นฐานของลู่เฉินไม่จำเป็นต้องฝึกฝน รอใช้การจำลองก็เพียงพอ เช่นนั้นเขาก็มีเวลาว่างมากมาย เอาไว้ปลูกดอกไม้ เพาะพันธุ์พฤกษา ยกระดับจิตใจและเพิ่มพรสวรรค์ไปด้วยในตัว
เมื่อคิดได้ดังนั้น วันรุ่งขึ้นเขาก็ออกจากเรือนพัก มุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ข้าง ๆ
ในจวนมีคนสวนประจำอยู่แล้ว เขาติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ปัจจุบันมีชื่อว่าลู่อัน อายุประมาณ 50 ปี แต่งงานมีครอบครัว ลูกเมียของเขาก็ทำงานอยู่ในจวนเช่นกัน
แม้ว่าลู่เฉินจะมีเคล็ดวิญญาณหมื่นพฤกษา แต่เขาก็ไม่รู้จักชื่อของพืชพันธุ์มากนัก เขาจึงต้องการขอคำแนะนำจากลู่อัน
“คุณชายคิดจะปลูกดอกไม้หรือขอรับ?” ลู่อันประหลาดใจที่ลู่เฉินมาหาเขาถึงที่
ลู่เฉินยิ้ม “ท่านพ่อสั่งกักบริเวณข้าหกเดือน ข้าไม่มีอะไรทำ เห็นดอกไม้สวยงามดีจึงอยากลองปลูกบ้าง ขออาลู่ช่วยแนะนำข้าหน่อยได้หรือไม่?”
“ขอรับ ข้าน้อยยินดีช่วยเหลือคุณชายอย่างเต็มที่” ลู่อันเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลลู่มาหลายชั่วอายุคน เขาจึงแทนตัวเองว่าข้าน้อย
“เช่นนั้นก็ดี”
ลู่เฉินจัดสวนดอกไม้ในสวนของจวน ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เขาตัดสินใจเริ่มปลูกดอกไม้ที่ง่ายที่สุดก่อนแล้วค่อย ๆ เพิ่มระดับความยากขึ้น
ลู่อันคิดว่าลู่เฉินคงปลูกได้ไม่นานก็คงเบื่อ แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าลู่เฉินไม่เพียงแต่ทำอย่างจริงจัง แต่ยังลงมือทำเอง ไม่รังเกียจดินโคลน ปลูกดอกไม้ทีละต้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
ในห้องหนังสือ
ลู่โฉ่วอี๋กำลังอ่านจดหมายอยู่ก็เห็นจ้าวเหลยเดินเข้ามา เขารีบเก็บจดหมายลงในกล่องไม้เล็ก ๆ ล็อคอย่างระมัดระวังก่อนถามว่า “สืบเรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว?”
จ้าวเหลยคุกเข่าลงข้างหนึ่งทันที “ฝ่าบาท ข้าน้อยไร้ความสามารถ ยังสืบหาตัวยอดฝีมือเพลงเตะคนนั้นไม่พบขอรับ”
ลู่โฉ่วอี๋ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาไม่สั่งให้จ้าวเหลยลุกขึ้นแต่ถามด้วยน้ำเสียงเข้ม “คนผู้นั้นฆ่าจวี้เซียง การสืบหาตัวคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาเตะหินจนแตกกระจาย เสียงดังขนาดนั้น ไม่มีใครได้ยินเลยหรือ?”
จ้าวเหลยคุกเข่าก้มหน้า “คนผู้นั้นน่าจะเข้าไปในสวนและเตะกองหินก่อนลงมือฆ่าจวี้เซียง ตอนนั้นทุกคนในจวนกำลังตามหาตัวนาง แม้บางคนจะได้ยินเสียงแต่ก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ”
“ถ้าเช่นนั้นก็พอเข้าใจได้” ลู่โฉ่วอี๋จึงอนุญาตให้จ้าวเหลยลุกขึ้นยืนก่อนถามต่อ “มีอะไรน่าสงสัยอีกบ้างหรือไม่? ช่วงนี้มีใครเข้าไปในสวนบ่อย ๆ บ้าง?”
เมื่อถามดังนั้น สีหน้าของจ้าวเหลยก็ดูแปลกไป
“ว่ามา!”
จ้าวเหลยกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “หากจะพูดถึงเรื่องน่าสงสัย คุณชายเจ็ดก็นับว่าน่าสงสัยที่สุดขอรับ สองวันก่อนที่กองหินจะถูกเตะจนแตก มีคนเห็นคุณชายเข้าออกสวนหลายครั้งในตอนกลางคืนและเช้าตรู่…”
“เป็นไปได้อย่างไร?” ลู่โฉ่วอี๋หัวเราะ
บุตรชายของเขาเป็นเพียงคนไร้ค่า ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยทำอะไรสำเร็จ ไม่เคยฝึกวรยุทธ์แม้แต่วันเดียว การบอกว่าเขาเป็นยอดฝีมือเพลงเตะช่างเป็นเรื่องตลกสิ้นดี
จ้าวเหลยกล่าวต่อ “ข้าน้อยสืบทุกเบาะแส จึงสืบหาสาเหตุที่คุณชายเข้าออกสวนหลายครั้ง ในตอนแรกยังไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”
“โอ้? เจ้าสารเลวนั่นเข้าไปในสวนทุกวันเพราะเหตุใด?” ลู่โฉ่วอี๋เริ่มสนใจ
“ช่วงนี้คุณชายสนใจการปลูกดอกไม้ ข้าได้ยินมาว่าเขาขอคำแนะนำจากลู่อัน ระยะนี้เขายุ่งอยู่กับการพรวนดินปลูกดอกไม้กับลู่อันทุกวันขอรับ”
“ฮ่า ๆ” ลู่โฉ่วอี๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ทว่าในเสียงหัวเราะกลับแฝงไปด้วยความเศร้า “ปลูกดอกไม้งั้นหรือ…หวังว่าเขาจะตั้งใจจริง แม้การเป็นคนสวนจะฟังดูไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้”
จ้าวเหลยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจ บุตรชายหกคนก่อนหน้าของท่านอ๋องล้วนเป็นคนดีมีฝีมือทั้งบุ๋นและบู๊ แต่น่าเสียดายที่สวรรค์ริษยา อีกทั้งยังเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ
เหลือเพียงลู่เฉิน คุณชายไร้ค่าที่เอาแต่เรียนปลูกดอกไม้กับคนสวน ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
แต่เพราะความไร้ค่าของลู่เฉินนี่แหละที่ทำใหเขามีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
หากฮ่องเต้อยากให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย! แม้แต่อ๋องเจิ้นหนานที่เคยยิ่งใหญ่ก็ยังต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ลู่โฉ่วอี๋หยุดหัวเราะ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เขาชอบปลูกดอกไม้ก็ดี ข้าเหลือเพียงบุตรชายคนเดียว หยุดสืบเรื่องนี้เถอะ ตั้งใจคุ้มกันบุตรชายของข้าก็พอ”
“ขอรับ!”
จ้าวเหลยคุกเข่าลงข้างหนึ่งอีกครั้งพร้อมกล่าวเสียงดัง “จ้าวเหลยติดตามท่านอ๋องมานาน ไม่เคยกลัวตาย บัดนี้ข้าจะปกป้องคุณชายด้วยชีวิต ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ คุณชายจะต้องปลอดภัย!”
“เจ้าช่างภักดี ลุกขึ้นเถอะ” ลู่โฉ่วอี๋ยิ้มและพยักหน้า
จ้าวเหลยลุกขึ้นยืน “ท่านอ๋อง ในจวนคงมีสายลับมากกว่าจวี้เซียง แม้จะหาตัวยอดฝีมือเพลงเตะคนนั้นไม่พบ แต่ก็ต้องมีคนอื่นอีก…”
ลู่โฉ่วอี๋ลุกขึ้นยืน โบกมือ “หากมีคนจ้องมองข้าอยู่ คงร้อนใจที่ข้ายังไม่ลงมือ ในเมื่อเขาอยากรู้นักก็ปล่อยให้เขารู้ไป ไม่ต้องตามหาอีก”