ตอนที่ 4 ผู้ว่ามาขอขมา
ในสวนของจวนอ๋องมีต้นไม้โบราณขนาดใหญ่สามต้นตั้งตระหง่านวางเป็นรูปสามเหลี่ยมล้อมรอบด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด นับเป็นสถานที่ที่พลังปราณของพืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ที่สุด
ลู่เฉินปูเสื่อนั่งขัดสมาธิ พร้อมเริ่มฝึกเคล็ดชีวิตนิรันดร์เพื่อสัมผัสพลังปราณของพืชพันธุ์
ต้องบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ
ค่ำคืนผ่านพ้น ในยามเช้าตรู่ ขณะที่น้ำค้างยังเกาะอยู่บนยอดหญ้าและใบไม้ ร่างกายของลู่เฉินเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย และทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณของพืชพันธุ์
“สรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ พืชพันธุ์เองต่างก็มีพลังปราณเช่นกัน ต้นไม้ใหญ่มีกลิ่นหอมเข้มข้น ส่วนดอกไม้และต้นเล็กมีกลิ่นหอมสดชื่น ช่วยในการบ่มเพาะและฟื้นฟูพลัง…”
ลู่เฉินนึกถึงบันทึกในเคล็ดชีวิตนิรันดร์ด้วยความปลื้มปิติ พลังปราณของพืชพันธุ์ที่เขาสัมผัสได้ไม่เพียงแต่สดชื่น แต่ยังช่วยบำรุงร่างกายทำให้ฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดค่อย ๆ จางหายไป
“ระบบไม่หลอกข้า วิชานี้ดีจริง ๆ!” ลู่เฉินรู้สึกตื่นเต้นที่เลือกวิชาได้ถูกต้อง ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตนช่างมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะไม่น้อย
“ใช้เวลาเพียงคืนเดียวก็สัมผัสพลังปราณได้ ดูเหมือนพรสวรรค์ข้าจะไม่แย่อย่างที่คิด”
เขาเปิดหน้าต่างระบบอีกครั้ง พบว่าในส่วนของวิชาพื้นฐานได้เปลี่ยนเป็น [วิชาพื้นฐาน: เคล็ดชีวิตนิรันดร์ (ขั้นเริ่มต้น)]
“ในที่สุดก็เริ่มการฝึกได้แล้ว!”
ที่น่ายินดียิ่งกว่าคือระดับบ่มเพาะก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
[ระดับบ่มเพาะ: ก่อกำเนิดขั้น 1]
“อยู่ในระดับก่อกำเนิดแล้วหรือ?” ลู่เฉินประหลาดใจ
จากความทรงจำอดีตที่ผ่านมา บนโลกนี้มีระดับการบ่มเพาะที่แตกต่างกันออกไป
หากฝึกฝนวรยุทธ์เพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่ง จะถูกเรียกว่าหล่อหลอม เช่นทหารในกองทัพเจิ้นหนานผู้มีวรยุทธ์สูง หรือผู้ฝึกยุทธ์บางคนในยุทธภพล้วนเป็นระดับหล่อหลอมทั้งนั้น
แต่การ “ฝึกวรยุทธ์โดยไม่ฝึกพลังภายในสุดท้ายก็ไร้ค่า” ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงต้องฝึกฝนทั้งวรยุทธ์และพลังภายในซึ่ง “พลังภายใน” ในที่นี้หมายถึงลมปราณ เมื่อมีลมปราณจึงจะเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง
การมีลมปราณจากการบ่มเพาะเปรียบเสมือนการติดตั้งเครื่องยนต์ให้กับร่างกาย ทำให้วิชาต่าง ๆ ล้วนมีพลังมหาศาล เช่น จ้าวเหลย หัวหน้าองครักษ์ ผู้แข็งแกร่งในระดับก่อกำเนิดขั้นเจ็ด
ลู่เฉินฝึกเพียงคืนเดียวก็ก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขายินดีเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีเขาตั้งใจจะฝึกฝนมันต่อ แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างก็ชวนรู้สึกหิวทันใด จึงลุกขึ้นเดินกลับไปยังเรือนพักตน
สาวใช้ทั้งสองตื่นแต่เช้า เมื่อพบว่าคุณชายไม่อยู่ในห้องก็ร้อนใจกันใหญ่ พอเห็นลู่เฉินกลับมาก็รีบคารวะ “คารวะคุณชาย”
ชิวเยว่เป็นคนช่างสังเกต นางเห็นว่าฝีเท้าของลู่เฉินเบาขึ้นจึงรีบกล่าว “ขอยินดีกับคุณชายด้วยเจ้าค่ะ”
“อืม ข้าสบายดีแล้ว” ลู่เฉินอารมณ์ดีนัก ฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดที่หายไปครึ่งหนึ่งเป็นเพราะผงมิ่วหมู่เหมี่ยงชี ส่วนอีกครึ่งเป็นเพราะเคล็ดชีวิตนิรันดร์
วิชานี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการบ่มเพาะ แต่ยังช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกายได้ดีขึ้น รางวัลที่ระบบให้มานับว่าเป็นของดีตรงใจ
เมื่อสาวใช้ทั้งสองเห็นคุณชายอารมณ์ดีพวกนางก็ดีใจตาม ชุนฮวารีบไปเอาอาหารเช้าที่ห้องครัว ส่วนชิวเยว่ปรนนิบัติหวีผมให้ลู่เฉิน
คนโบราณเชื่อว่าร่างกาย ผมและผิวหนังล้วนได้รับอิทธิพลมาจากพ่อแม่ ดังนั้นคนส่วนใหญ่มักนิยมไว้ผมยาวมากกว่าตัด การหวีผมทุกวันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก
ลู่เฉินนั่งนิ่งให้ชิวเยว่หวีผมเงียบ ๆ ส่วนชุนฮวาก็นำอาหารเช้ามาวางไว้ตรงหน้า หลังทานอาหารเช้าเสร็จเขาก็หวีผมเสร็จพอดี จึงเปลี่ยนเป็นชุดผ้าต่วนสีขาว สวมหยกชั้นดีที่เอว
เขายืนตัวตรงพลางมองตัวเองในกระจกทองแดงด้วยความพึงใจ ใบหน้าของลู่เฉินเจ้าของร่างเดิมค่อนข้างหล่อเหลา ดูสง่างาม สมกับเป็นคุณชายรูปงามตามพิมพ์นิยมทีเดียว
สาวใช้ทั้งสองต่างตะลึงพรึงเพริด พลางคิดในใจแม้นคุณชายจะนิสัยไม่ดี แต่ก็หล่อเหลาเอาการ เมื่อเทียบกับคุณชายเสวี่ยและคุณชายเฉินแล้วช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว พวกนางยินดีที่จะอยู่รับใช้คุณชายแม้จะต้องเจอกับความลำบากบ้างก็ตาม
หลังอาหารเช้า ลู่เฉินอยากไปฝึกต่อที่สวนแต่ก็นึกถึงมารดาในชาตินี้ นางช่างเป็นหญิงที่น่าสงสาร เขาควรไปเยี่ยมนางสักหน่อย
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขัดความคิด คนที่มาคือฟูโป๋ พ่อบ้านใหญ่ของจวนอ๋อง
“คุณชาย เฉินจ้าว ผู้ว่าราชการเมืองเจิ้นหนานมาขอพบขอรับ บอกว่าจะมาขอขมาท่านอ๋อง ขอคุณชายไปพบเขาด้วยเถิด” ฟูโป๋รายงานอย่างนอบน้อม
เฉินจ้าวเป็นขุนนางพลเรือน ส่วนเสวี่ยผิงไห่เป็นขุนนางทหาร ทั้งสองคนนี้มีหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊เป็นตัวแทนของราชสำนักที่คิดจะเข้ามารับช่วงอำนาจทั้งหมดไปจากอ๋องเจิ้นหนาน
ที่น่าขันคือลู่เฉิน เจ้าของร่างเดิมกลับสนิทสนมกับเสวี่ยหยูและเฉินเฟย บุตรชายทั้งสองของเขา ช่างน่าขันสิ้นดี
ลู่เฉินขมวดคิ้ว “ท่านผู้ว่าเฉินจะมาขอขมาข้า? ขอขมาเรื่องอะไร?”
“เรื่องเมื่อวานที่หงซิ่วโหลวเกิดเพลิงไหม้โดยไม่คาดคิด ท่านผู้ว่าบอกว่าตนมีความผิดฐานตรวจตราไม่ทั่วถึงขอรับ”
“หึ” ลู่เฉินหัวเราะในลำคอ
เห็นได้ชัดว่าเขาถูกวางยาจากนั้นก็มีคนลอบวางเพลิง แต่เฉินจ้าวกลับบอกว่าเป็น "อุบัติเหตุ" แถมยังโทษว่าเป็นความผิดของตนเองที่ "ตรวจตราบกพร่อง" เร่งพยายามทำให้เรื่องนี้ดูเล็กน้อยลงกว่าที่เป็น
ช่างเป็นการแก้ตัวที่ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย!
ฟูโป๋เห็นลู่เฉินไม่พอใจจึงเตือนว่า “ท่านอ๋องต้องการให้เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้ ไม่ต้องการให้สืบสาวราวเรื่องให้มากความ แต่ท่านอ๋องจะแอบสืบหาความจริงเองขอรับ”
“แอบสืบ?” ลู่เฉินแค่นหัวเราะเยาะ
จากความทรงจำที่มี บิดาของเขานับเป็นขุนนางผู้ภักดีคนหนึ่ง แม้กระทั่งบุตรชายหกคนเสียชีวิตก็ยังไม่คิดก่อกบฏ อย่าได้หวังพึ่งบิดาให้สืบหาความจริงและแก้แค้นให้เลย
นี่มันยุคโบราณ แนวคิดเรื่องพระราชอำนาจฝังรากลึกเกินแก้ ลู่เฉินคิดในใจ เช่นที่เคยพูดไว้ ทุกอย่างต้องพึ่งตนเอง ตอนนี้เขายังไม่มีพลังจึงทำได้เพียงเอาตัวรอดและค่อย ๆ พัฒนาฝีมือ
ลู่เฉินเดินตามฟูโป๋ไปยังห้องโถงด้านหน้า
“เฉินเอ๋อร์ เจ้าหายเมาแล้วหรือยัง? รีบมาคำนับท่านผู้ว่าเฉินเร็วเข้าสิ!” ลู่โฉ่วอี๋เอ่ยปากเตือนลู่เฉินเบา ๆ ว่าเป็นเพราะ "เมาเหล้า" และไม่เอ่ยถึงยาปลุกกำหนัดแม้แต่น้อย
ลู่เฉินเข้าใจความหมาย จึงเดินเข้าไปคำนับ “คารวะท่านผู้ว่า”
ผู้ว่าเฉินเป็นชายวัยกลางคน ไว้เคราแพะสีดำ ท่าทางดูสง่าผ่าเผย แม้จะเป็นขุนนางพลเรือน แต่ก็สามารถนำทหารได้ เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ มิเช่นนั้นคงไม่อาจเป็นตัวแทนราชสำนักมาควบคุมลู่โฉ่วอี๋ ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นได้เช่นนี้
“คุณชายเจ็ดปลอดภัยก็ดีแล้ว”
เฉินเจ้าทำทีเป็นห่วงใยขณะเดินเข้ามาดูอาการลู่เฉิน
จากนั้นก็กล่าวตำหนิตัวเองว่า “เรื่องนี้ทางจวนผู้ว่าไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ที่หงซิ่วโหลวเกิดเพลิงไหม้เพราะมีภัยแฝงมานาน… ฮึ่ม! ล้วนเป็นเพราะข้าราชการที่ดูแลหละหลวม ครั้งนี้ข้าจะลงโทษพวกเขาอย่างหนักเพื่อชดใช้ความผิดให้คุณชายเจ็ด!”
ลู่โฉ่วอี๋ยิ้ม “ท่านผู้ว่าเฉินเป็นดั่งพ่อแม่ของชาวเมืองเจิ้นหนาน ต้องดูแลประชาชนนับล้าน มีภารกิจมากมายล้นมือ คงหลีกเลี่ยงความผิดพลาดไม่ได้ พวกเราชาวบ้านย่อมเข้าใจ”
ลู่โฉ่วอี๋วางตัวต่ำ แม้จะเป็นถึงอ๋องแต่ก็ยังเรียกแทนตัวเองว่าชาวบ้านสามัญ เฉินจ้าวรีบกล่าวว่า “ไม่อาจกล้าขอรับ เช่นนั้นฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ข้าจะให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องอัคคีภัยในเมืองรับผิดชอบสิ่งนี้เอง!”
ลู่เฉินไม่ได้พูดอะไรกลับแต่ในใจกลับคิดเย้ยหยัน หากอยากสืบหาความจริงก็กลับไปจับเฉินเฟย บุตรชายของตนมาสอบสวนว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวานนี้นี้เสียสิ เหตุใดต้องให้ "เจ้าหน้าที่ดับเพลิง" มารับผิดแทน?
ลู่เฉินได้แต่คิดในใจ
ภายใต้ระบอบศักดินาที่เข้มงวด แถมบิดาก็ยังจงรักภักดีต่อราชสำนัก ลู่เฉินทำได้เพียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็มีเสียงโวยวายดังมาจากห้องโถงด้านหลัง มีคนรีบเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง ฮูหยินมาขอรับ”
ทุกคนรีบลุกขึ้นยืนเตรียมต้อนรับ เห็นหญิงวัยกลางคนในชุดฮูหยินเดินเข้ามาโดยมีสาวใช้พยุง นางคือฮูหยินใหญ่ของลู่โฉ่วอี๋ มารดาผู้ให้กำเนิดลู่เฉิน หลิวซื่อ
“ลูกชายข้าอยู่ไหน? ลูกชายข้าอยู่ที่ไหน?” หลิวซื่อถามอย่างร้อนรน
ลู่เฉินแอบถอนหายใจในใจ บุตรชายหกคนเสียชีวิตทำให้นางร้องไห้จนตาบอด ตอนนี้เหลือเพียงเขาที่เป็นบุตรชายตน เป็นคนเดียวในโลกที่จริงใจต่อเขา
“ท่านแม่ ข้าอยู่นี่” ลู่เฉินเดินเข้าไปหา
หลิวซื่อไม่ได้ตาบอดสนิท ต้องเข้าไปใกล้มาก ๆ จึงจะมองเห็น นางลูบคลำใบหน้าของลู่เฉิน เมื่อเห็นชัดแล้วจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ลูกชายข้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ไอ้พวกสารเลวนั่นคิดจะทำร้ายลูกชายข้าอีกแล้วงั้นหรือ!”