ตอนที่ 3 ความลับของชีวิตนิรันดร์
“ฝ่าบาท คุณชายเจ็ดนับเป็นคนฉลาด” บัณฑิตวัยกลางคนกล่าวเสริม “พอได้ยินคำพูดของท่าน เขาก็สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ในทันที แถมยังเรียนรู้ที่จะแสร้งทำเป็นคนโง่เสียอีก”
“ข้าไม่อาจรู้ว่าเขาโง่จริงหรือแสร้ง แต่หากแสร้งก็ควรทำให้แนบเนียนกว่านี้หน่อย ไม่เช่นนั้น ฝ่าบาทคงไม่ปล่อยลูกข้าแน่” ลู่โฉ่วอี๋ถอนหายใจพลางเดินไปนั่งบนบัลลังก์ของตน
บัณฑิตวัยกลางคนยิ้ม “บางที การที่คุณชายเจ็ดแสร้งทำเป็นโง่งมอาจทำให้เบื้องบนวางใจก็เป็นได้”
ลู่โฉ่วอี๋ส่ายหน้า “ฝ่าบาทเป็นคนช่างระแวง แล้วข้าจะวางใจได้อย่างไร? คนในราชวงศ์ล้วนไร้เมตตา ไม่อาจวางใจใครได้ทั้งนั้น!”
บัณฑิตวัยกลางคนถามอีกครั้ง “เมื่อฝ่าบาทตัดสินใจกระทำการนี้แล้ว เช่นนั้นท่านอ๋องจะรับมืออย่างไร?”
พลันแววตาของลู่โฉ่วอี๋ก็แปรเปลี่ยนชวนน่าเกรงขาม “ข้าเตรียมการมานานหลายปี ในเมื่อฝ่าบาทไม่เว้นแม้แต่บุตรชายไร้ค่าของข้า ก็อย่าได้โทษข้าที่ต้องสู้จนตัวตาย!”
“ท่านอ๋อง...ตัดสินใจดีแล้วหรือ?” บัณฑิตวัยกลางคนยิ้มรับด้วยความปลื้มปิติ
ลู่โฉ่วอี๋พยักหน้า “หากเขาไร้เมตตา ข้าก็ไร้น้ำใจ! จงรีบติดต่อไปยังอีกฝ่าย สำหรับทหารม้าในแดนใต้ หากข้าชูธงลามือเมื่อใดจะส่งสัญญาณให้เจ้ารู้อีกทีหนึ่ง”
“ขอรับ!” บัณฑิตวัยกลางคนเดินหายไปในความมืดกลายเป็นลำแสงพลันหายลับตา ซึ่งเขาใช้วิธีใดไม่อาจทราบ
ลู่โฉ่วอี๋มองบัณฑิตวัยกลางคนที่หายไปด้วยแววตาอิจฉา
ขณะเดียวกัน ลู่เฉินก็กลับถึงที่พักของตน
เขามีเรือนพักส่วนตัวในจวนอ๋องที่ถูกจัดแต่งพร้อมด้วยสวนหิน บรรยากาศเงียบสงบ มีต้นไม้โบราณและป่าไผ่ขึ้นถัดจากเรือนพัก ทั้งยังมีสวนดอกไม้นานาพันธุ์สีสันสวยงามสดใส
สาวใช้สองคนของลู่เฉิน ชุนฮวาและชิวเยว่ นางทั้งสองอายุราวสิบสี่สิบห้าปีเห็นจะได้ หน้าตางดงาม บอบบาง พร้อมท่าทีเขินอายตามประสาสาววัยแรกรุ่น
ส่วนลู่เฉินปีนี้อายุสิบหกที่กำลังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ ชายหนุ่มวัยนี้มักชอบหญิงสาวที่อายุมากเช่นยี่สิบกว่า ๆ ที่ซึ่งกำลังเบ่งบานเต็มที่
ลู่เฉินเจ้าของร่างเดิมไม่ค่อยสนใจสาวใช้สองคนที่หน้าตาสะสวยสดใส เขาจึงยกสาวน้อยทั้งสองนี้ให้ลู่เฉินคนใหม่แทน
ลู่เฉินถูกสาวใช้ทั้งสองประคองซ้ายขวา ได้กลิ่นกายหอมกรุ่นจากพวกนางชวนรู้สึกสบายใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อเดินถึงเรือนพัก ชิวเยว่ที่รูปร่างสูงกว่าเล็กน้อยพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “คุณชาย นายหญิงถามถึงท่านหลายครั้งแล้ว เมื่อท่านกลับมา เห็นควรว่าไปคารวะท่านสักหน่อยจะดีหรือไม่?”
ลู่เฉินตอบกลับ “ข้าจะไปคารวะท่านแม่ในสภาพนี้ได้อย่างไร? คงต้องรอให้ร่างกายหายดีก่อนจึงจะไปคำนับท่านได้”
“เป็นชิวเยว่ที่คิดไม่รอบคอบ” ชิวเยว่รีบกล่าวขอโทษ
สาวใช้ทั้งสองพาลู่เฉินกลับเข้าห้อง พยุงเขานอนลงบนเตียง ลู่เฉินจึงกล่าวว่า “เอาอาหารเย็นมาให้ข้าที่นี่ ส่วนท่านแม่... หากท่านเอ่ยถามถึงข้าก็บอกว่าข้านอนพักผ่อนไปแล้ว จำไว้ให้ดี อย่าให้ท่านแม่รู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาดมิเช่นนั้นจะเป็นพวกเจ้าที่โดนซักถามเสียเอง!”
ลู่เฉินเพียงแค่เตือน แต่สาวใช้ทั้งสองกลับหน้าซีดด้วยความตกใจ ชิวเยว่ตบหน้าตัวเองพลางกล่าวว่า “ชิวเยว่พูดมากเกินไป ไม่น่าเอ่ยถึงท่านแม่เลย…”
ส่วนชุนฮวาก็คุกเข่าลงกับพื้นอ้อนวอน “พวกข้าไม่กล้าบอกคุณหญิงหรอกเจ้าค่ะ ขอคุณชายอย่ายกพวกข้าให้คุณชายเสวี่ย คุณชายเฉินและคนอื่น ๆ เลย”
ลู่เฉินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของร่างเดิมมีนิสัยชอบตบตีดุด่าสาวใช้ทั้งสอง แถมยังยกพวกนางให้เสวี่ยหยูและเฉินเฟย อันธพาลสองคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง
คนพวกนั้นล้วนไม่ใช่คนดี หากถูกส่งไปคงน่าสงสารไม่น้อย
“ไม่ต้องกลัว ต่อไปข้าจะไม่ยกพวกเจ้าให้ใครทั้งนั้น วางใจเถอะ” ลู่เฉินปลอบโยน ก่อนอนุญาตให้สาวใช้ทั้งสองออกไป
“เฮ้อ” ลู่เฉินนอนลงบนเตียงโบราณ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขามาอยู่ในโลกนี้ได้เกือบชั่วโมงแล้ว และสิ่งแรกที่เขาเข้าใจคือต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้
“ระบบ” เขาเอ่ยเรียกในใจ
ทันทีที่เรียก ก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นบนจอประสาทตา
[เจ้าของ: ลู่เฉิน]
[อายุขัย: 16/83 ปี]
[ระดับบ่มเพาะ: ยังไม่มี]
[วิชาพื้นฐาน: เคล็ดชีวิตนิรันดร์ (ยังไม่ได้เริ่มฝึก)]
[ทักษะเสริม: ยังไม่มี]
[วิชาต่อสู้: ยังไม่มี]
[ทักษะเสริม: ยังไม่มี]
[ประสบการณ์บ่มเพาะ: 0 ปี]
หน้าต่างระบบดูเรียบง่าย ลู่เฉินอ่านดูทีละบรรทัดก็พอเข้าใจ มีเพียงข้อสุดท้ายที่เขาไม่รู้ว่าประสบการณ์บ่มเพาะคืออะไร จึงลองถามระบบในใจ แต่ดูเหมือนว่าระบบจะไม่ตอบคำถาม เขาจึงได้แต่ลองผิดลองถูกไปด้วยตัวเอง
“ช่างเถอะ ยังไงสักวันก็คงรู้เอง” ลู่เฉินคิดต่อ “เคล็ดชีวิตนิรันดร์ มาดูกันว่าเจ้าเป็นวิชาแบบไหน”
เคล็ดชีวิตนิรันดร์นี้เป็นของขวัญจากระบบ เขาไม่จำเป็นต้องอ่านท่องจำ มันได้ถูกฝังลึกอยู่ในใจแล้ว เพียงแค่คิดก็จะนึกออก จะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
“สรรพสิ่งล้วนหมุนเวียน มีเพียงพืชพันธุ์ที่เติบโตไม่สิ้นสุด ร่วงโรยในฤดูใบไม้ร่วง ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ พลังของพืชพันธุ์มีพลังของธาตุทั้งห้า…”
ลู่เฉินอ่านอย่างละเอียดและทำความเข้าใจ
เคล็ดชีวิตนิรันดร์นี้เป็นวิชาพื้นฐานที่เน้นธาตุไม้
ในบรรดาธาตุทั้งห้า มีเพียงธาตุไม้นี่แหละที่มีพลังในการแพร่พันธุ์และหมุนเวียนไม่สิ้นสุด
กล่าวคือ ต่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกสูญพันธุ์ไป พืชพันธุ์ก็จะไม่ตาย
“วิชาดี! ยอดเยี่ยมมาก!”
ยิ่งอ่านลู่เฉินก็ยิ่งดีใจ วิชานี้ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อฝึกฝน แต่เมื่อฝึกจนถึงขั้นสูงสุด ยังมีพลังชีวิตที่สามารถเกิดใหม่ได้โดยไม่ต้องอาศัยรากฐาน เป็นวิชาในฝันที่เขาต้องการเลยทีเดียว
เมื่อเข้าใจพลังของวิชานี้แล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงและเริ่มฝึกวิชาในทันที
“หากต้องการเริ่มฝึกวิชานี้ ต้องสัมผัสถึงพลังปราณเสียก่อน สัมผัสถึงพลังปราณของพืชพันธุ์ในอากาศ จากนั้นจึงจะฝึกฝนได้…”
จนกระทั่งสาวใช้ทั้งสองนำอาหารเย็นมาให้ เขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงพลังปราณของพืชพันธุ์ได้ ระหว่างรับประทานอาหาร เขาคิดในใจ “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะเสียนี่”
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว
ในเมื่อต้องการสัมผัสพลังปราณของพืชพันธุ์ ก็ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ แม้รอบ ๆ ห้องของเขาจะมีพืชพันธุ์อยู่บ้าง แต่มันก็เล็กน้อยเกินไป
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขารับประทานอาหารเย็นอย่างเร่งรีบ เขาคิดจะให้ชิวเยว่พาไปเดินเล่นในสวน แต่กลับมีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้นมาเสียก่อน เมื่อเปิดประตูออกก็พบว่าเป็นจ้าวเหลยที่นำยามาให้
ผงมิ่วหมู่เหมี่ยงชีเป็นยาที่ใช้กันทั่วในกองทัพเจิ้นหนาน มีสรรพคุณในการขับพิษจากป่าทึบ รวมถึงยาปลุกกำหนัดที่ลู่เฉินโดน
ลู่เฉินให้สาวใช้นำน้ำมา เปิดซองยาและดื่มลงไป
จ้าวเหลยกำชับอีกครั้ง “คุณชาย ท่านต้องกินยานี้วันละสามครั้งนะขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นเขากำลังจากไป ลู่เฉินพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “อาเหลย ข้าเห็นท่านกระโดดลงมาจากหงซิ่วโหลว ท่วงท่าสวยงามมาก ไม่ทราบว่าเป็นวิชาอะไร?”
จ้าวเหลยตอบ “นั่นเป็นวิชาตัวเบาที่สืบทอดกันมาในตระกูลข้า เป็นวิชาท่าร่างภูผา แท้จริงไร้ชื่อเรียก ใช้ควบคู่กับวิชาเตะพายุของตระกูลข้า”
“วิชาเตะพายุ?” สีหน้าของลู่เฉินเปลี่ยนไปก่อนถามต่อ “วิชานี้ยากหรือไม่? ข้าพอจะเรียนได้ไหม?”
ใบหน้าของจ้าวเหลยแดงก่ำขึ้นมาทันที เขาอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “คุณชาย การฝึกฝนวรยุทธ์ควรเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยไม่เกินแปดขวบหรืออย่างมากก็สิบขวบ คุณชายเป็นถึงคุณชายของจวนอ๋อง ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนสิ่งที่ลำบากเช่นนี้…”
ลู่เฉินรู้ว่าจ้าวเหลยกำลังบอกเป็นนัยว่าเขาไร้ค่า ฝึกไปก็เสียเวลาเปล่า ชายชาญเช่นเขาคงลำบากใจที่จะพูดตรง ๆ
ลู่เฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่กล่าวว่า “เช่นนั้นท่านกลับไปก่อนเถอะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ในวันนี้ วันหน้าข้าจะตอบแทน”
“คุณชาย ไม่ต้องเกรงใจ” จ้าวเหลยประสานมือคำนับแล้วหันหลังกลับ
ลู่เฉินเห็นเขาจากไป และกำลังจะให้ชิวเยว่พาไปเดินเล่นในสวน แต่กลัวว่าสาวใช้จะพูดมาก จึงให้สาวใช้กลับไปพักผ่อน ส่วนเขาก็นอนลงบนเตียง
เมื่อนอนจนถึงเที่ยงคืน ลู่เฉินรู้สึกว่าฤทธิ์ยาเริ่มออกทำงาน ร่างกายดีขึ้นเล็กน้อยจนสามารถเดินได้เอง จึงอาศัยแสงจันทร์เดินออกจากห้อง เปิดประตูเรือน เดินเข้าไปในสวนไม่ไกล และเมื่อเข้าไปก็พบสถานที่ที่มีพลังปราณของพืชพันธุ์อย่างรวดเร็ว