ตอนที่ 243: รายการนี้มีแววปัง (ผู้แปล: อ่านฟรี มีแต่น้ำ)
บนแพลตฟอร์มจี๋กวง
ในตอนแรกที่เห็นการโปรโมตรายการ “พี่สาวขี่พายุท่องคลื่น” ชาวเน็ตไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก จนกระทั่งพวกเขาเห็นชื่อบริษัทผู้ผลิตคือคุนเผิง และชื่อผู้วางแผนคือจวินหลิน
ใช่แล้ว
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าผู้วางแผนลึกลับของคุนเผิง ใช้ชื่อว่า "จวินหลิน" ซึ่งเป็นชื่อที่หลินจือไป๋คิดขึ้นมาระหว่างไลฟ์สดในนามของฉู่ฉือ และตอนนี้ชื่อนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ดังนั้น เมื่อเห็นชื่อคุนเผิงและจวินหลินพร้อมกัน ก็ทำให้ชาวเน็ตตื่นเต้นขึ้นมาทันที เพราะบริษัทและผู้วางแผนคู่นี้มักจะสร้างความประหลาดใจได้เสมอ
“โอ้โห!”
“นี่มันรายการใหม่ของจวินหลิน! น่าติดตามสุด ๆ นี่เป็นวาไรตี้โชว์รายการที่สี่แล้วใช่ไหม? วาไรตี้ของผู้วางแผนคนนี้สนุกทุกครั้ง!”
เมื่อได้ยินคอนเซปต์ว่าเป็นรายการที่เกี่ยวกับ "เกิร์ลกรุ๊ป" และ "การต่อสู้ของดารารุ่นใหญ่" หลายคนรู้สึกว่าน่าสนใจมาก แถมยังมีกลิ่นอายของการให้กำลังใจอีกด้วย การที่ให้ดาราผู้หญิง 30 คนมาแข่งขันกันบนเวทีเดียวกัน ฟังดูน่าจะสนุกไม่น้อย
แต่ก็มีบางคนที่อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นว่า
“นักแสดงที่เข้าร่วมรายการนี้ อายุจะไม่เยอะเกินไปหน่อยเหรอ? ในโปรโมตบอกว่านักแสดงที่อายุมากที่สุดในรายการอายุถึง 52 ปีแล้วนะ! นี่มันเกินไปหรือเปล่า?”
“ทำไมไม่เลือกนักแสดงหญิงที่อายุน้อยกว่านี้?”
“ดาราหญิงอายุต่ำกว่า 30 ปีมีเยอะแยะไป”
“หรืออาจเป็นเพราะดาราที่กำลังดังตอนนี้ไม่อยากมาร่วมรายการ?”
“แต่รายการนี้พูดถึงการเลือกตั้งเกิร์ลกรุ๊ปที่ต้องร้องและเต้นนะ ถ้าเป็นดาราอายุ 30 ถึง 50 ปีมาเต้นแบบเด็ก ๆ ภาพในหัวนี่คิดไม่ออกเลย”
“แล้วเรื่องพละกำลังล่ะ จะไหวไหม?”
“ปัญหาไม่ใช่แค่พละกำลังนะ”
“ที่แปลกสุด ๆ คือมีนักแสดงเข้าร่วมตั้งครึ่งหนึ่งเลยนะ! แล้วพวกนักแสดงจะร้องเพลงดีได้ขนาดไหนกัน?”
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางคนที่มองในแง่ดี
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่างน้อยคอนเซปต์ของรายการก็ฟังดูน่าสนใจนะ”
ในโฆษณาโปรโมตไม่ได้เปิดเผยรายชื่อดาราที่เข้าร่วมทั้งหมด แต่บอกไว้ชัดเจนว่า ดาราที่เข้าร่วมมีอายุตั้งแต่ 30 ถึง 52 ปี และครึ่งหนึ่งของพวกเธอเป็นนักแสดง!
"เอาจริงดิ?"
"จะทำรายการเกิร์ลกรุ๊ป แต่กลับเลือกดารารุ่นใหญ่ขนาดนี้ แถมยังมีนักแสดงตั้งครึ่งหนึ่งอีก งงไปหมด!"
แม้หลายคนจะรู้สึกแปลกใจกับแนวคิดนี้ แต่ด้วยความเชื่อมั่นในชื่อเสียงของคุนเผิงและจวินหลิน ผู้ชมส่วนใหญ่ก็ตั้งใจว่าจะลองดูสักตอน เพราะคอนเซปต์ที่ว่าดารารุ่นใหญ่จะกลับมาสานฝันบนเวที ฟังดูมีแรงดึงดูดพอสมควร
ทุกคนอยากรู้ว่า
"ภาพที่ดารารุ่นใหญ่มาเต้นและร้องเพลงบนเวทีจะเป็นอย่างไร?"
แถมความอยากรู้อยากเห็นยังเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อมีนักแสดงมาร่วมร้องและเต้น ซึ่งผู้ชมไม่ได้คาดหวังว่าจะดีเลิศอะไร เพียงแค่อยากดูว่า "มันจะออกมาเป็นยังไง?"
นี่แหละ ความน่าสนใจที่แท้จริง!
...
ในขณะเดียวกัน
คนในวงการบันเทิงก็สับสนไปตาม ๆ กัน
ทุกครั้งที่คุนเผิงเปิดตัวรายการใหม่ มันมักจะทำให้วงการบันเทิงงงงวย เพราะความคิดสร้างสรรค์ของจวินหลิน ผู้วางแผนรายการนั้น มักจะแตกต่างจากคนอื่น ๆ
“นี่มันรายการอะไรกัน?”
“โปรโมตก็เล่นใหญ่เกิน! มีดาราหญิง มีความฝัน มีเกิร์ลกรุ๊ป มีการเต้น แต่พอจับคู่กับอายุดาราแล้ว มันกลายเป็นภาพที่แปลกประหลาดยังไงไม่รู้ แต่ก็เป็นสไตล์จวินหลินจริง ๆ สมกับที่เป็นผู้วางแผนลึกลับของคุนเผิง ไอเดียเขาไม่เหมือนใครเลย”
“ใครจะมาร่วมรายการนี้บ้าง?”
“ได้ยินว่าเจ๊เชี่ยนเชี่ยนตกลงจะเข้าร่วมแล้ว”
“หา! หลี่เชี่ยนเหรอ? เธออายุ 48 แล้วนะ!”
“รายการนี้ไม่โกหกเลยนะ เอาจริง ๆ กล้าชวนดาราหญิงวัย 40-50 มาเข้าร่วมแบบนี้ แล้วหลี่เชี่ยนเธอเป็นนักแสดงนะ ร้องเพลงเป็นเหรอ?”
“ไม่เป็น”
“ฉันเคยไปคาราโอเกะกับเธอ”
“บอกได้เลยว่าเธอร้องเพลงในระดับคนธรรมดา แถมยังเพี้ยนบ่อย ๆ ส่วนเรื่องเต้น ไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่มีพื้นฐานอะไรทั้งนั้น ร่างกายก็ค่อนข้างแข็ง มีปัญหาเกี่ยวกับคอและกระดูกหลังด้วย”
แม่เจ้า!
นี่มันอะไรกันเนี่ย!
นี่ไม่ใช่ “ไล่ตามความฝัน” แล้ว แต่มันเหมือน “ไล่ไปเสี่ยงชีวิต” มากกว่า! แถมโปรโมตยังตรงไปตรงมาไม่มีการแต่งเติมเลยจริง ๆ ดารารุ่นใหญ่ก็มาแล้ว ดาราที่เป็นนักแสดงก็มีครบ แต่มีอีกเรื่องที่คนในวงการไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ เพราะเห็นใจหลี่เชี่ยนในฐานะรุ่นพี่ แต่ทุกคนรู้ความจริงข้อนี้ดี
“หลี่เชี่ยนไม่ดังแล้ว”
“เธอหมดกระแสมาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว!”
ถ้าดาราที่มาร่วมรายการ “สาวพี่ลมแรงฝ่าคลื่น” เป็นประเภทเดียวกับหลี่เชี่ยนทั้งหมด รายการนี้คงดึงดูดคนดูได้แค่จากความแปลกใหม่และความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น แล้วมันจะมีอะไรที่มากไปกว่านี้ไหม?
ผู้วางแผนรายการคนหนึ่งในวงการให้ความเห็น
“ผมพอจะเข้าใจแนวคิดของจวินหลินนะ รายการนี้เน้นความสร้างสรรค์ ดึงดูดผู้ชมด้วยคอนเซปต์ที่ให้ดาราหญิงรุ่นใหญ่มาแข่งขันเพื่อเป็นเกิร์ลกรุ๊ป มันไม่สำคัญหรอกว่าจะสนุกไหม แค่คอนเซปต์นี้ก็ทำให้พวกคุณสนใจแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“อืม... ก็จริง”
หลายคนที่ได้ยินเกี่ยวกับรายการนี้ แม้จะมีคำวิจารณ์มากมาย แต่ก็ยอมรับว่ารู้สึกสนใจและมีความคาดหวังแบบแปลก ๆ แม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่ากำลังคาดหวังอะไร ต่างจากรายการจับคู่ที่จวินหลินเคยทำก่อนหน้านี้ ที่ทำให้คนฟังแล้วหาวแทบจะทันที
“แล้วรายการนี้จะประสบความสำเร็จไหม?”
“มีโอกาสสูงเลยล่ะ ความนิยมอาจถึงระดับเดียวกับรายการ ‘ฉันรักการจำเนื้อร้อง’ เพราะรายการนี้เล่นใหญ่ด้วยการใช้จุดขายแบบจัดเต็ม แถมดาราหญิงที่อายุเกิน 30 ส่วนใหญ่ก็อยู่ในช่วงขาลงของอาชีพ บางคนพูดตรง ๆ ก็คือหมดกระแสแล้ว แต่ความทรงจำและความผูกพันที่ผู้ชมเคยมีต่อพวกเธอในอดีต อาจเป็นตัวช่วยให้รายการนี้ได้เรตติ้งไม่น้อย”
ผู้วางแผนรายการคนเดิมยังเสริมว่า
“ข้อเสียของรายการนี้ก็ชัดเจนเหมือนกัน มันเน้นดึงดูดคนด้วยจุดขายและความรู้สึกผูกพันในอดีต แต่ความทรงจำมันไม่ได้คงอยู่ตลอดไป สุดท้ายผู้ชมอาจเริ่มรู้สึกว่า รายการขาดความเป็นมืออาชีพ”
“เกิร์ลกรุ๊ปร้องเต้น?”
“นั่นมันเรื่องของคนหนุ่มสาว!”
“ถ้าจะทำรายการแบบนี้ มันต้องมีความเป็นมืออาชีพมารองรับไม่ใช่เหรอ?”
“ผมได้ยินมาว่าจ้าวหลานอิง นักร้องดังในอดีตและอีกสองสามคนที่มีเสียงร้องเป็นเลิศจะมาร่วมรายการด้วย เห็นได้ว่าจวินหลินรู้ว่าเวทีที่ขาดความเป็นมืออาชีพจะไปไม่รอด ก็เลยชวนคนที่ร้องเพลงเก่งจริง ๆ มาเสริม”
“แต่...รายการนี้ไม่ได้มีแค่ร้องเพลง มันต้องเต้นด้วย! จ้าวหลานอิงเต้นไม่เป็นเลยนะ ดังนั้นความเป็นมืออาชีพของเธอคงต้องลดลง อีกอย่างนักแสดงหลายคนก็ทั้งร้องเพลงไม่เก่งและเต้นไม่เป็น”
สรุปก็คือ
รายการนี้อาจจะดังระดับกลาง ๆ ได้!
แต่ดังระดับท็อปคงยากหน่อย!
ผู้วางแผนรายการคนนี้ไม่ได้ตั้งใจวิจารณ์จวินหลิน แต่กลับชื่นชมเขามาก เพราะการทำรายการดังระดับท็อปไม่ใช่เรื่องง่าย การคิดจุดขายที่ยอดเยี่ยมและการดึงดูดผู้ชมด้วยความผูกพันในอดีต ก็ถือว่าเป็นความสามารถที่น่าประทับใจแล้ว!
...
หลินจือไป๋ ได้ฟังความคิดเห็นบางส่วนจากเจียงเฉิง คนที่รู้จักวงในของวงการบันเทิงเกี่ยวกับรายการ “สาวพี่ลมแรงฝ่าคลื่น”
เอ่อ...
การที่รายการไม่ได้ถูกวิจารณ์ในวงกว้างว่า “ไปไม่รอด” ทำให้หลินจือไป๋รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะรายการก่อน ๆ ของเธอ มักจะถูกคนในวงการสบประมาทตั้งแต่ก่อนออกอากาศ
แต่จะบอกว่ารายการนี้จะดังได้แค่ระดับกลาง ๆ เท่านั้นน่ะเหรอ?
ไร้สาระ!
จะบอกว่ารายการนี้ขาดความเป็นมืออาชีพน่ะเหรอ?
ไร้สาระ…
เอ่อ... จริงอยู่... มันเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้เลยว่าหลายคนในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันนั้นมีปัญหาในเรื่องทักษะการร้องและเต้น บางคนถึงกับมีปัญหาร้ายแรงด้วยซ้ำ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทั้งร้องและเต้นเก่ง
แต่คนที่วิจารณ์มาผิดจุด!
เพราะจุดขายของรายการ “สาวพี่ลมแรงฝ่าคลื่น” ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นมืออาชีพ หรือจะบอกว่าความเป็นมืออาชีพนั้นไม่ใช่ประเด็นหลักเลยด้วยซ้ำ!
ถ้าอยากได้แบบมืออาชีพล้วน ๆ
ก็ไปหาคนที่อยู่ในวงการเกิร์ลกรุ๊ปมาทั้งหมดสิ ก็สิ้นเรื่อง!
ในความเป็นจริง จุดสำคัญของรายการนี้ไม่ได้อยู่แค่การสร้างกระแสหรือความรู้สึกโหยหาอดีตเท่านั้น แต่ยังเน้นที่การสร้างแรงบันดาลใจและความแตกต่างสุดขั้ว
เรื่องแรงบันดาลใจไม่ต้องพูดเยอะ เพราะการได้เห็นพี่ ๆ ดาราที่ไม่มีพื้นฐานในด้านการร้องและเต้น พยายามเรียนรู้และฝึกซ้อมอย่างหนัก มันย่อมกระตุ้นความรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งของผู้ชมได้อยู่แล้ว แค่ความดราม่าและเรื่องราวชีวิตที่น่าประทับใจก็พอแล้ว!
ส่วนความแตกต่างสุดขั้วนี่แหละที่น่าสนใจ:
มันเกี่ยวโยงกับเรื่องจิตวิทยา
เวลาผู้ชมดูการร้องและเต้นของเกิร์ลกรุ๊ปมืออาชีพ สิ่งที่พวกเขามองหาอาจจะเป็น... เอ่อ... หน้าอก ขา และ...
อะแฮ่ม!
เอาเป็นว่า ผู้ชมมักใช้มาตรฐานที่เข้มงวดมากในการประเมิน เพราะถ้าคุณเป็นมืออาชีพ คุณจะผิดพลาดไม่ได้ ทุกอย่างต้องเพอร์เฟกต์ถึงจะได้รับเสียงชื่นชมจากคนดู!
แต่ถ้าคนดูนักร้องที่กำลังเต้น... หรือดูนักแสดงที่กำลังร้องเพลง...
ขอแค่พอทำได้ดีนิดหน่อย ก็ได้รับเสียงปรบมือแล้ว เพราะผู้ชมมีมาตรฐานที่ต่ำลงสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพ
พูดง่าย ๆ ก็คือ:
ถ้าคุณมาจากสายร้องและเต้นโดยตรง คุณต้องทำได้เกิน 9 คะแนนขึ้นไปเพื่อให้ผู้ชมพอใจ แต่ถ้าคุณไม่มีพื้นฐานใด ๆ ขอแค่คุณทำได้ 5 หรือ 6 คะแนน ผู้ชมก็พร้อมจะยอมรับแล้ว!
รายการ “ฉันรักการจำเนื้อร้อง” เคยประสบความสำเร็จมาแล้วจากจุดนี้
แต่หลายคนยังนึกไม่ถึงตรงนี้ คงต้องรอจนรายการออกอากาศไปสักพักถึงจะเข้าใจ
พูดง่าย ๆ ก็คือ หลายคนยังยึดติดกับประเด็นเรื่อง “ความเป็นมืออาชีพ”
แต่ลืมไปว่าหัวใจสำคัญของรายการวาไรตี้คืออะไร
ความบันเทิง!