ตอนที่ 2 อำนาจหลวงไม่อาจยุ่ง
“ขอฝ่าบาททรงลงโทษ!”
เสียงของจ้าวเหลย องครักษ์ผู้ภักดีดังก้องอยู่ในศาลา
อ๋องเจิ้นหนาน ลู่โฉ่วอี๋ถอนหายใจ แม้จ้าวเหลยจะทำผิดพลาด แต่ต้นเหตุก็เพราะลู่เฉิน คุณชายผู้ไร้ความสามารถ หากไม่ใช่เพราะความโง่เขลาของเขาเองแล้ว เช่นนั้นจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายนี้ได้อย่างไร?
ลู่โฉ่วอี๋กำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มดังขึ้นขัดเสียก่อน
“ท่านพ่อ เรื่องนี้มิใช่ความผิดของอาเหลยแม้แต่น้อย เป็นข้าที่ผิดเอง ข้าฟังคำยุยงของเสวี่ยหยูและเฉินเฟยจึงออกไปเที่ยวหอนางโลม แถมยังกลัวว่าอาเหลยจะรายงานต่อท่านพ่อและท่านแม่ จึงแอบไล่เขาไป…เรื่องนี้เป็นข้าที่ต้องรับผิดชอบ หากท่านพ่อจะลงโทษก็ควรลงโทษข้า มิใช่อาเหลย”
ลู่โฉ่วอี๋ตะลึงเมื่อได้ยินน้ำเสียงหนักแน่นของลู่เฉิน แม้แต่จ้าวเหลยที่คุกเข่าอยู่ก็ยังแอบขยับตัวมอง เขาไม่คิดว่าลู่เฉิน คุณชายที่เคยโง่งมจะกล้าเอ่ยปากรับผิดชอบเองเช่นนี้
ที่ผ่านมา ลู่เฉินนับเป็นคุณชายสำมะเลเทเมา ไร้ความสามารถ อารมณ์ร้ายกาจ ทั้งนิสัยโดยรวมก็แย่มาก เมื่อยังไม่เกิดเรื่อง ก็เอาแต่โอ้อวดพูดจาโผงผาง แต่พอเกิดเรื่องก็มักจะหลบหน้าหรือหาข้อแก้ตัวไปเรื่อย ไม่เคยรับผิดชอบสิ่งใด
นี่เป็นครั้งแรกที่เขากล้าเอ่ยปากรับผิดชอบเองเช่นนี้
จ้าวเหลยนิ่งอึ้งครู่หนึ่งก่อนรีบกล่าว “ถึงกระนั้นข้าน้อยก็มีหน้าที่คอยคุ้มกันคุณชาย แต่กลับปกป้องไม่ได้ ขอฝ่าบาททรงลงโทษ!”
“ข้าเองที่เป็นคนผิด” ลู่เฉินยืนกราน
ลู่โฉ่วอี๋รู้สึกดีขึ้นมากที่เห็นบุตรชายกล้ารับผิดเช่นนี้ พลันสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องแย่งกันรับผิดชอบ ความผิดหลักอยู่ที่เฉินเอ๋อร์ ลงโทษกักบริเวณหกเดือน ห้ามออกจากวัง ส่วนจ้าวเหลยมีความผิดฐานคุ้มกันบกพร่อง ปรับเงินเดือนสามเดือน”
“นี่มัน…” จ้าวเหลยรู้สึกว่าโทษของตนเบาเกินได้รับ จึงอยากพูดต่อ
ลู่โฉ่วอี๋โบกมือกล่าว “เอาตามนี้”
พูดจบก็เดินไปหาลู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเป็นคุณชายสำมะเลเทเมา คิดก่อเรื่องเช่นนี้ช่างไม่รักชีวิต หากไม่เห็นว่าเจ้าถูกวางยาพิษ วันนี้พ่อคงต้องหักขาเจ้าทิ้งเสียแล้ว!”
ลู่เฉินก้มหน้าไม่พูดอะไรตอบ เจ้าของร่างเดิมช่างโง่เขลานัก นี่เป็นความผิดของเขาแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นความผิดของตนที่ไม่อาจอธิบายได้
จ้าวเหลยลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวอีกครั้ง “คุณชายยังแขนขาอ่อนแรง ท่าทีเดินลำบาก เกรงว่าจะถูกวางยาอันตรายขอรับ”
ลู่โฉ่วอี๋รับฟัง กล่าวว่า “ยื่นมือออกมา”
ลู่เฉินยื่นมือออกไปตามสั่ง ลู่โฉ่วอี๋จับชีพจรพร้อมสั่งให้ลู่เฉินแลบลิ้นออกมาสังเกต
เมื่อตรวจดูเสร็จก็ถอนหายใจ “โชคยังดี คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จ้าวเหลย เจ้าจงไปเอาผงมิ่วหมู่เหมี่ยงชีที่ร้านยามาให้เขากินซะ อีกสองสามวันก็คงหาย”
จ้าวเหลยโล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ หากลู่เฉินถูกวางยาพิษจริง ๆ เขาคงไม่อาจมองหน้าอ๋องเจิ้นหนานได้
“ขอรับ” จ้าวเหลยหันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อจ้าวเหลยจากไป ศาลาก็เงียบสงัด เหลือเพียงสองพ่อลูกตระกูลลู่
ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านพ่อ ครั้งนี้ข้าตกอยู่ในอันตรายซึ่งไม่ใช่อุบัติเหตุแน่แท้ แต่เป็นการวางแผนมาก่อนหน้า! เสวี่ยหยูและเฉินเฟยที่ยุยงให้ข้าไปหงซิ่วโหลวช่างมีพิรุธ พวกเขาต้องเป็นคนวางยาปลุกกำหนัดข้าแน่ ๆ!”
“เจ้าเริ่มรู้จักคิดแล้วหรือ” ลู่โฉ่วอี๋เย้ยหยัน “พ่อบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าคบหากับสหายพวกนั้น เจ้าเคยฟังบ้างหรือไม่? เสวี่ยผิงไห่ บิดาของเสวี่ยหยูต่างมีความแค้นต่อข้า การที่บุตรชายเขารักใคร่เจ้าเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องผิดปกติแน่นอน!”
ที่ผ่านมา ลู่เฉินช่างเป็นคนไร้ประโยชน์และเกรงกลัวบิดา ส่วนลู่โฉ่วอี๋ก็ไม่อยากต่อกรอะไรกับเขามากนัก วันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เปิดอกพูดคุยกันเช่นนี้
เมื่อลู่เฉินเห็นบิดาตนพูดตรงไปตรงมา จึงวิเคราะห์ว่า
“ท่านพ่อ ข้าคิดว่าเสวี่ยผิงไห่คงไม่กล้าทำร้ายข้าเช่นนี้ เบื้องหลัง...ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลัง หากลองคิดดูอีกครั้ง พี่น้องทั้งหกของข้าล้วนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ! ยิ่งคิดถึงเรื่องวันนี้ยิ่งน่ากลัวไปใหญ่ เกรงว่าเบื้องหลังจะมีเงื้อมมือใหญ่บงการ ข้าสงสัยว่าฮ่องเต้กำลังเกรงกลัวอำนาจท่านพ่อ…”
ลู่เฉินมาจากต่างโลก โลกเดิมของเขาไร้ซึ่งฮ่องเต้เลยไม่ค่อยหวั่นเกรงต่อความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้เท่าใดนัก จึงเอ่ยปากพูดตามใจกับบิดาไปตามความคิด
ทว่า เมื่อลู่โฉ่วอี๋ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาพลันเบิกกว้างพร้อมสีหน้าโกรธจัด
“เหลวไหล!”
ปัง! ลู่โฉ่วอี๋ตบโต๊ะ ตะโกนว่า “ใครบอกเจ้า?”
ลู่เฉินตกใจที่จู่ ๆ บิดาตนก็โกรธขึ้นกะทันหัน แต่เขาก็มานึกขึ้นได้ว่านี่คือโลกที่คล้ายกับยุคโบราณ อำนาจของฮ่องเต้ใหญ่หลวงกว่าสิ่งใด หากฮ่องเต้อยากให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย!
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพียงคำพูดลอย ๆ คอยขู่
บุตรชายหกคนของลู่โฉ่วอี๋ต่างเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ เขาจะไม่ลองคิดถึงความเป็นไปได้นี้เลยเชียวหรือ? เหตุใดเด็กหนุ่มเช่นเขาถึงต้องมาเตือนเรื่องที่เห็นได้ชัดเช่นนี้ด้วย?
เมื่อคิดได้ดังนั้น ลู่เฉินจึงก้มหน้ากล่าว
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ไปยินมาจากใครทั้งนั้น ข้าตื่นขึ้นมาท่ามกลางกองเพลิง ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นเองได้ เมื่อตำแหน่งของท่านพ่อมิมั่นคง ทายาทตระกูลลู่ก็มิอาจอยู่รอดปลอดภัย!”
ลู่โฉ่วอี๋รู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ตอนแรกเขาคิดว่ามีคนยุยงลู่เฉิน แต่ดูเหมือนว่าลู่เฉินจะคิดแบบนี้ได้เองจริง ๆ
แม้ดวงตาจะลดความเกรี้ยวโกรธ แต่ก็ยังตำหนิติสอนว่า
“ไม่ว่าเจ้าจะคิดเองหรือฟังคนอื่นยุยงมาก็ตาม พ่อไม่อนุญาตให้เจ้าพูดจาไม่ภักดีเช่นนี้! ใครในโลกจะทำร้ายข้าก็ได้ แต่ฝ่าบาทไม่! ตระกูลลู่สืบทอดจิตวิญญาณความภักดีมาช้านาน หากฝ่าบาทอยากให้ข้าตาย แค่รับสั่งเดียวก็เพียงพอ! จากนี้ไปอย่าได้ลบหลู่พระราชอำนาจอีกเด็ดขาด! ฝนตกฟ้าร้องล้วนเป็นสิ่งสวรรค์ประทาน! เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
มองลู่โฉ่วอี๋ที่แสดงความภักดี ลู่เฉินพลางคิดในใจ คนโบราณก็รู้จักแต่ความภักดีโง่งม ดูเหมือนว่าหากยังอยากมีชีวิตรอด ก็คงต้องพึ่งพาตนเองเอาเท่านั้น
“ข้าเข้าใจ ข้าผิดไปแล้ว!” ลู่เฉินก้มหน้ายอมรับผิดทันที
ในเมื่อบิดาเป็นผู้ภักดีเช่นนี้ ลู่เฉินก็ไม่อยากพูดมาก ลู่โฉ่วอี๋มีบุตรชายซึ่งตายไปหกคนยังไม่คิดก่อกบฏ แล้วจะก่อกบฏเพื่อบุตรชายไร้ประโยชน์อย่างเขาได้อย่างไร?
ลู่เฉินไม่อยากโต้แย้งกับบิดาให้สาวความยืด อย่างไรเสียเขายังมีระบบอยู่ ดังนั้นการพึ่งตัวเองคือคำตอบ!
ลู่โฉ่วอี๋เมื่อเห็นเขาก้มหน้ายอมรับผิดน้ำเสียงก็อ่อนลง เอื้อมมือตบบ่าลู่เฉินก่อนกล่าวว่า “เฉินเอ๋อร์ ครั้งก่อนสาวใช้สองคนที่ส่งไปปรนนิบัติเจ้างามนักไม่ใช่หรือ? พ่อจะจัดการเรื่องตบแต่งให้เอง ส่วนเรื่องฝ่าบาท เจ้าอย่าได้คิดถึงเรื่องนี้อีก”
ลู่เฉินรู้ว่าบิดาไม่อยากให้เขามีความคิดเป็นของตนเอง อยากให้เขากิน ดื่ม เที่ยว เล่น ใช้ชีวิตอย่างสำมะเลเทเมาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มากกว่า เพราะยิ่งไร้ประโยชน์ก็จะยิ่งปลอดภัย
“ท่านพ่อ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่าน” ลู่เฉินรู้ความคิดของบิดาจึงแสร้งทำเป็นดีใจ
ลู่โฉ่วอี๋เห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็พอใจ กล่าวว่า “เช่นนั้นพ่อจะให้คนพาเจ้ากลับไปพักผ่อน…อีกอย่าง อย่าบอกเรื่องวันนี้กับแม่เจ้าเสียเล่า เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่เปล่า ๆ”
“ขอรับ”
สักพัก สาวใช้สองคนจากเรือนคุณชาย นามว่าชุนฮวาและชิวเยว่ก็เข้ามาพยุงลู่เฉินเพื่อกลับไปยังเรือนของตน
เมื่อลู่เฉินจากไป ศาลาก็พลันตกอยู่ในความเงียบสงัด ลู่โฉ่วอี๋มองฝ่าความมืดภายนอก ทุกสิ่งนิ่งไม่ไหวติง สักพักดวงตาก็ฉายแววคมกล้า
“ฝ่าบาท หากท่านเกรงกลัวข้าถึงขั้นฆ่าบุตรข้าไปหกคนจนบัดนี้เหลือเพียงต้นอ่อนเดียวที่ข้าพยายามปลุกปั้นเขาให้กลายเป็นคนไร้ค่าแต่ท่านกลับยังเป็นกังวลอีกหรือ…ท่านไม่คิดว่าทำเกินไปหน่อยหรืออย่างไร?”
ตอนแรก เขาคิดว่าเขากำลังพูดอยู่เพียงลำพัง แต่ความมืดจากเบื้องหลังกลับปรากฏเงาคนหนึ่งเดินออกมา
เงานั้นคือบัณฑิตวัยกลางคนผู้ไว้หนวดเคราแพะ
เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณชายของท่านจะไร้ค่าได้อย่างไรกัน? ข้าคิดว่าคุณชายเจ็ดดูเหมือนจะรู้ความแล้ว ขอยินดีกับท่านอ๋องด้วย”
ลู่โฉ่วอี๋สีหน้าผ่อนคลายลงมากเมื่อคิดว่าลู่เฉินสำนึกได้ แต่ก็กลับมายิ้มอย่างขมขื่นอีกคราก่อนกล่าวว่า
“เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว! เมื่อเขาไร้ความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ต่อให้เขาเข้าใจความยากลำบากของอ๋องเจิ้นหนานแล้วจะมีประโยชน์อันใด? ข้ากลับหวังให้เขาจะโง่งมเช่นเดิมต่อไปจะดีกว่า!”