บทที่ 30 เข้าเมืองอีกครั้ง
บทที่ 30 เข้าเมืองอีกครั้ง
จี้กุนซือได้ยินหลี่เหยียนพูดแบบนั้น ก็รู้สึกดีใจ “บางทีหลังจากฟื้นตัว ก็ไม่ต้องเข้าไปในป่าลึกแล้ว หวังว่าเด็กคนนี้จะฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุดโดยเร็ว แล้วรอให้ข้าเลื่อนถึงขั้นที่สี่ ถึงตอนนั้นก็อาจไม่ต้องไปตรวจสอบสถานที่ในแผนที่แล้ว”
เช่นนี้ จี้กุนซือก็ลุกขึ้นยืน จะกลับไปพักผ่อน เขาลุกขึ้น เห็นหลี่เหยียนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “มีอะไรอีกหรือ?”
หลี่เหยียนรวบรวมความกล้า พูดว่า “อาจารย์ ศิษย์อยากเข้าเมืองขอรับ”
จี้กุนซือที่กำลังยิ้ม ก็ชะงัก แล้วก็เลิกคิ้วถามว่า “มีอะไรรึ?”
หลี่เหยียนรีบตอบ “ขออาจารย์อย่าโกรธ ศิษย์แค่อยากเข้าเมืองเอาเงินไปให้คนในหมู่บ้าน ให้พวกเขาเอาไปให้พ่อแม่ แล้วก็... แล้วก็ศิษย์อยากออกไปเดินเล่น ฝึกฝนอยู่ในหุบเขาตลอด ช่วงนี้รู้สึกว่าสภาพจิตใจไม่มั่นคง การฝึกฝนก็ช้า อยากออกไปเดินเล่น บางทีอาจจะช่วยเรื่องสภาพจิตใจได้”
จี้กุนซือฟังแล้วก็เงียบ ในใจเขา หลี่เหยียนใช้เวลาทั้งวันฝึกฝนได้ยิ่งดี ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าช้า แต่ตอนนี้ที่หลี่เหยียนพูดก็มีเหตุผล ถ้าปฏิเสธ เด็กคนนี้คงจะไม่พอใจ การฝึกฝนก็คงจะไม่ดี
ตอนนี้เขามองหลี่เหยียนที่มีสีหน้ากังวล ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “อืม ก็ได้ งั้นเจ้าไปเถอะ แต่ให้เฉินอันกับหลี่อินไปเป็นเพื่อน พวกเขารู้จักเมืองดี แล้วเจ้าก็ฝึกฝนอยู่ที่นี่ตลอด ไม่ค่อยรู้จักผู้คนและสิ่งของในเมือง มีพวกเขาไปด้วย จะได้สะดวก”
หลี่เหยียนกังวลจริง ๆ เขาไม่รู้ว่าการขอแบบนี้ ผลลัพธ์จะเป็นยังไง ถ้าอาจารย์ของเขาสงสัย ต่อไปก็คงหนีไม่ได้ พอได้ยินว่าอาจารย์อนุญาตให้ออกไป เขาก็ดีใจ แต่คำพูดต่อมาของจี้กุนซือ กลับทำให้เขาใจหาย
พอฟังจบ เขาก็เข้าใจ นี่ไม่ใช่การช่วยเหลือ แต่เป็นการส่งคนมาจับตามอง ถ้าเขาอยากหนี ก็คงยาก เฉินอันกับหลี่อินคงจะโดนกำชับว่าห้ามห่างจากเขา เพราะแท้จริงแล้วเขาอยากออกไปเดินเล่นในเมือง แล้วค่อยหาโอกาสหนี แต่ตอนนี้ความคิดนั้นช่างไร้เดียงสา
“ขอบคุณอาจารย์ขอรับ!” หลี่เหยียนดีใจ โค้งคำนับ
“อืม งั้นเจ้าไปเก็บของเถอะ ข้าจะไปบอกเฉินอันกับหลี่อิน เจ้ามีอะไรก็ให้พวกเขาจัดการ” พูดจบก็หันหลังเดินออกไป
หลี่เหยียนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันไปหยิบเงินในหีบ เขาคิดในใจ “ทำได้แค่ดูสถานการณ์ ถ้ามีโอกาสก็ต้องหนี แต่เงินพวกนี้ยังไงก็ต้องเอาไป ถ้าหนีได้ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่าย ถ้าหนีไม่ได้ ก็ให้หลี่ซานหรือหลี่อวี้ส่งต่อให้คนในหมู่บ้านเอาไปให้พ่อแม่”
พอหลี่เหยียนมาถึงปากหุบเขา เฉินอันกับหลี่อินก็ยืนรออยู่ ประตูบ้านหินของจี้กุนซือในหุบเขาปิดไปแล้ว ทั้งยังมีป้ายไม้สีดำแขวนอยู่ที่มือจับ แต่เขารู้ดี ถ้าตอนนี้หนีออกจากหุบเขา จี้กุนซือที่อยู่ในห้องจะต้องออกมาในทันทีทันใด
“คุณชาย พวกเราจะเข้าเมืองกันเลยไหมขอรับ?”
หลี่เหยียนที่กำลังครุ่นคิด ก็ถูกขัดจังหวะ เงยหน้ามองเฉินอันที่กำลังยิ้ม ก็อดถอนหายใจไม่ได้ คนสองคนนี้ คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนก็เคร่งครัด จะหนีจากสายตาพวกเขาได้ยังไง
“ไปกันเถอะ!” พูดจบเขาจึงเดินไปที่ลานกว้างนอกหุบเขา
“คุณชาย พวกเราจะขี่ม้าหรือเดินไปขอรับ?” เฉินอันวิ่งตามมาถาม
หลี่เหยียนหยุดเดิน หันกลับไป “อ้อ ขี่ม้าได้ด้วยหรือ แล้วทำไมอาจารย์ถึงเดิน?”
“ได้สิขอรับ ใต้เท้าแค่ชอบเดิน ระยะทางแค่สองลี้ ก็ไม่ได้ไกลมาก” เฉินอันตอบ
“ดี งั้นพวกเราขี่ม้าไปกันเถอะ” หลี่เหยียนคิดครู่หนึ่งก็พูด
“ขอรับ คุณชาย” ทั้งสองโค้งคำนับตอบ
หลี่เหยียนยืนอยู่บนลานกว้างนอกหุบเขา สายตามองไปที่ปากหุบเขา “จวนกุนซือ” ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกลับมาสู่โลกมนุษย์ ถึงแม้ลานกว้างนี้ก็ยังเป็นลานกว้าง บ้านหินสองแถวก็ยังเหมือนเดิม ตอนนี้ก็ยังมีทหารที่ยืนเฝ้า พักผ่อน แล้วยังมีหญิงสาวที่เข้าไปในหุบเขาได้ทุกวัน แต่กลับเหมือนเป็นโลกสองใบ บรรยากาศสองแบบ ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่า หลังจากออกจากหุบเขา พลังปราณธรรมชาติแทบจะไม่มี ความรู้สึกสดชื่นที่ได้หายใจจึงเลือนหาย แต่เขาก็ยังชอบบรรยากาศที่นี่ เพราะที่นี่มีกลิ่นอายของอิสรภาพ
ทหารหน้าบ้านหินมองหลี่เหยียนที่ยืนอยู่กลางลาน ถึงแม้จะเป็นครั้งที่สามที่พวกเขาเจอหลี่เหยียน แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าหลี่เหยียนดูลึกลับ
ตอนนี้เฉินอันกับหลี่อินจูงม้าสามตัวออกมาจากป่าหลังบ้านหิน แต่ละตัวต่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ดูก็รู้ว่าเป็นม้าดีในกองทัพ
บนทางลงเขาที่คดเคี้ยว มีต้นไม้เขียวชอุ่มขนาบสองข้าง ตอนนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง เต็มไปด้วยสีเขียวเข้มกับสีเหลืองทอง แสงแดดส่องลงมาจากยอดไม้สูงใหญ่ ส่องไปที่คนขี่ม้าสามคนที่กำลังเดินช้า ๆ “ต๊อกแต๊ก...ต๊อกแต๊ก” เสียงกีบม้าดังก้องไปทั่วภูเขา
ถึงแม้จะอยู่ในหุบเขาแค่สองเดือน แต่ความคิดก็เปลี่ยนไปมากมาย มองโลกภายนอกเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ ส่วนจะบินได้อย่างอิสระหรือไม่นั้น ยังไม่รู้
ไม่นานก็ผ่านทางในป่า เลี้ยวขวาก็มาถึงถนน
ทั้งสามขี่ม้าไปที่ประตูทิศเหนือของด่านขุนเขามรกต ระหว่างทาง หลี่เหยียนจงใจขี่เร็วบ้าง ช้าบ้าง เพื่อทิ้งระยะห่างจากเฉินอันกับหลี่อิน แต่ด้วยทักษะการขี่ม้าแบบงู ๆ ปลา ๆ ที่เขาเรียนมาจากในหมู่บ้าน ไม่ว่ายังไงก็ทิ้งพวกเขาไม่ได้ ส่วนคนสองคนที่ติดตาม ดูก็รู้ว่าเป็นทหารเก่งในกองทัพ
ถึงแม้ตอนนี้หลี่เหยียนจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งแล้ว แต่เขายังไม่ได้เรียนเคล็ดวิชาเซียน แม้แต่วิทยายุทธ์ ก็เป็นแค่ทักษะพื้น ๆ ในหมู่บ้าน ถึงแม้เขารู้สึกว่าการใช้พลังปราณควบคุมวิทยายุทธ์พื้น ๆ อาจจะฆ่าคนสองคนนี้ได้ แต่ตอนนี้ หนึ่งเพราะเป็นกลางวันแสก ๆ การสู้กับทหารของราชวงศ์สองคนที่นี่ นอกจากจะมีทหารมาเพิ่ม ก็คงไม่มีผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอัน
สอง เขาก็แค่คิดว่าพลังปราณอาจจะทำให้วิทยายุทธ์พื้น ๆ แข็งแกร่งขึ้น ในหุบเขา เขาไม่เคยลองฝึก แต่ถ้าจี้กุนซือรู้ว่าเขามัวแต่ฝึกวิทยายุทธ์ของคนธรรมดา ก็คงจะระแวง สาม คนสองคนนี้ดูก็รู้ว่าเป็นทหารที่ผ่านสนามรบมาแล้ว ถ้าหากเขาต้องสู้กับคนแบบนี้ แค่คนเดียวเขาก็ไม่มั่นใจ หากต้องสู้กับสองคนพร้อมกัน โอกาสชนะก็น้อยจนแทบไม่มี
หลังจากแอบสังเกตการณ์หลายครั้ง หลี่เหยียนก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะหนีตั้งแต่นอกเมือง
ระยะทางประมาณสองลี้ ขี่ม้าครู่เดียวก็ถึง ระหว่างทางยังแซงหน้าคนเดินเท้าและพ่อค้าที่กำลังมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง ไม่นานก็เห็นประตูเมืองเหนือ ตอนนี้มีทหารสองแถว กำลังตรวจพ่อค้าและคนเดินเท้าที่เข้าออกด่านขุนเขามรกต
ม้าสามตัวของพวกเขาถึงแม้จะไม่ได้วิ่งเร็ว แต่ก็เร็วพอสมควร และยังค่อนข้างสะดุดตา มีทหารเฝ้าประตูถืออาวุธ มองมาทางพวกเขา
หลี่เหยียนไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาถูกเฉินอันกับหลี่อินขนาบข้าง ทำให้เขาต้องขี่เร็วขึ้น และด้วยนิสัยเขา ยิ่งไม่โดดเด่นยิ่งดี เขาเริ่มดึงบังเหียนชะลอความเร็ว แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังขี่มาถึงหน้าประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
“ใครกัน? ขี่ม้าเร็วแบบนี้ ไม่กลัวผิดกฎหมายทหารหรือไง?” ในบรรดาทหารเฝ้าประตู มีคนหนึ่งชักดาบออกมา กระโดดมาขวางหน้า ทหารที่อยู่ข้างหลังยังใช้ทวน ปลายทวนหลายเล่มเล็งไปที่คอม้าและท้องม้า
หลี่เหยียนเห็นแสงแวววาว ถ้าม้าของเขายังวิ่งต่อไปอีกสองก้าว ก็คงจะโดนทวนแทงคอ แล้วยังเสียบเผื่อมาถึงตัวเขาเหมือนลูกชิ้นปิ้ง แต่ตอนนี้ที่มีมือยื่นมาดึงบังเหียนม้าของหลี่เหยียน ม้ายกขาหน้า ร้องส่งเสียง สุดท้ายจึงถอยหลังไปหลายก้าว
“ข้าว่าท่านใจร้อนไปหน่อยนะ ฮ่า ๆ” เฉินอันหัวเราะพลางลงจากม้า หลี่เหยียนถึงได้เห็น หลี่อินดึงบังเหียนม้าของเขากับม้าของตัวเอง ทำให้ม้าสองตัวหยุดพร้อมกัน
“อ้อ ที่แท้ก็เป็น ‘ท่านเฉิน’ ที่ได้ ‘เลื่อน’ ตำแหน่งไปจวนกุนซือ เจ้าจะฝ่าประตูเมืองหรือไง” คนที่กระโดดออกมาเมื่อกี้พูด
“เหล่าหลิวนี่เอง จากตำแหน่งหัวหน้ากองของข้ากลายเป็นแค่ทหารในจวนแล้วก็จริง แต่ท่านยังจะมาพูดล้อเลียนข้าอีกหรือ ส่วนตอนข้าจะพาใต้เท้าหลี่เข้าเมือง ใต้เท้าหลี่ควบคุมความเร็วไม่ได้ ขออภัย ขออภัย ฮ่า ๆ”
“ใต้เท้าหลี่? ใต้เท้าหลี่ไหน เอ๊ะ...”
ตอนนี้หลี่เหยียนลงจากม้าแล้ว เขารู้สึกละอายใจ ทักษะการขี่ม้าของเขาช่างดูไม่ได้ ถึงขั้นเกือบจะฝ่าประตูเมือง เขาวางบังเหียน มองทหารที่ยืนขวางทาง ขณะกำลังจะขอโทษ แต่พอเห็นหน้าอีกฝ่าย ก็อึ้งไป
ทหารเฝ้าประตูคนนั้น เป็นหลิวเฉิงหย่งที่เขาเจอตอนเข้าเมืองครั้งแรก หลิวเฉิงหย่งก็จำเขาได้ แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะเจอกันแค่ครั้งเดียว
“นี่ นี่คือป้ายของใต้เท้าหลี่” เฉินอันจูงม้าพลางหยิบป้ายออกมาจากตัว และโยนไปให้
หลิวเฉิงหย่งรับป้ายมา ก้มลงดู เป็นป้ายของทหารชั้นรองปราบศัตรู ตำแหน่งนี้สูงกว่าตำแหน่งขุนนางรองระดับเก้าขั้นบนของเขา เป็นเหตุให้ตกใจ ก่อนจะรีบเงยหน้ามองหลี่เหยียนที่ทำหน้าสำนึกผิด
หลี่เหยียนเห็นหลิวเฉิงหย่งมองมา ก็รีบคำนับ “สวัสดีท่านหลิว เมื่อกี้เป็นข้าขี่ม้าไม่เก่ง ทำให้ทุกท่านตกใจ ต้องขอโทษด้วยขอรับ”
“เจ้าคือ? เจ้าคือเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านหลี่ ภูเขามหามรกต?” พูดจบ หลิวเฉิงหย่งจึงรู้ตัวว่าเสียมารยาทและทำเรื่องผิดพลาด เขารีบคำนับ “ข้าน้อยเสียมารยาท ข้าน้อยผิดไป ขอท่านลงโทษ”
หลี่เหยียนถึงกับงง แล้วก็มองเฉินอันกับหลี่อิน หลี่อินจูงม้าสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา เฉินอันมองหลิวเฉิงหย่งที่กำลังรอรับโทษด้วยความประหลาดใจ แล้วก็เดินเข้ามาคำนับ “คุณชาย ขอท่านอภัยให้เขาที่พูดผิด ไม่ทราบว่าเมื่อก่อนท่านทั้งสองเคยเจอกันหรือไม่ขอรับ?”
“เคยเจอสิ ตอนที่ข้ามาที่ด่านขุนเขามรกตเพื่อสมัครเป็นทหารครั้งแรก หัวหน้าหลิวเป็นคนตรวจสอบ แต่ทำไมหัวหน้าหลิวถึง...”
เฉินอันผ่านโลกมามาก คิดครู่หนึ่งก็เข้าใจความสงสัยของหลี่เหยียน จึงเดินมาข้างหลี่เหยียนและพูดเบา ๆ ว่า “คุณชาย ตอนนี้ท่านเป็นถึงทหารชั้นรองปราบศัตรู เป็นหัวหน้าของหัวหน้าหลิว ป้ายเมื่อกี้เป็นของท่าน แต่พอจัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จ ท่านก็ไม่ค่อยได้ออกมา ก็เลยอยู่กับใต้เท้าจี้มาตลอด
วันนี้ตอนที่ออกจากบ้าน ใต้เท้าจี้เพิ่งจะให้ป้ายแก่ข้าน้อยมา เพื่อให้สะดวกในการทำธุระในเมือง เมื่อกี้หัวหน้าหลิวพูดผิด ก็เลย...” เฉินอันมองหลี่เหยียนด้วยสีหน้าลำบากใจ เพราะช่วงนี้เขาโดนคุณชายคนนี้ใช้อารมณ์ใส่บ่อย ๆ ใครจะรู้ว่าวันนี้จะระเบิดอารมณ์หรือเปล่า เลยอดเป็นห่วงหลิวเฉิงหย่งไม่ได้
ทหารยี่สิบคนที่ทำงานในจวนกุนซือต่างก็ถูกคัดเลือกมาจากกองทัพ เมื่อก่อนเขาเคยอยู่ในกองร้อยปิง กองที่สอง ก็เลยรู้จักหลิวเฉิงหย่ง และเคยร่วมมือกันในสนามรบหลายครั้ง ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน แค่ตอนนี้หลิวเฉิงหย่งจงรักภักดีต่อแม่ทัพหง ส่วนเขานั้นจงรักภักดีต่อจี้กุนซือ
หลี่เหยียนฟังจบก็เข้าใจ ถึงแม้เขารู้ว่าตัวเองมีตำแหน่งในกองทัพ แต่ไม่รู้ว่าทำอะไรได้ และตำแหน่งใหญ่แค่ไหน ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะสูงกว่าหัวหน้าทหารเฝ้าประตูเมือง ขณะที่เขาไม่รู้เลยว่าตำแหน่งนี้ไม่ได้สูงกว่าหลิวเฉิงหย่งแค่นิดเดียว แต่สูงกว่าสองถึงสามขั้น
ตอนนั้นที่แม่ทัพหงให้ตำแหน่งนี้เขา ก็แค่แจ้งชื่อตำแหน่ง และทราบรู้ว่าต่อไปเขาจะไปอีกเส้นทางจึงแค่ทำตามน้ำเห็นแก่หน้าจี้กุนซือ ส่วนจี้กุนซือก็มีแผนของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งขุนนางรองระดับแปดขั้นล่าง ถึงแม้จะให้ตำแหน่งกุนซือแก่หลี่เหยียน ถ้าหงหลินอิงทำให้ได้ เขาก็ไม่มีปัญหาหรือติดใจ แต่หลี่เหยียนจะอยู่ถึงวันนั้นไหมก็อีกเรื่อง