ตอนที่แล้วบทที่ 28 โอกาสให้หลบหนี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30 เข้าเมืองอีกครั้ง

บทที่ 29 โอกาสอันแสนสั้น


บทที่ 29 โอกาสอันแสนสั้น

หลี่เหยียนเดินกลับเข้าไปในหุบเขาพลางคิด ว่าเหมือนเขาจะพลาดโอกาสทองในการหนี ทำไมเขาถึงไม่รอบคอบ ทั้งที่รู้สถานการณ์ตัวเองก็ยังประมาท ตอนนี้ชีวิตเขามีภัยตลอดเวลา ใครจะรู้ว่าจี้กุนซือจะควบคุมพิษไฟไม่อยู่เมื่อไหร่ และจะฆ่าเขาก่อนเวลาหรือไม่

“ไม่ได้ ในเมื่อมีโอกาส จะลังเลไม่ได้ ต้องรีบไป ห้ามรอ ไม่งั้นต้องเสียใจแน่ ๆ” คิดได้แบบนั้น เขาก็รีบกลับไปที่ห้อง แต่ห้องก็ไม่มีอะไรให้เก็บ เสื้อผ้ากับเบี้ยหวัดสองเดือนก็อยู่ในกล่องหวายสีน้ำตาลบนโต๊ะ แค่เก็บของง่าย ๆ ก็พอ แต่ถ้าสะพายกระเป๋าก็จะดูน่าสงสัย เอาเงินหลายสิบตำลึงใส่ไว้ในอกจึงดีกว่า จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจ

จริง ๆ แล้วถึงแม้สองเดือนมานี้จะไม่ได้ออกจากหุบเขา แต่เบี้ยหวัดหลายสิบตำลึงของตำแหน่งทหารชั้นรองปราบศัตรู เฉินอันก็เอามาให้ทุกเดือน ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ หากตอนนี้ออกไป ก็ถือเป็นค่าเดินทาง ไม่งั้นคงลำบาก

เมื่อตัดสินใจแล้ว เขาจึงนั่งขัดสมาธิในห้อง พักผ่อน รออีกครู่หนึ่งจึงออกจากหุบเขา ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่า ถึงแม้จี้กุนซือจะไม่อยู่ในหุบเขา แต่หากคิดจะออกไป มันก็ต้องใช้ความพยายาม เพราะหากเฉินอันกับหลี่อินไม่ได้รับคำสั่ง คงไม่ยอมให้เขาออกไปง่าย ๆ

ช่วงนี้เขาฝึก “คัมภีร์วารี” เหมือนมีสวรรค์ช่วย ไม่เสียแรงที่เป็นเคล็ดวิชาเซียนโบราณในโลกเซียนวิญญาณ แล้วยังเป็นเคล็ดวิชาที่เหมาะกับร่างกายของเขา แค่สิบกว่าวันนี้ เขาก็รู้สึกว่าพลังปราณธาตุน้ำเพิ่มขึ้นเร็วมาก แม้ตอนนี้เขายังมองเห็นภายในร่างกายไม่ได้ แต่รู้สึกได้ ว่าโอ่งพลังปราณธาตุน้ำ แค่สิบกว่าวันก็มีพลังปราณประมาณหนึ่งในห้าแล้ว ร่างกายก็ไวขึ้น พละกำลังก็มากขึ้น

ความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้นับว่าน่ากลัว หลี่เหยียนคิดว่าถ้าฝึกฝนด้วยความเร็วแบบนี้ ไม่ถึงหนึ่งปี เขาก็น่าจะฝึกจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุดได้ และที่เขาคิดแบบนี้ก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด การฝึกฝนไม่มีทางลัด ที่ตอนนี้เขาฝึกฝนได้เร็ว หนึ่งเป็นเพราะเคล็ดวิชานี้สร้างขึ้นมาเพื่อร่างกายในแบบของตัวเขา จึงเหมือนปลาได้น้ำ ยิ่งช่วงแรกที่ไม่มีอะไรเลย ก็จะเพิ่มขึ้นเร็วมาก สอง ตอนนี้โอ่งพลังปราณในร่างกายของเขาเล็กมาก จึงรู้สึกว่าพลังปราณเพิ่มขึ้นเร็ว สาม เขายังไม่รู้ว่าการฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหรือวิธีการ ยิ่งขั้นสูง มันก็ยิ่งช้า

ขณะกำลังพักผ่อน เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกพลางคิดในใจ ‘อาหารกลางวันมาแล้ว กินมื้อนี้เสร็จ ไม่รู้ว่าจะได้กินมื้อต่อไปเมื่อไหร่ กินให้อิ่มก่อน จะได้มีแรงหนี’ พูดจบก็ลุกขึ้นยืน เดินไปที่ประตู

“หลี่เหยียน ได้ยินว่าเจ้าหาข้า?” ตอนที่หลี่เหยียนเดินไปถึงข้างประตู มือเพิ่งจะจับลูกบิด ก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น เสียงนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า ชะงัก และมึนงง หากเสียงนี้ไม่ใช่จี้กุนซือแล้วจะเป็นใครได้ มันทำเอาเขารู้สึกเหมือนตกลงไปในหุบเหวลึก

โชคดีที่เขายังมีสติ ตอนนี้ตั้งสติ แล้วค่อยเปิดประตูด้วยสีหน้ามึนงง เขารู้ว่าจิตสำนึกของอาจารย์แผ่ออกไปได้ แต่เมื่อกี้เหมือนจะไม่รู้สึกถึงจิตสำนึก คาดว่าอาจารย์คงไม่ได้ใช้จิตสำนึก

“เอ๊ะ อาจารย์ ท่านกลับมาแล้ว!” พอเปิดประตู พบเห็นหน้าจี้กุนซือ หลี่เหยียนก็ตกใจ แล้วค่อยดีใจ

“อ้อ อาจารย์มีธุระด่วน ออกไปข้างนอกเพิ่งกลับมา ได้ยินเฉินอันบอกว่าเจ้าหาข้า ก็เลยมาดู”

“ท่านมาได้ประจวบเหมาะ ศิษย์มีปัญหาอยากสอบถามขอรับ!”

ตอนนี้สีหน้าของจี้กุนซือไม่ค่อยดี เสื้อผ้าขาดหลายแห่ง มีรอยเลือด ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้ว ก็ยิ่งมีสีดำ

วันนั้น ภายหลังแยกกับหลี่เหยียน จี้กุนซือก็ตัดสินใจ เพื่อไปที่ที่ระบุในแผนที่ ไปดูให้รู้ เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าควบคุมพิษไฟไม่อยู่แล้ว ครั้งนี้แค่ระวังไม่สู้กับใคร พลังปราณที่ใช้ระหว่างทางถือว่ายังพอรับได้ ยามตัดสินใจแล้ว เขาก็ออกจากหุบเขา และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

แต่ฟ้าลิขิต คนเราคิดไม่ถึง หลี่เหยียนโชคร้าย เพราะแท้จริงแล้วการเดินทางของจี้กุนซือครั้งนี้ ไปกลับนั้นเกือบสามหมื่นลี้ รวมกับเวลาที่เขาใช้ตามหาสมบัติ อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งถึงสองเดือน แต่พอจี้กุนซือเข้าไปในภูเขามหามรกตหลายพันลี้ ก็ดันไปเจอสัตว์อสูรระดับกลางขั้นที่หนึ่ง จริง ๆ แล้วเส้นทางที่เขาไป มันเป็นเส้นทางที่เขาเคยสำรวจ สัตว์อสูรระดับนี้ อย่างน้อยก็ต้องเข้าไปเป็นหมื่นลี้ถึงจะเจอ ถึงตอนนั้นเขาจะค่อย ๆ เดินทาง และพยายามหลบสิ่งที่เขาสู้ไม่ได้

วิธีพรางตัวแบบนี้ ในพรรคแสวงหาเซียนที่สืบทอดมายาวนาน มันมีอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลิ่นสมุนไพรพรางตัว หรือการใช้ภูมิประเทศของภูเขาแม่น้ำเพื่อพรางตัว ถ้าเขาใช้วิธีพวกนี้ แค่ไม่เข้าไปลึกในภูเขามหามรกตจนเกินไป ก็สามารถหลบสัตว์อสูรส่วนใหญ่ได้ ไม่งั้นถ้าพวกเขาไม่มีวิธีการจากพรรคแสวงหาเซียน เช่นนั้นจะไปตามหาเซียนในป่าลึกได้ยังไง หากไม่คงจะสูญพันธุ์กันไปนานแล้ว

แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตีนของสัตว์อสูรตัวนี้เจ็บ เหมือนไปสู้กับคนหรือสัตว์มา แล้วดันบังเอิญมาอยู่ที่นี่ จนกระทั่งมาเจอกับจี้กุนซือ ตอนนั้นจี้กุนซือไม่ทันระวังตัว จึงพรางตัวไม่ทัน

สัตว์อสูรระดับกลางขั้นที่หนึ่ง มันเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สี่หรือไม่ก็ห้า พอสัตว์อสูรที่บาดเจ็บตัวนี้เห็นว่าเป็นมนุษย์ ทั้งยังดูออกจากลมปราณของจี้กุนซือว่าไม่ใช่คู่มือ มันจึงพุ่งเข้ามาหาจี้กุนซือ

จี้กุนซือที่บรรลุแค่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สามหรือจะไปสู้ได้ แต่โชคดีที่ตีนของสัตว์อสูรตัวนี้ยังไม่หายดี มันเคลื่อนไหวไม่สะดวก จี้กุนซือเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหนี แต่สัตว์อสูรตัวนี้ยังโกรธอยู่ ตอนนี้เจอคนที่ระบายอารมณ์ได้ มันเลยไม่ยอมปล่อยและวิ่งตามเขา สุดท้ายเลยวิ่งไล่กันไปที่ชายป่าของภูเขามหามรกต ระหว่างทางยังมีหลายครั้งที่สัตว์อสูรตัวนี้ใช้ระดับที่สูงกว่า ตามเขาจนเกือบจะทัน จี้กุนซือต้องใช้พลังทั้งหมด ทั้งเคล็ดวิชาเซียนและวิทยายุทธ์ จึงหนีมาถึงชายป่าภูเขามหามรกตได้

สัตว์อสูรกับภูตผีในภูเขามหามรกต ส่วนใหญ่จะไม่ออกมาจากภูเขา มีบันทึกว่า เมื่อหลายล้านปีก่อน มีสัตว์อสูรกับภูตผีออกมาจากภูเขามหามรกตหลายครั้ง สร้างความเดือดร้อนให้มนุษย์ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต่อมามีผู้บำเพ็ญเซียนที่แข็งแกร่งเข้าร่วมจนเกิดการต่อสู้ปะทะ ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตาย

แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นทองคำกับสัตว์อสูรขั้นที่สามอย่างราชาภูตผียังเข้าร่วม สุดท้ายพอมีบรรพชนขอบเขตปฐมวิญญาณในโลกมนุษย์ปรากฏตัว สถานการณ์จึงพลิกผัน พวกเขาตกลงกับสัตว์อสูรขั้นที่สี่อย่างจักรพรรดิภูตผี แต่คนทั่วไปกับผู้ฝึกตนระดับต่ำ ไม่รู้ว่าตกลงอะไรกัน แต่หลังจากนั้น สัตว์อสูรกับภูตผีก็กลับเข้าไปในป่าลึกของภูเขามหามรกต ไม่ค่อยออกมาในโลกมนุษย์อีก

ดังนั้นพอจี้กุนซือหนีมาถึงชายป่าภูเขามหามรกต สัตว์อสูรตัวนั้นก็ไม่กล้าออกมาราวกับมีข้อห้าม สุดท้ายได้แต่คำรามใส่เขา แล้วก็กลับเข้าไปในภูเขามหามรกต

จี้กุนซือจึงโล่งใจ แต่ก็โกรธมากเช่นกัน ครั้งนี้เขาไม่เพียงแต่หาเคล็ดวิชาลับไม่เจอ แต่ยังเกือบตาย สุดท้ายถึงแม้จะรอดมาได้ แต่ก็ใช้พลังปราณไปมาก ทำให้เขาแทบจะควบคุมพิษไฟไม่อยู่ พลังปราณเกือบจะปั่นป่วน ผ่านเรื่องนี้มา เขาคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว แค่จะทำให้พลังปราณในร่างกายสงบ ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน

เขาก็เลยต้องกลับไปที่จวนกุนซือ และต้องสงบสติอารมณ์หลายเดือนเพื่อสะกดพิษไฟ แล้วค่อยดูว่าจะทำยังไงต่อ ถ้าฟื้นตัวได้ดี แล้วหลี่เหยียนยังฝึกไม่ถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุด เขาก็จะเข้าไปในภูเขามหามรกตอีกครั้ง เพราะเขาไม่เชื่อว่าจะโชคร้ายแบบนี้ไปตลอด แล้วครั้งหน้าที่เข้าไป เขาจะระวังตัวให้มากขึ้น ไม่ใช่ประมาทแบบครั้งนี้

ขณะเขากลับมาที่จวนกุนซือ พอถึงหน้าหุบเขา เฉินอันกับหลี่อินเห็นจึงรีบเข้ามาคำนับ เพราะพวกเขาเห็นว่าสีหน้าของจี้กุนซือย่ำแย่ เสื้อผ้าก็ขาด ทั้งยังมีรอยเลือด แต่ก็ไม่กล้าถาม สุดท้ายคิดในใจ ‘ใต้เท้าคงจะไปสืบความลับของแคว้นเหมิงอีกแล้ว แต่ทำไมครั้งนี้ถึงเป็นแบบนี้ หรือว่าในแคว้นเหมิง ก็มียอดฝีมือเหมือนใต้เท้า?’ คำพูดพวกนี้พวกเขาแค่คิดในใจ ไม่กล้าถามออกมา แล้วพวกเขาจึงบอกว่าหลี่เหยียนกำลังตามหา จี้กุนซือพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงถามถึงหลี่เหยียน

เฉินอันตอบอย่างระมัดระวัง “ช่วงนี้ อารมณ์ของคุณชายไม่ค่อยคงที่ขอรับ”

จี้กุนซือได้ยินจึงพยักหน้า เพราะเรื่องนี้เขารู้

“แล้วก็ ช่วงนี้คุณชายอยากได้พู่กัน หมึก กระดาษ และหินฝนหมึกไปคัดบทกวีอะไรพวกนี้ ดูแปลก ๆ ข้าน้อยเก็บกระดาษที่คัดไว้แล้ว ไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงดีขอรับ” เฉินอันพูดเบา ๆ

“อ้อ งั้นเจ้าเอาพวกนั้นมาให้ข้าดูหน่อย” จี้กุนซือแค่ได้ยิน ก็เดาออกแล้ว

เฉินอันกับหลี่อินรีบยกกล่องใบใหญ่สองใบมา พอเปิดออก จี้กุนซือก็หยิบมาดู พบว่าเป็นแค่บทกลอน รวมถึงบทความโบราณ ที่เขาเคยวางไว้บนชั้นหนังสือ ตัวหนังสือบนกระดาษดูไม่เป็นระเบียบ ดูก็รู้ว่าคัดมาแบบมั่ว ๆ และลายมือนี้ดูไม่ได้จริง ๆ

จี้กุนซือดูไปสิบกว่าแผ่น สุดท้ายวางกระดาษพวกนี้ลงในกล่อง พูดกับเฉินอันและหลี่อิน ว่า “พวกนี้ไม่มีประโยชน์ หลี่เหยียนแค่เขียนเล่น ต่อไปเจออะไรแบบนี้ ก็เอาไปที่ครัวเพื่อใช้เป็นฟืน” เขารู้ว่านี่เป็นแค่การที่หลี่เหยียนมีไฟโทสะ ไม่มีที่ระบาย จึงหาวิธีนี้มาสงบสติอารมณ์ เมื่อก่อนเขาก็เคยใช้วิธีแบบนี้ อย่างเช่น เล่นกู่ฉินหรือเป่าขลุ่ย

พูดจบจึงเดินเข้าไปในหุบเขา เขาไม่ได้กลับห้อง แต่ตรงไปที่ห้องของหลี่เหยียน เพราะเขาจะถามเรื่องของหลี่เหยียนให้ชัดเจน หลังจากนั้นค่อยเก็บตัวพักผ่อน ถ้าไม่มีธุระสำคัญ ก็จะไม่เจอใคร

เขามาถึงหน้าห้องของหลี่เหยียน และไม่ได้ใช้จิตสำนึกดูว่าหลี่เหยียนกำลังฝึกฝนอยู่หรือเปล่า ส่วนใหญ่เป็นเพราะครั้งนี้เขาบาดเจ็บหนัก พลังปราณหายไปเยอะ การใช้จิตสำนึกก็ต้องใช้พลังปราณ ตอนนี้ประหยัดได้ก็ประหยัด จึงถามออกไป

หลี่เหยียนเห็นจี้กุนซือที่หน้าซีด เสื้อผ้าขาดวิ่น ก็รู้ว่าโอกาสหายไปแล้ว ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจ เพราะด้วยสภาพของจี้กุนซือตอนนี้ อย่างน้อยก็คงไม่ออกจากจวนกุนซือในเร็ว ๆ นี้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็หนีไปง่าย ๆ ไม่ได้

“อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไปขอรับ?” หลี่เหยียนถามด้วยความเป็นห่วง ที่เขาถาม ส่วนหนึ่งก็แกล้งทำเป็นห่วง อีกส่วนก็อยากรู้ว่าสิบกว่าวันนี้จี้กุนซือไปไหนมา

จี้กุนซือฝืนยิ้ม “อาจารย์มีธุระ ออกไปข้างนอกมา ดันไปเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ก็ฆ่ามันได้แล้ว อาจารย์บาดเจ็บนิดหน่อย พักผ่อนสักพักก็หายแล้ว” จี้กุนซือพูดความจริงผสมคำโกหก

หลี่เหยียนฟังแล้วก็คิดในใจ ‘น่าเสียดาย คนที่ทำให้อาจารย์บาดเจ็บได้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ถ้าฆ่าอาจารย์ได้คงดี น่าเสียดาย ข้าพลาดโอกาสทองในการหนีจริง ๆ’

“อ้อ ข้ามาหาอาจารย์ แค่มีปัญหาด้านการฝึกฝนอยากถาม แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ งั้นศิษย์ไม่รบกวนเวลาอาจารย์พักผ่อนแล้วขอรับ” หลี่เหยียนโค้งคำนับ

“อย่างนั้นเหรอ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ มา ๆ ว่ามาสิว่ามีเรื่องอะไร” จี้กุนซือได้ยินว่าเป็นเรื่องการฝึกฝนของหลี่เหยียน เขาไม่กล้าชะล่าใจ

หลี่เหยียนได้ยินจึงหลบทาง จี้กุนซือเข้ามาในห้อง หาเก้าอี้นั่ง หลี่เหยียนยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วก็เริ่มนึกถึงวิธีฝึกฝน “วิชาเงาพฤกษา” ขั้นที่หนึ่ง สุดท้ายถามไปห้าหกข้อ คำถามที่เขาถาม มันจะง่ายเกินไปไม่ได้ ไม่งั้นที่ฝึกฝนมาสิบกว่าวันจะเสียเปล่า

จี้กุนซือฟังจบก็พยักหน้า คำถามพวกนี้เป็นปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นตอนฝึกฝน ไม่ช้าจึงเริ่มตอบทีละข้อ หลี่เหยียนตั้งใจฟัง บางครั้งก็ถาม ทำให้จี้กุนซือยิ่งพอใจ แม้แต่อาการบาดเจ็บก็เหมือนจะดีขึ้น

ผ่านไปหนึ่งเค่อ หลี่เหยียนแสดงออกว่าเข้าใจ ก่อนโค้งคำนับอีกครั้ง จี้กุนซือจึงพยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ “เจ้าจงตั้งใจฝึกฝน อาจารย์หวังว่าจะได้เห็นเจ้าฝึกฝนจนถึงขั้นที่สอง แบบนี้ถึงแม้ว่าอาจารย์จะตาย เจ้าก็จะมีชีวิตรอดในโลกนี้ได้” พูดไปพูดมา เขาก็มีแววตาเศร้า

สีหน้าของหลี่เหยียนเปลี่ยนไป แล้วรีบพูดว่า “อาจารย์ ด้วยพลังของท่าน แค่พักผ่อนสักพักก็ไม่เป็นไรแล้ว ศิษย์จะตั้งใจฝึกฝน เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านขอรับ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด