บทที่ 5 : จางอี้อี้
หลังพูดจบ อาจารย์หยวนหน้าหล่อก็เดินออกไป เหล่าหนุ่มสาวในห้องเริ่มคึกคักขึ้นทันที
แม้เด็กคนอื่นๆ ในห้องจะถูกเขาพูดจนฝันเฟื่องราวกับจะก้าวกระโดดไปสู่ดวงดาว แต่เฉินนั่วกลับรู้สึกว่าคำพูดของอาจารย์หยวนฟังดูเกินจริงไปมาก
ด้วยนิสัยช่างสงสัยของเขา ตอนนี้เขาคิดว่าคอร์สติวนี้น่าจะมีปัญหาแปดเก้าส่วน
กำลังครุ่นคิดอยู่ เสียงผู้หญิงก็ดังขึ้นทำลายความคิด "สวัสดี รู้จักกันหน่อยไหม?"
เฉินนั่วเงยหน้าขึ้น เห็นสาวสวยแต่งตัวเซ็กซี่ยืนอยู่ข้างๆ
เธอใส่เสื้อสายเดี่ยวสีดำรัดรูป โชว์ให้เห็นเรือนร่างชัดเจน เนื้อผ้ารัดรูปขับให้เอวบางและหน้าอกอิ่มเด่นชัด กางเกงขาสั้นจู๋เผยให้เห็นขายาวเรียว ผิวขาวจนแทบสะท้อนแสง
แม้ใบหน้าจะไม่ได้สวยโดดเด่น แต่ดวงตากลมโตใส่คอนแทคเลนส์ประกอบกับขนตายาวหนากลับดูเย้ายวนใจ ถ้าเป็นหนุ่มบริสุทธิ์โดนเธอจ้องด้วยดวงตาคู่นี้ คงพูดไม่ออกเลยทีเดียว
แต่เฉินนั่วไม่กลัว เขาจ้องตาเธอตรงๆ
"มีอะไรหรือ?"
กลับเป็นสาวคนนั้นที่ทนสายตาเฉินนั่วไม่ไหว หลบตาไปก่อน "อืม อยากทำความรู้จักน่ะ"
เฉินนั่วยิ้ม "ได้สิ"
สาวถาม "คุณชื่ออะไรคะ?"
เฉินนั่วตอบ "อยากรู้เหรอ? เข้ามาใกล้ๆ หน่อย ฉันกลัวคนอื่นได้ยิน"
สาวคนนั้นดูตกใจ ไม่เพียงไม่เข้าใกล้ แต่ยังถอยหลังไปก้าวหนึ่ง "ฉันชื่อหม่าหยียนหราน คุณก็เตรียมสอบเข้าสถาบันภาพยนตร์ใช่ไหม?"
เฉินนั่วตอบ "ตอนแรกจะบอกว่าไม่ใช่ แต่คิดดูแล้ว ขอจริงใจกับเธอหน่อยแล้วกัน ใช่ ถูกต้อง"
หม่าหยียนหรานกระทืบเท้า "อย่าล้อฉันสิ บอกชื่อมาเถอะน่า"
เฉินนั่วยกมุมปาก "เธอลองทาย"
ชาติที่แล้วเฉินนั่วผ่านอะไรมามาก แค่มองก็รู้ว่าหม่าหยียนหรานคนนี้มีเจตนาอะไร คงแค่มองหาตัวสำรองที่มีแวว อาจกำลังหาโอกาสอะไรบางอย่าง
แต่เขาเป็นใคร? จะไปกลัวอะไรกับนักล่าหัวใจตัวน้อยแบบนี้
พูดไปพูดมา ไม่มีคำจริงสักคำ หยอกล้อไปมาครู่ใหญ่ ดูเหมือนจะคุยกันเยอะ แต่จริงๆ แล้วหม่าหยียนหรานฟังแล้วก็เหมือนไม่ได้ฟังอะไรเลย
พอคุยกันได้สองสามประโยค อาจารย์หยวนก็พาคนหนึ่งเข้ามา
เขายืนข้างหน้าแล้วปรบมือดังๆ
"มาครับ ทุกคน ตั้งใจฟังหน่อย ผมจะแนะนำอาจารย์สอนการแสดงของพวกคุณ จางอี้อี้ แม้อาจารย์จางจะอายุไม่มาก แต่เป็นอาจารย์อาวุโสของสถาบันภาพยนตร์ปักกิ่ง สร้างดาราดังมามากมาย ที่ทุกคนรู้จักดีก็มี ตงเสวียน นักแสดงนำจาก 'หิมะเทพธิดามังกร' หวงเซิ่งอี้ ที่กำลังจะเป็นนางเอกในหนังของ 'พี่เฉาว์' และหลิวอี้เฟย นางฟ้าที่รับบทวังอวี้เหยียนใน 'มังกรหยก' อาจารย์จางยังสนิทสนมกับดาราใหญ่อย่างเสี่ยวเหยียน เฉินคุนอีกด้วย ตอนนี้เชิญทุกคนปรบมือต้อนรับครับ"
พวกนักเรียนที่มาสอบสถาบันภาพยนตร์ ใครบ้างไม่มีความฝันอยากเป็นดารา พอได้ยินชื่อที่บอกมาตอนแรกก็ยังพอทำเฉยได้ แต่พอรู้ว่าอาจารย์จางอี้อี้เป็นเพื่อนสนิทกับเสี่ยวเหยียน ทุกคนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ปรบมือกันสนั่น
ท่ามกลางเสียงปรบมือ จางอี้อี้โบกมือทักทายทุกคนอย่างมีสง่า ใช้มือกดลงเบาๆ รอให้เสียงปรบมือเบาลง แล้วยิ้มพูดว่า "ขอบคุณ ขอบคุณนักเรียนทุกคน สวัสดีครับ ผมชื่อจางอี้อี้ อี้ที่แปลว่าหนึ่งนะครับ เรียกผมว่าอาจารย์จาง หรือ อาจารย์อี้อี้ ก็ได้ คลาสการแสดงช่วงนี้...ผมจะเป็นคนสอนเอง หวังว่าในระหว่างการสอน ผมจะสามารถถ่ายทอดความรู้จริงให้ทุกคน พร้อมๆ กับเป็นเพื่อนกับทุกคนด้วย ขอบคุณครับ"
จางอี้อี้พูดถึงตรงกลางก็สะดุดไปนิด
เพราะในชั่วขณะนั้น สายตาของเขาสบเข้ากับเฉินนั่วพอดี
"อาจารย์จางคนนี้มีเอกลักษณ์จริงๆ ผมยาวเกือบเท่าฉันแล้ว" หม่าหยียนหรานปรบมือไปพลางพูดเบาๆ ข้างๆ
เฉินนั่วกระตุกมุมปากเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
แต่ตลอดคาบเรียนที่ตามมา จางอี้อี้ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจการมีอยู่ของเขาเท่าไหร่ สอนอย่างตั้งใจดี
คาบแรกที่จางอี้อี้สอนคือเรื่อง "สมาธิของนักแสดง"
เขาสอนว่านักแสดงจะรักษาสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในฉากได้อย่างไร
เช่น เมื่อผู้กำกับต้องการให้นักแสดงแสดงว่ามีเปลวไฟอยู่ตรงหน้า แต่ความจริงแล้วตรงหน้ามีแค่กล้อง และทุกคนรอบข้างก็รู้ว่าไม่มีไฟ มีแค่กล้องเท่านั้น ในสถานการณ์แบบนี้ นักแสดงต้องอาศัยสมาธิของตัวเอง ตัดความวอกแวกจากภายนอกทั้งหมด แล้วจินตนาการถึงการมีอยู่ของเปลวไฟนั้น
สิ่งนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนประสาทสัมผัสทั้งห้า - การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัส และการลิ้มรส ให้สามารถนำมาใช้ในจินตนาการได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังต้องพัฒนาความทรงจำทางอารมณ์ ความทรงจำในการสังเกต ความทรงจำในจินตนาการ และความทรงจำทางสายตา
พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ อันดับแรกคุณต้องรู้ว่าอุณหภูมิและสีของไฟเป็นอย่างไร จากนั้นคุณต้องแสดงออกถึงความรู้สึกที่อุณหภูมิและสีของมันส่งผลต่อประสาทสัมผัสทั้งห้าของคุณ
ตอนแรกเฉินนั่วรู้สึกว่าสิ่งที่จางอี้อี้สอนลึกซึ้งมาก ฟังแล้วกึ่งเข้าใจกึ่งงง
แต่จางอี้อี้ดูเหมือนจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว ระหว่างคาบจึงเรียกนักเรียนหลายคนขึ้นมาสาธิตให้ดู หนึ่งในนั้นมีหม่าหยียนหรานที่นั่งข้างเฉินนั่วด้วย
หม่าหยียนหรานได้โจทย์ให้แสดงการได้ยิน ต้องแสดงว่าได้ยินเสียงรถยนต์แล่นมาจากไกลๆ
เห็นหม่าหยียนหรานยืนส่ายหัวไปมา เอียงหูซ้ายฟังที เอียงหูขวาฟังที เฉินนั่วไม่รู้สึกว่าเธอกำลังฟังเสียงรถเลย กลับดูเหมือนคนหูหนวกซะมากกว่า
ตอนนี้เอง เฉินนั่วถึงได้เข้าใจความหมายของจางอี้อี้
จางอี้อี้ไม่ได้ว่าอะไรหม่าเหยียนหราน ยังคงให้กำลังใจนิดหน่อย แล้วให้เธอกลับไปนั่งที่
พอหมดคาบ ก่อนที่จางอี้อี้จะออกจากห้อง เขาดูเหมือนจะไม่ตั้งใจมองมาที่เฉินนั่วหนึ่งที
มาแล้วสินะ เฉินนั่วเดินตามหลังเขาไป
เฉินนั่วนั่งลิฟต์ลงมาพร้อมจางอี้อี้ พอถึงหน้าตึกสำนักงาน อาจารย์หนุ่มก็หยิบบุหรี่จงหนานไห่ออกมา จุดสูบหนึ่งมวน แล้วยื่นซองให้เฉินนั่วด้วย
"ขอบคุณครับอาจารย์ ผมไม่สูบครับ" เฉินนั่วยืนตรงหน้าจางอี้อี้อย่างไม่หวั่นเกรง จะทำไงก็ว่ามา จะให้จ่ายค่าเสียหายก็จ่าย แต่ถ้าจะมาข่มขู่เรียกค่าไถ่ ขอโทษที ต่อให้เป็นอาจารย์ก็ไม่มีทางยอม
จางอี้อี้สูบบุหรี่หนึ่งที พ่นควันออกมาเป็นวงกลม
ห่วงควันลอยอยู่กลางอากาศ กลมเกลี้ยงเหมือนไข่ที่ยังไม่แตก
"เมื่อคืนผมไปนั่งที่โรงพยาบาลจนตี 3 กว่าจะได้กลับบ้าน ดึกขนาดนั้นก็ต้องไปห้องฉุกเฉิน แถมหมอเวรดันเป็นผู้หญิงอีก พอเธอถลกกางเกงผมดู บอกว่าผมเกือบจะใช้มันได้แค่ฉี่ไปตลอดชีวิตแล้ว"
เฉินนั่วรีบพูด "อาจารย์ครับ ค่ารักษาทั้งหมดผมจ่ายให้ จะเอาอาหารบำรุงอะไรไหมครับ? คิดกับผมได้เลย จริงๆ มันเป็นความเข้าใจผิด"
จางอี้อี้โบกมือ "ฉันไม่ได้จะเรียกร้องเงินจากนาย" พูดพลางมองสำรวจเฉินนั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า "ที่แท้นายก็ไม่ใช่นักศึกษาสถาบันภาพยนตร์จริงๆ"
เฉินนั่วแปลกใจ เขานึกว่าจางอี้อี้จะมาเอาเรื่องเสียอีก พอได้ยินแบบนี้ก็งง "ครับ อาจารย์ ผมไม่ใช่จริงๆ เมื่อวานผมเลยคิดว่าอาจารย์เป็น..."
"เป็นพวกต้มตุ๋น เลยเตะเข้าให้ อายุยังน้อยแต่ลงมือโหดเหี้ยมนะ ไม่แค่ทำให้ฉันเกือบเสียไข่ ยังทำให้ฉันอับอายขายหน้าที่โรงพยาบาลอีก"
จางอี้อี้ดูนาฬิกา เหยียบบุหรี่ดับ "ไปกัน เลี้ยงข้าวฉันมื้อนึง เรื่องนี้ก็จบ"
(จบบทที่ 5)