บทที่ 49 สำนักอิงซาน กุ้ยเต้าเหริน
###
ยามดึกสงัด ห้องครัวบ้านจางจิ่วหยางกลับคึกคักขึ้นมาอย่างผิดปกติ
อาหลี่เชฟใหญ่ประจำครัวกำลังลงมือปรุงอาหารด้วยตนเอง มีดทำครัวคู่สีชมพูหมุนวนไปมาอย่างรวดเร็ว เนื้อที่ถูกหั่นออกมามีความหนาบางพอดี และไขมันแทรกสลับกันอย่างสวยงาม บ่งบอกถึงฝีมือการใช้มีดที่ไม่ธรรมดา
พลิกกระทะ ผัดเร็ว!
ไม่นานนัก หมูผัดจานใหญ่ก็ถูกยกออกจากกระทะ กลิ่นหอมอบอวล สีสันน่ารับประทาน และปริมาณก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อยกจานออกไปได้ไม่ทันไร จางจิ่วหยางก็กลับมาพร้อมกับจานเปล่าด้วยสีหน้าประหลาดใจ พลางพูดว่า “เธอกินหมดแล้ว บอกให้เจ้ารีบทำเพิ่ม”
อาหลี่ผู้โชคร้ายทำได้เพียงอดทนทำงานล่วงเวลาต่อไปทั้งคืน
ไม่น่าสนุกเลย การทำอาหารมันไม่สนุกเลยสักนิด!
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นี่เป็นครั้งแรกที่จางจิ่วหยางได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า “ลมกรดตะลุมบอนอาหาร” ไม่ว่าพยายามแย่งยังไงก็สู้ไม่ได้เลย!
ในห้องโถงใหญ่ จานสะสมเป็นกองสูง ยวี่หลิงที่นั่งอยู่มีท่าทีสบายอารมณ์ ท้องใต้เกราะของเธอป่องเล็กน้อย เธอตบมันเบา ๆ พร้อมแสดงสีหน้าพึงพอใจ
“อิ่มประมาณแปดส่วนแล้ว”
“เจ้าเด็กผีน้อยนี้ก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง ฝีมือทำอาหารไม่เลว”
จากคำว่า “เด็กผี” กลายเป็น “เด็กผีน้อย” แสดงให้เห็นว่าการกินทำให้เธอรู้สึกเป็นกันเองกับอาหลี่มากขึ้นไม่น้อย
เกาเหรินยังคงนั่งนิ่งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง
“เป็นไปไม่ได้…”
“ข้าฝึกมาเป็นเวลาสามสิบกว่าปี ฝึกจนใกล้จะกลายเป็นผีไปแล้ว…”
“แต่เขาทะลวงผ่านถึงขั้นที่สองได้แล้ว? อีกไม่นานจะเหนือกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ?”
ครั้งก่อนแม้เขาจะมองออกว่าจางจิ่วหยางมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร แต่ก็ไม่คิดว่าจะอัจฉริยะถึงเพียงนี้ เพิ่งเข้าสู่ขั้นแรกได้ไม่นาน กลับสามารถเปิดร้อยวันผ่านด่านได้แล้ว?
ไม่สิ อย่างน้อยก็ต้องผ่านด่าน!
เขาเคยติดอยู่หน้าประตูด่านร้อยวันถึงเจ็ดปีเต็ม กว่าจะฝ่าฟันไปได้ก็ถูกเผาไหม้ด้วยไฟราคะ จนกระทั่งตอนนั้นแม้แต่หมูก็ดูงดงามในสายตาของเขา
โชคดีที่วิชาที่เขาฝึกไม่รุนแรงมาก ด่านร้อยวันจึงกินเวลาเพียงสามสิบวัน เขาอดทนกัดฟันจนผ่านไปได้ แม้ว่าการสะสมพลังจะเชื่องช้า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทะลวงขั้นที่สามได้ ต้องค่อย ๆ บ่มเพาะต่อไป
“เหล่าเกา ข้าบอกแล้วว่าเป็นเพราะยาจื่อจือหยู่เซินว่าน”
จางจิ่วหยางกล่าวปลอบใจ
แต่ความจริงแล้วนอกจากยาจื่อจือหยู่เซินว่านที่ช่วยเร่งการบำเพ็ญเพียรได้ การที่เขาบำเพ็ญเพียรได้เร็วขนาดนี้มีสองเหตุผลหลัก หนึ่งคือวิชากินผีของจงขุย และสองคือความเข้ากันได้กับคัมภีร์ลับเตาหยกที่ทำให้เขาฝึกฝนได้ง่ายดาย
เรียกได้ว่าราวกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
“เจ้าฝึกวิชาคัมภีร์ลับเตาหยกภาพที่สองใช่หรือไม่ ภาพสุริยันอู๋กระต่ายจันทรา?”
ในตอนนั้นเอง ยวี่หลิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เจ้าไม่ต้องปิดบัง ข้าเองก็เคยฝึกวิชานี้มาก่อน และฝึกไปถึงภาพที่สามก่อนจะเปลี่ยนไปฝึกวิชาอื่น”
เธอหยุดเล็กน้อยก่อนจะเตือนว่า “เห็นแก่ข้าวมื้อนี้ของเด็กผีน้อย ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ อย่าประมาทด่านร้อยวันโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะด่านที่ผ่านด้วยคัมภีร์ลับเตาหยก”
“ในช่วงร้อยวัน ไฟราคะจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดเปลี่ยน เจ้าควบคุมมันได้ในตอนนี้ก็จริง แต่ต่อไปไม่แน่ว่าจะควบคุมได้”
พูดจบเธอก็เหลือบมองเกาเหรินด้วยสายตาแปลก ๆ
เกาเหรินรีบกระแอมเบา ๆ ก้มหน้าลง และแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
จางจิ่วหยางรู้สึกถึงกลิ่นอายของเรื่องเล่าแปลก ๆ ดูเหมือนว่าเกาเหรินจะเคยมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างด่านร้อยวัน และคงเป็นเรื่องที่แพร่กระจายไปทั่วฉินเทียนเจี้ยน
ดูนั่นสิ เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าหลัวผิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงกับหน้าแดงกลั้นขำจนแทบระเบิด
เกาเหรินช่างเป็นคนที่มีเรื่องราวจริง ๆ
“สรุปคือ จางจิ่วหยาง ข้าแนะนำให้เจ้าไปฝึกวิชาปิดประตูความใคร่เสีย จะได้ไม่พลาดท่าในภายหลัง”
จางจิ่วหยางพยักหน้าขอบคุณ “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่านแม่ทัพยวี่หลิง”
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะลองหยั่งเชิงถาม “เหล่าเกา เมื่อครั้งที่เจ้าฝ่าด่านร้อยวัน—”
“จางจิ่วหยาง ข้าว่าพวกเราควรกลับไปคุยเรื่องตะปูเจ็ดดาวผนึกวิญญาณที่เราพบในเถ้ากระดูกของอวิ๋นเหนียงดีกว่า!”
เกาเหรินรีบพูดเสียงดังขึ้นเพื่อขัดจังหวะเขา
“ตะปูเจ็ดดาวผนึกวิญญาณเป็นศาสตร์มืดของสำนักอิงซานที่ล่มสลายไปเมื่อหกร้อยปีก่อน สำนักนี้นับถือปีศาจ ไม่บูชาฟ้าดิน”
“ปีศาจหรือ?”
“ใช่ ชื่อของมันคือ…ราชาปีศาจอิงซาน”
“เหล่าศิษย์ของสำนักอิงซานฝึกฝนวิชามารเลี้ยงผี หวังผลลัพธ์รวดเร็ว พวกมันบูชาพลังปีศาจและยอมให้ปีศาจเข้าสิงร่างของตนเองเพื่อเสริมพลัง!
จางจิ่วหยางรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง พลันนึกถึงข้อความในบันทึกของหลินเซี่ยจื่อ
“บัดซบ! สิ่งนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ข้าควบคุมมันแทบไม่อยู่แล้ว!”
ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่หลินเซี่ยจื่อกล่าวถึงในบันทึกนั้น ไม่ใช่อวิ๋นเหนียง แต่เป็นผีที่หลินเซี่ยจื่อเลี้ยงไว้ในร่างของตนเอง!
หลินเซี่ยจื่อเป็นศิษย์ของสำนักอิงซาน!
เกาเหรินดูเหมือนจะอ่านความคิดของเขาออก จึงกล่าวต่อ “เมื่อหกร้อยปีก่อน สำนักอิงซานมีเจ้าสำนักคนสุดท้ายเรียกว่ากุ้ยเต้าเหริน(นักพรตปีศาจ) เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงและมีความทะเยอทะยานอย่างมาก เขาพยายามหลอมสร้างราชาปีศาจระดับภัยพิบัติขึ้นมา”
วิญญาณ อำมหิต ความวิบัติ ภัยพิบัติ และเหวลึก
แม้แต่อวิ๋นเหนียงที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ ก็ยังขาดอีกเล็กน้อยจึงจะกลายเป็นผีร้ายระดับอำมหิตได้
ภัยพิบัติ หมายถึงปีศาจที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงจนสามารถก่อให้เกิดหายนะทั่วแคว้น และเมื่อปีศาจขึ้นถึงระดับนี้ ก็จะได้รับการขนานนามว่าราชาปีศาจ
“กุ้ยเต้าเหรินพยายามบูชายัญชาวเมืองทั้งเมืองเพื่อเลี้ยงดูราชาปีศาจ การกระทำเช่นนี้ทำให้ฟ้าดินโกรธเคือง ในขณะนั้นเป็นช่วงที่จูเก๋อกั๋วซือเพิ่งก่อตั้งฉินเทียนเจี้ยนได้ไม่นาน ท่านกั๋วซือจึงลงมือด้วยตนเอง”
“แล้วเป็นอย่างไรต่อ?”
อาหลี่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
เธอฟังจนเคลิ้มไปกับเรื่องราว จินตนาการถึงการต่อสู้ระหว่างกุ้ยเต้าเหรินกับจูเก๋อกั๋วซือที่ยืดเยื้อถึงสามวันสามคืน ฟ้าดินสั่นสะเทือนจนมืดฟ้ามัวดิน ไร้แสงตะวันจันทร์
“แล้วอย่างไรต่อหรือ?”
เกาเหรินหัวเราะเบา ๆ “เมื่อจูเก๋อกั๋วซือลงมือแล้ว จะมีอะไรที่ผิดพลาดอีกเล่า ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าสำนักอิงซานถึงได้ล่มสลาย?”
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อด้วยความรู้สึกประทับใจ “ว่ากันว่าในตอนนั้น ท่านกั๋วซือนั่งบัญชาการอยู่ที่เมืองหลวง โดยไม่ได้เคลื่อนไหวออกจากที่นั่ง แต่กลับสามารถวางค่ายกลสังหารอันร้ายกาจจากระยะไกลหลายพันลี้ ใช้พลังแห่งดวงดาวในฟากฟ้ากวาดล้างสำนักอิงซานทั้งบนเขาและในหุบเขาจนสิ้นซาก!”
“กุ้ยเต้าเหรินถูกสังหาร และสำนักอิงซานก็ถูกลบชื่อออกจากประวัติศาสตร์นับแต่นั้น”
“ได้ยินมาว่าในตอนนั้น สำนักอิงซานบูชายัญทั้งสำนักเพื่อเชิญราชาปีศาจเข้าสู่โลกมนุษย์ แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานท่านกั๋วซือได้ ถูกโจมตีจนตกสู่ขุมนรกชั้นสิบแปด ไม่อาจหลุดพ้นได้ตลอดกาล”
เรื่องราวที่เกาเหรินเล่าทำให้จางจิ่วหยางรู้สึกตื่นเต้นและฮึกเหิมขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้
สามารถวางค่ายกลสังหารจากระยะไกลหลายพันลี้ กวาดล้างสำนักทั้งสำนักจนสิ้นซาก และยังขับไล่ราชาปีศาจไปสู่ขุมนรกชั้นสิบแปดพร้อมกันได้…
นี่มันเป็นฝีมือที่เกินจินตนาการจริง ๆ !
บุคคลเช่นนี้จะต่างอะไรกับเทพเซียน?
และทั้งหมดนี้เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับที่เจ็ดเท่านั้น
จางจิ่วหยางรู้สึกเกิดแรงปรารถนาอันแรงกล้าที่จะบำเพ็ญเพียรให้สูงขึ้นมาอีก ชีวิตคนเราหากไม่สามารถสร้างเกียรติยศเช่นนี้ได้ จะนับว่าเกิดมาเป็นชายชาตรีได้อย่างไร?
“ไม่นึกเลยว่าหลังจากผ่านไปหกร้อยปี สำนักอิงซานจะยังคงมีศิษย์เหลือรอดอยู่ และกลับเข้าสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง หลินเซี่ยจื่อ เจ้านี่ซ่อนตัวได้แนบเนียนจริง ๆ !”
แววตาของเกาเหรินฉายแววหวาดหวั่นออกมาเล็กน้อย
ในอดีตเขาเคยร่วมมือกับหลินเซี่ยจื่อมาก่อน แต่กลับไม่เคยสังเกตเห็นพิรุธใด ๆ เลย
“ฝังคนเป็นสามร้อยคนในดิน…”
จางจิ่วหยางเสนอขึ้น “บางทีพวกเราควรลองตรวจสอบประโยคนี้ดู เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตคนตั้งสามร้อยคน…”
เกาเหรินส่ายหัวพลางถอนหายใจ ก่อนจะหันไปมองยวี่หลิงเหมือนจะขอคำยืนยัน
เมื่อเห็นยวี่หลิงพยักหน้า เขาจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “จางจิ่วหยาง หลังจากที่เราแยกกันที่อำเภออวิ๋นเหอ ข้าเดิมทีตั้งใจจะไปตรวจสอบคดีไฟไหม้ตระกูลลู่ในเมืองชิงโจว แต่ระหว่างทางข้ากลับได้รับคำสั่งให้ไปตรวจสอบคดีเร่งด่วนอีกคดีหนึ่ง”
เขาหยุดพูดเล็กน้อยก่อนที่น้ำเสียงจะเปลี่ยนเป็นหนักแน่นขึ้น
“ไม่นานมานี้ที่หมู่บ้านเฉินในเขาหยุนหาวของชิงโจว เกิดเหตุดินถล่มขึ้นอย่างกะทันหัน ชาวบ้านกว่า 300 คนถูกฝังทั้งเป็นใต้ดิน และไม่นานผืนดินก็ปิดกลับสนิทจนไม่เหลือร่องรอย”
“จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง มีผู้ได้ยินเสียงเคาะและเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใต้ดินอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง”