บทที่ 448 รถไฟสวรรค์ ตอนที่ 16
บทที่ 448 รถไฟสวรรค์ ตอนที่ 16
เซิ่งจื่อหมิงและคนอื่นๆ เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็โล่งใจไปชั่วครู่ แต่ความกังวลกลับเข้ามาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเมื่อครู่พลังดาบของเวินซวีจะน่าทึ่ง แต่จำนวนวิญญาณร้ายที่ถูกทำลายก็เป็นเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนที่เหลืออยู่ ถือว่าน้อยมาก
สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะคลี่คลายเพียงไม่กี่วินาทีก็กลับมาวิกฤตอีกครั้ง เหล่าวิญญาณร้ายกรูกันเข้ามาอีก
คราวนี้ กู่เถียนเถียนเป็นฝ่ายออกหน้าก่อน เธอใช้พู่กันเวทวาดสัญลักษณ์ขนาดใหญ่สีทองขึ้นในพริบตา และไม่หยุดเพียงเท่านั้น เธอวาดสัญลักษณ์เพิ่มอีกสามทิศทาง ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
อวี้ไป๋ลู่ที่อยู่ในตู้โดยสารมองเห็นเหตุการณ์นั้นพลางพึมพำ “พัฒนาได้เร็วจริงๆ ไม่กี่วินาทีก็สร้างค่ายกลยันต์ได้”
แม้ว่าจะเป็นค่ายกลยันต์ที่ง่ายที่สุด แต่การเพิ่มจำนวนสัญลักษณ์ในแต่ละครั้งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างมาก
เมื่อค่ายกลยันต์เสร็จสมบูรณ์ กู่เถียนเถียนสะบัดมือเบาๆ สัญลักษณ์ขนาดใหญ่ทั้งสี่กระจายออกไปโดยรอบ วิญญาณร้ายที่โดนพลังนั้นถูกทำลายหรือได้รับบาดเจ็บจนต้องล่าถอย
แม้ว่าค่ายกลของเธอจะไม่รุนแรงเท่าดาบของเวินซวี แต่ก็จัดการวิญญาณร้ายได้จำนวนมาก
ในขณะที่กู่เถียนเถียนเคลื่อนไหว วิญญาณที่อยู่ในร่างของเวินซวีก็เริ่มตื่นขึ้น
“ฮึ แม้ว่าพวกมันจะไร้ค่า แต่จำนวนมากมายขนาดนี้ก็พอจะกัดพวกเจ้าตายได้”
เวินซวีเพิกเฉยต่อเสียงที่ดังขึ้นในหัว ไม่แสดงท่าทีสนใจ แต่กลับตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับพลังของค่ายกลยันต์ คอยจับตาดูว่ามีวิญญาณร้ายตัวไหนหลุดรอดออกมาหรือไม่ พร้อมที่จะชักดาบขึ้นจัดการทันที
ทว่าความพยายามของวิญญาณในตัวเขาไม่ได้หยุดลงง่ายๆ เสียงของมันยังคงเย้ยหยันต่อเนื่อง
“โลกต้นกำเนิดเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และที่นี่ก็ยังกล้าทำเรื่องแบบนี้อีก ช่างน่าขันเสียจริง”
เวินซวีเริ่มหงุดหงิดในใจ พลางคิดว่าเจ้าสิ่งนี้จะพูดไม่หยุดไปอีกนานแค่ไหน แต่ทันใดนั้น เสิ่นชงหรานที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาหันกลับมาช้าๆ ดวงตาเป็นประกายแหลมคม เธอเอ่ยถามเสียงเย็น
“วิญญาณในร่างเจ้ากำลังพูดอยู่ใช่ไหม?”
คำพูดที่ไม่ทันตั้งตัวของเสิ่นชงหรานทำเอาเวินซวีชะงัก หยุดความคิดทุกอย่างลงทันที และแม้แต่วิญญาณในร่างเขาเองก็ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
เสิ่นชงหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่แน่ใจ
ก่อนหน้านี้ เธอได้ยินเสียงใครบางคนพูด แต่มันเบาและไม่ชัดเจน ทำให้เธอสงสัยว่านั่นอาจเป็นเสียงของวิญญาณในร่างเวินซวี
เวินซวีถาม “เจ้าได้ยินอะไรหรือ?”
“ไม่แน่ใจ แต่เหมือนพูดถึงที่แห่งนี้”
เวินซวีที่ปกติสงบนิ่ง เริ่มไม่จดจ่ออยู่กับพลังของค่ายกลยันต์
“มันพูดถึงสถานที่นี้จริงๆ เจ้าได้ยินถูกต้อง”
เสิ่นชงหรานมองไปที่ค่ายกลยันต์ของกู่เถียนเถียนซึ่งเริ่มจางหายหลังจากจัดการวิญญาณร้ายจำนวนมากแล้ว “มันบอกหรือไม่ว่านี่คือที่ไหน?”
เวินซวีส่ายหน้า พร้อมใช้ดาบจัดการวิญญาณร้ายที่กำลังเข้ามา “ไม่บอก มันไม่มีทางใจดีบอกเราทุกอย่าง”
แต่ความเร็วที่วิญญาณร้ายกรูเข้ามากลับเพิ่มขึ้น เสิ่นชงหรานหันมองรอบตัว แล้วเอ่ยคำสาปด้วยเสียงที่หนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยอำนาจ
“จง! สิ้น!”
คำพูดที่เต็มไปด้วยพลังนั้นเปลี่ยนสถานการณ์ไปโดยสิ้นเชิง ความคิดของเธอตั้งมั่นเพียงอย่างเดียวว่า วิญญาณร้ายทั้งหมดที่เธอมองเห็นต้องถูกทำลายให้หมด
พลังคำสาปนี้น่ากลัวจนเหล่าผู้โดยสารในรถไฟมองเห็นวิญญาณร้ายที่เคยอัดแน่นอยู่ในพื้นที่ทั้งหมดหายไปจนหมดในพริบตา
เซิ่งจื่อหมิงและอวี้ไป๋ลู่จ้องมองภาพเบื้องนอกอย่างตกตะลึง ในความว่างเปล่าที่เหลืออยู่ มีเพียงรถไฟที่จอดเรียงรายและคนไม่กี่คนที่ยืนอยู่ด้านนอก
แต่การใช้พลังที่รุนแรงขนาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เสิ่นชงหรานจะควบคุมได้ง่าย หลังจากวิญญาณร้ายหายไป เธอรู้สึกปวดศีรษะอย่างหนัก เฟิงอี้เฉินประคองเธอไว้ทันที
“ถ้ามีวิญญาณร้ายโผล่มาอีก เราจะจัดการเอง เจ้าพักก่อน”
เสิ่นชงหรานพยักหน้า ใบหน้าที่เคยเปล่งปลั่งบัดนี้ซีดเซียว ริมฝีปากของเธอมีเพียงสีชมพูจางๆ
...
หมู่บ้านอวี้ลู่
หญิงสาวที่กำลังต่อสู้กับวิญญาณร้ายพยายามจะควบคุมมัน แต่กลับพบว่าพลังของเธออ่อนลงอย่างผิดปกติ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้…”
เธอคิดว่าความสามารถของตัวเองถดถอย โดยไม่ได้สนใจเพื่อนร่วมทีมที่อยู่รอบตัว
“มันตามมาแล้ว เร็วเข้า ขวางมันไว้!”
พวกเขาไม่คาดคิดว่าศัตรูที่คิดว่าเป็นเพียงวิญญาณร้ายระดับสูงจะกลายเป็นวิญญาณระดับสูงสุด และดูเหมือนพลังของมันยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สมาชิกทีมที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้าถูกกรงเล็บของวิญญาณร้ายฟาดจนไหล่ข้างหนึ่งแหลกเละจนแทบไม่เหลือสภาพ ร่างล้มลงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
สมาชิกคนอื่นรีบเข้ามาขวางการโจมตีของวิญญาณร้ายแทน
หญิงสาวที่ยังคงจมอยู่กับความคิดว่าความสามารถของตนถดถอย กลับแสดงสายตาอาฆาตออกมา เธอมองวิญญาณร้ายตรงหน้าราวกับเป็นศัตรูที่เธอเกลียดชังที่สุดในชีวิต ก่อนจะพุ่งเข้าไปเผชิญหน้าอย่างไม่ลังเล
ในขณะที่เสิ่นชงหรานกำลังอ่อนแรง ภาพในความฝันก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นในความคิดของเธออีกครั้ง พระราชวังอันสูงตระหง่านและเงาของใครบางคนที่ดูคุ้นเคย
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าดูเหมือนจะรู้ว่าเธอกำลังอ่อนแอ มันแอบเข้ามาใกล้เธอทีละน้อย
เสิ่นชงหรานนั่งลงกับพื้น หลับตาเพื่อรวบรวมพลัง
หลังจากจัดการวิญญาณร้ายไปได้หนึ่งระลอก ความสงบก็มีอยู่เพียงสิบวินาทีก่อนที่ประตูที่มองไม่เห็นในความว่างเปล่าจะเปิดออกอีกครั้ง ปล่อยให้วิญญาณร้ายจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาอีก
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เสิ่นชงหรานต้องกังวลอีกต่อไป เพราะเพื่อนร่วมทีมของเธอสามารถจัดการได้
ในตอนนี้จิตใจของเสิ่นชงหรานเหมือนเข้าสู่สภาวะประหลาด เธอกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกถึงเสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมทีมแว่วมาจากความว่างเปล่า และในขณะเดียวกัน เธอก็เห็นภาพบางอย่างที่ไม่ปะติดปะต่อ ปรากฏในห้วงความคิด
เสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงของตัวเธอเองที่ฟังดูห่างไกลและแผ่วเบา
“การเดินทางครั้งนี้…ข้าไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาเมื่อใด…”
อีกเสียงหนึ่งตอบกลับมา เสียงนั้นลึกล้ำและมั่นคง คล้ายเป็นใครบางคนที่เธอคุ้นเคย
“เมื่อวิกฤตการณ์ใหญ่กำลังใกล้มาถึง ข้าจะเดินทางไปกับเจ้าเอง”
เสียงแรกเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าต้องดูแลทุกอย่าง ข้าจะฝากบางสิ่งไว้ให้ก่อนจากไป สิ่งนี้จะช่วยเจ้าควบคุมความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น”
เสียงที่ลึกลับนั้นเว้นช่วงก่อนพูดอีกครั้ง
“เจ้าจงระวังให้ดี ยังมีบางคนที่ไม่ยอมแพ้ พวกเขาอาจหาทางเล่นงานเจ้า…”
เสียงของเสิ่นชงหรานตอบกลับอย่างมั่นใจ แม้ในห้วงกึ่งฝันเธอก็ยังเปี่ยมไปด้วยพลัง
“เจ้าลืมไปหรือว่าข้ามีความสามารถอะไร?”
บทสนทนาจบลงตรงนี้ เสิ่นชงหรานขมวดคิ้วแน่น เธอพยายามคิดว่าใครคือคู่สนทนา และในอดีตของเธอเคยทำอะไรไว้
จากบทสนทนา เธอรู้ว่ามีบางสิ่งที่พยายามกำจัดเธอโดยตรง เธอหวนคิดถึงภารกิจของผู้ทำภารกิจคนอื่น ที่เริ่มจากง่ายไปยากตามลำดับ ยกเว้นเธอและเฟิงอี้เฉินที่เจอความอันตรายสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้น
เวินซวีเองก็เช่นกัน หลังจากผ่านการทดสอบ ภารกิจของเขาก็ยากขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนกู่เถียนเถียน ภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเธอก็ยิ่งอันตรายขึ้นทันทีที่เข้าร่วมกลุ่ม
แล้วต้นตอของปัญหาคือใคร? ตัวเธอหรือเฟิงอี้เฉินกันแน่?
ในขณะที่เธอยังครุ่นคิด เสียงในความฝันกลับมาอีกครั้ง “แม้เจ้าจะพูดเช่นนั้น แต่ครั้งนี้ข้าจะไม่ฟังเจ้าอีก อย่าโกรธข้าก็แล้วกัน… หรือจริงๆ ข้าก็อยากให้เจ้าหงุดหงิดเสียด้วยซ้ำ”
ในความว่างเปล่า สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่กำลังเข้ามาใกล้เสิ่นชงหรานมากขึ้น เป้าหมายของมันคือเธอคนเดียว
เฟิงอี้เฉินจัดการวิญญาณร้ายที่เข้ามาใกล้ด้วยการโจมตีเล็กน้อย ส่วนการโจมตีวงกว้างเป็นหน้าที่ของเวินซวีและกู่เถียนเถียน
เสิ่นชงหรานที่ยังคงหลับตาอยู่ พลันได้ยินบทสนทนาแปลกประหลาดในสภาวะกึ่งฝันทำให้เธอชะงักไปชั่วขณะทันใดนั้น ความรู้สึกถึงอันตรายก็กระตุ้นให้ร่างกายเธอตื่นตัว เธอพยายามลืมตาและหันกลับไป แต่ยังคงติดอยู่ในสภาวะกึ่งฝัน
เฟิงอี้เฉินที่เฝ้าระวังให้เธออยู่ใกล้ๆ รับรู้ถึงบางสิ่งทันที เขารีบดึงตัวเสิ่นชงหรานออกจากจุดที่เธอนั่ง
ไม่นานนัก บริเวณที่เธอนั่งอยู่ก็ปรากฏมือขาวซีดโผล่ออกมา มันพยายามจะคว้าตัวเสิ่นชงหราน แต่โชคดีที่เฟิงอี้เฉินรับรู้ได้ทัน
เมื่อการโจมตีพลาดเป้า มือสีซีดนั้นรีบพยายามหดกลับเข้าสู่ความมืด ทว่าทันใดนั้น เสิ่นชงหรานลืมตาขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ก่อนจะเปล่งคำสาปทรงพลังออกมา “จงนิ่ง!”
คำพูดของเธอทำให้มือที่กำลังหดกลับหยุดชะงัก ร่างในความมืดของมันเองก็ขยับไม่ได้
เสิ่นชงหรานมองไปที่เฟิงอี้เฉินที่ประคองเธออยู่ เธอพยักหน้าให้เขา เฟิงอี้เฉินเข้าใจทันทีและปล่อยมือจากเธอ
เสิ่นชงหรานยื่นมือออกไปคว้าจับมือของวิญญาณร้ายไว้แน่น ก่อนจะหันไปพูดกับกู่เถียนเถียนด้วยเสียงจริงจังว่า "จับมือเราไว้" พร้อมกับยื่นมืออีกข้างไปทางเธอ
กู่เถียนเถียนชะงักจากการโจมตีวิญญานร้าย แล้วก้าวเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและแน่วแน่ของ
เสิ่นชงหราน เธอจึงตัดสินใจเอื้อมมือออกไปจับมืออีกข้างของเธออย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้น คลื่นของภาพเหตุการณ์จำนวนมากก็พุ่งเข้ามาในจิตใจของพวกเธออย่างรุนแรงและไม่หยุดยั้ง ราวกับน้ำป่าที่ไหลหลาก…
..........