บทที่ 4 บุรุษไร้จุดอ่อน
เซี่ยอวิ๋นซีไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน นางหน้าแดงก่ำ ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ราวกับจะร้องไห้
นางมองใบหน้าหล่อเหลาของหลินเฟิงเหมียนด้วยความเสียใจจนกลั้นสะอื้นไว้ไม่อยู่ "ศิษย์พี่...ที่จริงข้า..."
หลินเฟิงเหมียนยิ้มเศร้า "หากเจ้ามีใจ ต่อไปเมื่อข้าตายแล้ว ก็ช่วยฝังข้าไว้ที่เนินเขาหลังวัดเถิด ตรงนั้นเจ้าจะสามารถมองเห็นข้าได้"
เซี่ยอวิ๋นซีน้ำตาไหลอาบแก้ม นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะกล่าวอย่างแน่วแน่ "ศิษย์พี่ ข้าไม่มีวันปล่อยให้ท่านตายเด็ดขาด!"
โดยไม่ต้องให้หลินเฟิงเหมียนร้องขอ เซี่ยอวิ๋นซีกล่าวขึ้นเอง "ศิษย์พี่ ไม่ใช่ว่ามีผู้อาวุโสรับท่านเข้ามาเป็นศิษย์หรือ? ข้าจะไปหานาง นางต้องมีวิธีช่วยแน่!"
"แต่ข้าไม่รู้แม้กระทั่งชื่อนาง จะไปหาอย่างไร?" หลินเฟิงเหมียนกล่าวอย่างลำบากใจ
"ข้าจะไปสืบหาข่าวเอง ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ข้าต้องหาทางได้แน่นอน"
สีหน้าจริงจังของเซี่ยอวิ๋นซีทำให้หลินเฟิงเหมียนรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เพื่อรักษาชีวิต เขาจำต้องเก็บความรู้สึกไว้
เขาทำท่าลังเลแล้วกล่าว "เรื่องนี้อาจทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย?"
เซี่ยอวิ๋นซีส่ายหน้าและพูดเสียงเบา "เรื่องเล็กน้อย ศิษย์พี่...ความจริงแล้ว ศิษย์พี่หญิงหลิวไม่ได้เรียกข้าจริงๆ ใช่ไหม?"
หลินเฟิงเหมียนพยักหน้า "ศิษย์น้องปราดเปรื่องนัก ข้าก็แค่อยากสารภาพความรู้สึกกับเจ้า ขอโทษด้วยที่ใช้วิธีนี้"
เซี่ยอวิ๋นซีหน้าแดงก่อนลำล่ำละลักเอ่ยเสียงแผ่ว "ไม่เป็นไร ศิษย์พี่...ข้า..."
นางพูดไม่ทันจบ หลินเฟิงเหมียนก็ขยับเข้าไปใกล้ "เจ้าว่าอย่างไรนะ?"
"ไม่มีอะไร ข้าจะกลับไปถามศิษย์พี่หญิงก่อน หากมีข่าวข้าจะรีบมาบอก"
เซี่ยอวิ๋นซีพูดแล้วรีบเดินจากไปอย่างเขินอาย
หลินเฟิงเหมียนรู้สึกผิด แต่เมื่อชีวิตตกอยู่ในอันตราย เขาไม่มีทางเลือก
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลานั้นหลินเฟิงเหมียนพยายามคิดหาวิธีรอดชีวิต แต่ด้วยพลังอันต่ำต้อย เขาทำได้เพียงปล่อยให้โชคชะตาตัดสิน
ทั้งสามวันผ่านไปอย่างยากลำบาก แต่ทั้งเทพธิดาในหยกและเซี่ยอวิ๋นซีก็เหมือนจะหายไป ทำให้เขากระวนกระวายใจยิ่งขึ้น
ในที่สุด คืนแห่งการทดสอบก็มาถึง
หลินเฟิงเหมียนถือมีดในมืออย่างลังเล
เมื่อคิดจะตัดสินใจขั้นเด็ดขาด แสงสว่างก็เปล่งออกมาจากหยกปลาคู่ที่หน้าอกของเขา
หลินเฟิงเหมียนมองหยกด้วยความตกใจ เขาสัมผัสมัน และถูกดึงเข้าไปในความมืดอีกครั้ง
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองโผล่ออกมาจากแม่น้ำนิลกาฬอันเชี่ยวกราก
เขาเห็นลั่วเสวี่ยผู้เลอโฉนยืนอยู่ริมฝั่งก็รู้สึกดีใจ
"ท่านโกหกข้า!"
ก่อนที่เขาจะพูดอะไร ลั่วเสวี่ยก็ชี้หน้ากล่าวหาก่อน
"เจ้าต่างหากที่โกหกข้า! ในดินแดนตะวันออกไม่มีสำนักเหอฮวนอะไรนั่นด้วยซ้ำ!"
"สำนักเหอฮวนอยู่ที่ตงวั่งแห่งเป่ยหมิง ข้าก็ถูกหลอกเหมือนกัน!" หลินเฟิงเหมียนเถียงกลับ
"แล้วแคว้นจ้าวล่ะ? ในดินแดนตะวันออกไม่มีแคว้นจ้าว!" ลั่วเสวี่ยกล่าวเสียงแข็ง
หลินเฟิงเหมียนอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง
สำนักเหอฮวนไม่อยู่ในดินแดนตะวันออกนั้นพอเข้าใจได้ แต่แคว้นจ้าวไม่มีอยู่จริงนี่มันอะไรกัน?
เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าแคว้นจ้าวเพิ่งสถาปนามาเพียงแปดร้อยปีเท่านั้น
หญิงสาวตรงหน้าคงไม่ใช่...
"ท่านคือลั่วเสวี่ย เซียนกระบี่แห่งสำนักฉงฮวาจริงๆ ใช่ไหม?"
สายตาอันแน่วแน่ของเขาทำให้ลั่วเสวี่ยตกใจ
"ข้าไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเซียนกระบี่ แต่ข้าคือลั่วเสวี่ยจริงๆ" ลั่วเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเก้อเขิน
"ท่านมีหลักฐานพิสูจน์ตัวตนของท่านไหม?" หลินเฟิงเหมียนถามเสียงเข้ม
ลั่วเสวี่ยแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะหมุนกระบี่ยาวในมืออย่างสง่างามและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ "กระบี่เจิ้นหยวนในมือข้าคือหลักฐานที่ดีที่สุด"
หลินเฟิงเหมียนมองกระบี่โบราณที่สลักคำว่า 'เจิ้นหยวน' ด้วยความตกตะลึง
หลังจากอึ้งไปครู่ใหญ่ เขาก็พึมพำถามว่า "พี่เทพธิดา ตอนนี้วันเดือนปีอะไร?"
ลั่วเสวี่ยตอบด้วยความสงสัย "แน่นอนว่าตอนนี้คือวันที่ยี่สิบห้าเดือนห้า ปีเทียนหยวน"
หลินเฟิงเหมียนนิ่งงันไป
แต่ตอนนี้คือวันที่ยี่สิบห้าเดือนห้า ปีเทียนหยวน!
หากสิ่งที่ลั่วเสวี่ยพูดเป็นความจริง แสดงว่าระยะเวลาระหว่างพวกเขาสองคนห่างกันถึงหนึ่งพันปีเต็ม!
หยกปลาคู่นี้เชื่อมโยงเขากับลั่วเสวี่ย ผู้เป็นเซียนกระบี่จากหนึ่งพันปีก่อนอย่างนั้นหรือ?
หลินเฟิงเหมียนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พึมพำว่า "จบแล้ว จบสิ้นทุกอย่างแล้ว!"
เขาหวังพึ่งลั่วเสวี่ยช่วยชีวิต แต่ตอนนี้ดูเหมือนหนทางเดียวที่เหลือคือการ 'ตัด' เพื่อรักษาชีวิต
ลั่วเสวี่ยเห็นท่าทางสิ้นหวังของเขาก็ขมวดคิ้วและถาม "เจ้าคิดจะเล่นตลกอะไรอีก?"
หลินเฟิงเหมียนเงยหน้าขึ้นมองนาง ก่อนจะลังเลและตัดสินใจไม่บอกเรื่องช่องว่างของเวลา
เขาหัวเราะเยาะตัวเอง "ข้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับฝึกปราณ ท่านคิดว่าข้ามีคุณสมบัติจะเป็นปีศาจหรือ? อีกหนึ่งชั่วยามข้าก็จะตายแล้ว ข้าจะโกหกท่านทำไม?"
ลั่วเสวี่ยเห็นท่าทางจริงจังของเขาพลันรู้สึกสับสน
หรือว่าเขาจะเป็นเพียงเหยื่อที่ถูกสำนักเหอฮวนหลอกลวง? บางทีแคว้นจ้าวอาจเล็กเกินไปจนไม่มีบันทึกในแผนที่?
"อย่าเพิ่งหมดหวัง เจ้าต้องสืบให้แน่ชัดก่อนว่าเจ้าติดอยู่ที่ไหน ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไปให้ทัน!"
หลินเฟิงเหมียนหัวเราะเย้ยหยัน "ทันหรือ? ท่านจะข้ามมิติเวลาได้อย่างไร?"
เขาหมดความหวังไปแล้ว จะหวังพึ่งใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปพันปีช่วย คงไม่ต่างจากการเดินเข้าหาความตาย
"ไม่มีทางช่วยแล้ว"
ลั่วเสวี่ยตกตะลึง ก่อนจะกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิด "เจ้าจะยอมแพ้ง่ายๆ อย่างนี้ได้อย่างไร? แม้แต่ข้าที่เป็นคนนอกยังไม่ยอมแพ้เลย!"
หลินเฟิงเหมียนรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย เขาถามด้วยความหวังริบหรี่ "พี่เทพธิดา ท่านมีวิธีใดที่พอจะช่วยข้าบ้างหรือไม่?"
"เช่นคัมภีร์ลับที่ช่วยเพิ่มพลังอย่างรวดเร็ว หรือวิธีเร่งความแข็งแกร่ง?"
ลั่วเสวี่ยครุ่นคิดก่อนจะกล่าวอย่างลำบากใจ "วิธีพวกนั้นเป็นวิชามารทั้งสิ้น ต่อให้มีจริงก็ไม่สามารถทำให้เจ้าชนะได้"
"คู่ต่อสู้ของเจ้าคือผู้บ่มเพาะระดับสร้างฐานขั้นสูงสุด ส่วนเจ้าอยู่แค่ระดับฝึกปราณขั้นห้า ต่อให้ใช้วิชาใดก็ไม่มีทางสู้ได้"
หลินเฟิงเหมียนก้มหน้าด้วยความสิ้นหวัง "ดูเหมือนข้าต้องใช้วิธีสุดท้ายแล้วสินะ"
"เจ้ามีวิธี?"
ลั่วเสวี่ยรู้สึกแปลกใจ วิธีใดกันที่แม้แต่นางก็คิดไม่ออก?
หลินเฟิงเหมียนยิ้มขมขื่นราวกับร้องไห้ก่อนจะกล่าวว่า "มี ข้าจะกลายเป็นบุรุษที่ไร้จุดอ่อน!"
"ไร้จุดอ่อน?" ลั่วเสวี่ยมองอย่างไม่เข้าใจ
หลินเฟิงเหมียนยกมือทำท่าฟัน แล้วกล่าวเสียงเศร้า "ตัดรากถอนโคน!"
ใบหน้าของลั่วเสวี่ยแดงก่ำทันที ก่อนจะมองเขาด้วยความนับถือ
"นั่น...นั่นก็เป็นวิธีที่ใช้ได้ ชีวิตสำคัญที่สุด อย่าเสียใจไปเลย ผู้บ่มเพาะอย่างพวกเราควรละทิ้งกิเลสและความปรารถนา..."
ขณะที่พูด นางเองก็รู้สึกไม่มั่นใจกับคำพูดของตน
หลินเฟิงเหมียนถามด้วยความหวังริบหรี่ "ข้าเคยได้ยินว่าระดับจินตันสามารถงอกอวัยวะใหม่ได้ จริงหรือไม่?"
ลั่วเสวี่ยลังเล ก่อนจะบอกความจริงอย่างไม่อ้อมค้อม "ไม่... ก่อนจะถึงระดับจินตัน ความเสียหายแบบนั้นไม่อาจฟื้นฟูได้"
คำตอบนั้นทำให้หลินเฟิงเหมียนทรุดลงอีกครั้ง ความหวังสุดท้ายก็ถูกดับลงอย่างสิ้นเชิง