บทที่ 3 : หยางมี่
เฉินนั่วพูดอย่างตรงไปตรงมา "ผมเองครับ ขอโทษด้วยนะครับที่เมื่อกี้ ผมไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน อืม... เจ้าของห้องนามสกุลจางใช่ไหมครับ? เขาเป็นน้าของผม เขาบอกให้ผมมาอยู่ แต่ไม่ได้บอกว่ามีคุณอยู่ที่นี่ ขอถามหน่อยว่าคุณเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเหรอครับ?"
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบ "ฉันเช่าห้องของเขาอยู่ค่ะ เจ้าของห้องบอกให้ย้ายออกแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้..."
เฉินนั่วฟังออกว่าผู้หญิงที่อยู่หลังประตูอายุไม่มาก และตอนนี้ดูเหมือนจะกำลังสับสน พูดไปครึ่งๆ กลางๆ แล้วเงียบไป
เฉินนั่วถาม "เข้าไปคุยกันข้างในได้ไหมครับ? ยังไงเราก็ต้องเจอหน้ากันใช่ไหม?"
หญิงสาวเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบ "...ได้ค่ะ"
เอี๊ยด
ประตูเหล็กเปิดออก
เฉินนั่วรีบทักทายอย่างสุภาพ "ขอโทษที่รบกวนนะครับ สวัสดี... เอ๊ะ???" ปกติเขาแทบไม่เคยเสียอาการต่อหน้าผู้หญิง นอกจากจะควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ
เขาประหลาดใจที่พบว่าผู้หญิงตรงหน้าดูคุ้นตามาก คุ้นมากๆ คล้ายกับเวอร์ชั่นวัยใสของใครบางคน
แค่คางไม่ได้แหลมขนาดนั้น หน้าก็ยังไม่ได้ตึงขนาดนั้น จะว่าสวยมากก็ไม่ใช่ แต่จะว่าไม่สวยก็ไม่ได้ โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกเป็นเด็กสาวที่ทั้งซนและฉลาด
เด็กสาวสะดุ้งกับปฏิกิริยาแปลกๆ ของเฉินนั่ว แรกๆ ก็ก้มลงสำรวจเสื้อผ้าตัวเองตามสัญชาตญาณ ให้แน่ใจว่าครั้งนี้ใส่เสื้อผ้าครบถ้วน จากนั้นจึงขมวดคิ้วถามอย่างงุนงง "มีอะไรเหรอ?"
"อ๋อ ไม่มีอะไรครับ" เฉินนั่วรีบกลับสู่ภาวะปกติ ยิ้มให้เล็กน้อย "คุณดูคล้ายเพื่อนคนหนึ่งของผมมาก"
"จริงเหรอ?" เด็กสาวจ้องมองเขาอย่างครึ่งเชื่อครึ่งสงสัย
เฉินนั่วพยักหน้าอย่างมั่นใจ "ครับ เธอนามสกุลหยาง"
เด็กสาวดูประหลาดใจ "เอ๊ะ บังเอิญจัง ฉันก็นามสกุลหยางเหมือนกัน"
เฉินนั่วยิ้ม "ผมชื่อเฉินนั่วครับ คุณชื่ออะไร?"
"ฉันชื่อหยางมี่ค่ะ มี่ ในคำว่าเพลงมี่มี่"
เฉินนั่วไม่ได้คุ้นเคยกับวงการบันเทิงมากนัก แต่คนนี้ดังมาก สำคัญกว่านั้นคือเขาเคยมีแฟนที่เป็นแอนตี้แฟนตัวยงของเธอ คอยป้อนข่าวลือไม่ว่าจริงหรือเท็จใส่หูเขาทุกวัน ทำให้เขาจำเป็นต้องรู้จักเธอไปโดยปริยาย
สายตาของหยางมี่หยุดอยู่ที่ใบหน้าของเฉินนั่วสองสามวินาที แล้วเธอก็เบี่ยงตัวหลบ "เฉินนั่ว... สวัสดีค่ะ เชิญเข้ามา"
ห้องนั่งเล่นกว้างขวางสว่างไสว แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา เพิ่มประกายอบอุ่นให้กับวอลล์เปเปอร์สีเขียวอ่อน
โซฟาหนังสีขาวมีโต๊ะกาแก้วใสวางอยู่ด้านหน้า บนโต๊ะมีจานผลไม้เรียบง่าย มีกล้วยหนึ่งลูกกับแอปเปิ้ลสองลูก
บนระเบียง ต้นไม้เขียวชอุ่ม กระบองเพชรสีขาวดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาใต้แสงแดด
เฉินนั่ววางกระเป๋าไว้ที่ประตู แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างเป็นธรรมชาติ หางตาเหลือบเห็นรอยน้ำบนพื้น ทอดยาวจากห้องน้ำไปถึงประตูห้องนอน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เขาแทบไม่ทันได้เห็นอะไรชัดเจน แค่เห็นสองคำ: ขาว, ใหญ่ ไม่แปลกที่พวกแอนตี้แฟนจะด่าแต่หน้าหรือไม่ก็เท้าของเธอ ไม่มีใครด่าหน้าอกเลย
แต่เธอไม่ใช่คนปักกิ่งหรอกเหรอ? ทำไมถึงมาเช่าห้องที่นี่?
มันดูแปลกๆ
เขาไม่พูดอะไรสักพัก หยางมี่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวข้างๆ ดูอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด พยายามหาเรื่องคุย "คุณกินแอปเปิ้ลไหมคะ? ฉันล้างให้"
"ไม่ต้องลำบากครับ" เฉินนั่วยิ้มให้เธออย่างสุภาพ "ขอบคุณนะครับ คุยกันดีกว่า คุณยังจะอยู่ต่อไหม?"
หยางมี่ชะงัก "คุณหมายความว่ายังไงคะ?"
เฉินนั่วตอบ "ถ้าคุณอยากอยู่ ไม่กลัวว่าผมจะมีปัญหาอะไร ก็อยู่เลยครับ ห้องก็ใหญ่ขนาดนี้ ผมคนเดียวก็อยู่ไม่หมด แต่ถ้าคุณไม่อยากอยู่ ก็หาเวลาย้ายออก ผมไม่เร่งหรอก"
หยางมี่พูด "จริงๆ แม่ก็เร่งให้ฉันกลับบ้านตลอด แต่ฉันคิดว่าที่นี่ใกล้โรงเรียนกวดวิชา เลยยังเช่าอยู่ เมื่อวันก่อนเจ้าของห้องบอกแล้ว คืนเงินให้แล้วด้วย แต่เมื่อวานเลิกเรียนดึก ก็เลยขี้เกียจย้าย ไม่คิดว่า..."
"ไม่มีใครคาดคิดหรอก" เฉินนั่วเห็นด้วย
บรรยากาศเงียบลง ดูอึดอัดขึ้นมา
และนี่เป็นความตั้งใจของเฉินนั่ว
เป็นเทคนิคขั้นสูงของเจ้าชู้ ใช้ความอึดอัดสร้างบรรยากาศชวนพิศวง เพื่อลดระยะห่าง
"แล้วคุณมาเช่าที่นี่ ก็เพราะจะมาเรียนพิเศษเตรียมสอบสถาบันภาพยนตร์ใช่ไหมครับ?" เฉินนั่วรู้สึกว่าถึงจังหวะพอดี จึงทำลายความเงียบ
หยางมี่ตอบรับอย่างรวดเร็ว "ใช่ค่ะ อ้าว หรือว่าคุณก็...?"
เฉินนั่วยิ้มน้อยๆ "ใช่ครับ เราเป็นเพื่อนร่วมสอบ เฮ้อ คุณว่ามันยากขนาดที่เขาว่ากันจริงๆ เหรอ?"
นี่เป็นเทคนิคขั้นต้นๆ หาหัวข้อที่อีกฝ่ายต้องสนใจแน่ๆ แล้วตั้งท่าเป็นผู้ฟังที่ดี
ยี่สิบนาทีต่อมา เฉินนั่ว ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการจีบ กำลังจัดข้าวของในห้องนอนเล็ก
หยางมี่ยืนอยู่ที่ประตู พูดอย่างเกรงใจ "คุณจะอยู่ห้องเล็กจริงๆ เหรอ?"
"ได้สิครับ ห้องใหญ่มันกว้างเกินไป ถึงมีฮีตเตอร์ผมก็หนาว ผมเป็นคนภาคใต้ไง กลัวความหนาว"
หยางมี่หัวเราะ "จะเป็นไปได้ยังไง? เอ่อ งั้นขอบคุณนะคะ ถือว่าฉันเช่าห้องคุณแล้วกัน เดี๋ยวจะเอาค่าเช่าให้"
"โอเค" เฉินนั่วไม่ได้เกรงใจ
สักพัก เฉินนั่วจัดของเสร็จ เดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น เห็นหยางมี่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา มือถือแอปเปิ้ลกัดไปด้วย
พอได้ยินเสียงเฉินนั่วเดินออกมา เธอหันมา ถาม "จัดเสร็จแล้วเหรอ? นี่ค่าเช่าค่ะ ให้คุณ" ว่าแล้วก็ล้วงธนบัตรสีแดงสดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ยื่นให้เฉินนั่ว
เฉินนั่วนับเบาๆ 4 ใบ
ไม่ได้ถามว่าทำไมถึงเป็นจำนวนนี้ รับมาเลย
หยางมี่ดูผ่อนคลายขึ้น พยายามหาเรื่องคุย "คุณเคยดูซีรีส์นี้ไหม? จี้เสี่ยวหลาน ภาค 3"
เฉินนั่วชายตามองทีวี เป็นซีรีส์ที่เขาเคยดูซ้ำไปซ้ำมาตอนปิดเทอมฤดูร้อน หลังจากนั้นก็มีภาค 4 ออกมา แต่นั่นเป็นแค่การต่อบทแบบฝืนๆ
"เคยดูนิดหน่อย คุณว่าเป็นไง?"
"สนุกดีค่ะ ซีรีส์นี้เด่นที่นักแสดงแสดงเก่งมากๆ ล้วนแต่เป็นนักแสดงมากฝีมือ รุ่นพี่ในวงการ อาจารย์ให้พวกเราดูอย่างตั้งใจ ให้สังเกตว่าพวกเขาแสดงกันยังไง"
เฉินนั่วไม่คิดว่าหยางมี่ในตอนนี้จะมีใจรักการแสดงขนาดนี้ ไม่เหมือนในอนาคตที่พึ่งแต่กระแส คอยหาเรื่องดราม่า จนแทบจะกินหม้อข้าวคนอื่นหมด
แม้ว่าตอนนี้เขาจะสนใจเรื่องการแสดงมากเหมือนกัน แต่ท้องก็หิวอยู่ เลยไม่ได้ต่อบท "ผมจะออกไปหาอะไรกิน คุณจะไปด้วยไหม?"
หยางมี่หัวเราะคิก "ไม่ล่ะค่ะ ฉันไม่กินมื้อเย็น คุณไปเถอะ"
เฉินนั่วจึงออกไปคนเดียว ไปกินที่ร้านอาหารเล็กๆ นอกหมู่บ้าน หลังจากนั้นก็ไม่ได้รีบกลับ แต่ทำตามนิสัยคนวัยกลางคนที่ชอบย่อยอาหารหลังมื้อ เดินเล่นไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย
ชาติที่แล้วเขาเคยมาปักกิ่งหลายครั้ง แต่ปักกิ่งในช่วงเวลานี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ทิวทัศน์ที่นี่แตกต่างจากที่อื่นในประเทศโดยสิ้นเชิง ตึกระฟ้าทันสมัยอยู่ร่วมกับหูถงและซือเหอย่วนแบบดั้งเดิมได้อย่างกลมกลืน บนถนนเส้นเดียวกัน ฝั่งหนึ่งยังคงบรรยากาศของยุค 60 แต่พอข้ามไปอีกฝั่ง คุณก็อาจก้าวเข้าสู่ประตูแห่งศตวรรษใหม่
ตอนนั้นเอง เขาสังเกตเห็นป้ายถนนข้างทาง เดินมาถึงแถวสถาบันภาพยนตร์แล้ว
มาถึงแล้ว ก็ลองแวะดูสักหน่อยดีกว่า
(จบบทที่ 3)