บทที่ 3 จะรักษาหัวใหญ่หรือหัวเล็กดี?
หลินเฟิงเหมียนเดินกลับห้องอย่างหัวเสีย ก่อนจะหยิบหยกปลาคู่ขึ้นมาวางบนอก แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
เขานึกขึ้นได้ว่าฝันร้ายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มีสภาวะมั่นคง สามวันครั้ง!
ถ้าอย่างนั้น แปลว่าถึงอยากจะไปเอาเรื่องนาง ก็ต้องรออีกสามวันงั้นหรือ?
แต่ตอนนั้นตัวเองคงกลายเป็นผีไปเรียบร้อยแล้วสินะ
หลินเฟิงเหมียนนั่งดื่มน้ำเย็นเป็นกาเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วคิดว่า "หวังพึ่งใครไม่ได้ ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น"
เมื่อศัตรูแข็งแกร่งกว่ามาก การเผชิญหน้าโดยตรงจึงเป็นไปไม่ได้ เขาจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์แทน
หลิวเม่ยเป็นผู้บ่มเพาะระดับสร้างฐานขั้นสูงสุด หนึ่งในศิษย์หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดบนยอดเขาหงหลวน
ในยอดเขาหงหลวนมีเพียงศิษย์น้องของนาง เฉินชิงเยี่ยน ที่สามารถทัดเทียมกับหลิวเม่ยได้
แต่เฉินชิงเยี่ยนไม่คุ้นเคยกับหลินเฟิงเหมียน ถึงเขาจะรู้สึกดีกับนาง แต่นางอาจไม่ช่วยเขาก็ได้
ในสถานการณ์ที่ไร้ทางเลือก หลินเฟิงเหมียนคิดว่าบางทีเขาอาจต้องตัดสินใจยอมเสีย 'ส่วนหนึ่ง' ของร่างกายเพื่อเอาชีวิตรอด
หากเขาตัดทิ้งสิ่งสำคัญ นางคงดูดพลังชีวิตเขาไม่ได้อีกต่อไป
นี่คือทางเลือกสุดท้าย แม้ว่าผู้บ่มเพาะที่มีพลังสูงสามารถงอกอวัยวะใหม่ได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าส่วนที่เขาคิดจะเสียไปจะฟื้นคืนได้หรือไม่
สิ่งที่หลินเฟิงเหมียนถูกพาเข้ามาในสำนักและได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ต้องเกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่รับเขาเข้าเป็นศิษย์
แต่เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของนาง หรือเหตุผลที่นางรับเขาเข้ามา
เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี?
ทันใดนั้น หลินเฟิงเหมียนพลันนึกถึงใครบางคน รีบผุดลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังยอดเขาชิงหลวนที่อยู่ติดกับยอดเขาหงหลวน
แม้สำนักเหอฮวนจะเต็มไปด้วยศิษย์หญิงผู้เย้ายวน แต่พวกนางไม่ได้เริ่มต้นเช่นนั้นตั้งแต่เข้ามาแรกๆ
ศิษย์หญิงของสำนักจะต้องรักษาพรหมจรรย์จนกว่าจะถึงระดับสร้างฐาน ดังนั้นก่อนหน้านั้นพวกนางจะพักอยู่ที่ยอดเขาชิงหลวน
เมื่อไปถึงยอดเขาชิงหลวน หลินเฟิงเหมียนถูกหยุดโดยศิษย์หญิงผู้เฝ้าประตู พวกนางมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัย
ศิษย์หญิงคนหนึ่งหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า "ศิษย์น้อง เจ้าคงมาผิดที่แล้วล่ะสิ?"
หลินเฟิงเหมียนรีบยิ้มและกล่าวอย่างนอบน้อม "ศิษย์พี่หญิง ข้ามาตามคำสั่งของศิษย์พี่หญิงหลิวจากยอดเขาหงหลวน เพื่อพบศิษย์น้องเซี่ยอวิ๋นซี"
เขายื่นป้ายคำสั่งที่ใช้ผ่านทางจากยอดเขาหงหลวน ซึ่งหลิวเม่ยมอบให้เขาใช้จัดการศพ
ศิษย์หญิงที่เฝ้าประตูไม่สงสัยอะไร เพราะไม่น่าจะมีใครกล้าปลอมคำสั่งจากยอดเขาหงหลวน
ศิษย์พี่หญิงบนยอดเขาหงหลวนมักจะเรียกศิษย์หญิงจากยอดเขาชิงหลวนไปฝึกฝนเป็นครั้งคราว
"เจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปตามตัวนางให้"
ศิษย์หญิงคนนั้นยิ้มเย้ายวนก่อนจะเดินจากไปด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย แต่หลินเฟิงเหมียนไม่กล้ามองตาม
เพื่อความอยู่รอดในสำนักเหอฮวน การควบคุมสายตาตนเองเป็นเรื่องสำคัญมาก
ไม่นาน ศิษย์หญิงอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีเดินออกมา
เซี่ยอวิ๋นซีเป็นโฉมสะคราญนางหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกายดุจดารา ใบหน้าราวภาพวาด ผิวขาวผุดผาดปานหิมะ เผยความงามไร้เดียงสาแต่แฝงเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหล
แม้จะยังอ่อนเยาว์ แต่นางก็เปล่งประกายความงามที่ยากจะละสายตา
เมื่อเห็นหลินเฟิงเหมียน นางก็หน้าแดงและถามอย่างเขินอายว่า "ศิษย์พี่หลิน ศิษย์พี่หญิงหลิวเรียกข้าไปที่ยอดเขาหงหลวนหรือเจ้าคะ?"
หลินเฟิงเหมียนพยักหน้า "ใช่ ศิษย์น้องเซี่ย ไปกับข้าเถิด"
เซี่ยอวิ๋นซีก้มหน้าตอบรับ แต่กลับชะงักฝีเท้าอย่างลังเล
นางเป็นคนขี้อาย แม้แต่การอ่านตำราฝึกฝนก็ทำให้นางหน้าแดงได้ และมักจะหาทางหลบเลี่ยงการฝึกฝนจริง
ครั้งหนึ่ง นางหลบหนีออกมาแล้วพบหลินเฟิงเหมียนซึ่งกำลังรอเก็บศพอยู่หน้าประตู
เสียงจากการฝึกฝนภายในห้องยังดังออกมาไม่ขาดสาย
หลินเฟิงเหมียนและเซี่ยอวิ๋นซีได้แต่มองหน้ากันด้วยความกระอักกระอ่วน
หลินเฟิงเหมียนทักทายนางด้วยรอยยิ้ม ส่วนเซี่ยอวิ๋นซีก็หน้าแดงจนอยากจะขุดหลุมหนีจากตรงนั้นไปเลย
หลินเฟิงเหมียนแต่เดิมคิดว่าเขาเป็นเพียงเป้าหมายหนึ่งที่จะถูกดูดกลืนพลังชีวิตจนกลายเป็นศพแห้งเช่นเดียวกับคนอื่น แต่ใครจะคิดว่าเขากลับรอดมาได้จนถึงตอนนี้
เขาและเซี่ยอวิ๋นซีมักจะพบกันที่ยอดเขาหงหลวน หลินเฟิงเหมียนพูดคุยกับนางเป็นครั้งคราว จนในที่สุดทั้งสองก็เริ่มสนิทสนมกัน
หลินเฟิงเหมียนพบว่าเซี่ยอวิ๋นซีแตกต่างจากศิษย์หญิงคนอื่น นางเป็นคนเรียบง่ายและขี้อาย ดูไม่เข้ากับบรรยากาศของสำนักเหอฮวนเลย
แม้เซี่ยอวิ๋นซีจะมีพรสวรรค์สูง และยังมีร่างกายที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนศาสตร์สำนักเหอฮวนโดยเฉพาะ แต่เพียงแค่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการฝึกคู่บำเพ็ญก็หน้าแดงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการเห็นภาพจริง
ทุกครั้งที่เซี่ยอวิ๋นซีเห็นศพของบุรุษที่ถูกดูดกลืนพลังชีวิต นางก็แสดงท่าทีสงสารอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หลินเฟิงเหมียนรู้สึกใกล้ชิดกับนาง
ตลอดสามปีที่ผ่านมา หลินเฟิงเหมียนได้เห็นเซี่ยอวิ๋นซีเติบโตจากเด็กสาวผอมบางกลายเป็นหญิงสาวผู้เลอโฉน
ในสายตาของหลินเฟิงเหมียน ทั้งสองมีความผูกพันกันอยู่บ้าง เพราะเซี่ยอวิ๋นซียอมพูดคุยกับเขาและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน หลินเฟิงเหมียนไม่มีทางเลือก จึงหวังว่าเซี่ยอวิ๋นซีจะช่วยเหลือเขาโดยการหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่รับเขาเข้ามาในสำนัก
ระหว่างที่ทั้งสองเดินไปตามทางในภูเขา หลินเฟิงเหมียนพลันดึงเซี่ยอวิ๋นซีเข้าไปในป่าทึบข้างทาง
เซี่ยอวิ๋นซีตกใจจนหน้าซีด ถามด้วยเสียงสั่น "ศิษย์พี่ ท่านจะทำอะไร?"
"ชู่ว์!"
หลินเฟิงเหมียนทำมือให้เงียบก่อนจะดึงนางเข้าไปลึกกว่าเดิม
เซี่ยอวิ๋นซีหน้าแดงจัด นางเคยได้ยินเรื่องศิษย์หญิงบางคนชอบทำเรื่องไม่เหมาะสมกลางแจ้ง
หลินเฟิงเหมียนคงไม่คิดจะทำเรื่องเช่นนั้นกับนางหรอกใช่ไหม?
ความคิดในหัวนางวุ่นวายไปหมด จนกระทั่งหลินเฟิงเหมียนหยุดเดิน นางเผลอเดินชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาและยืนมึนงง
เมื่อมองไปรอบๆ นางพบว่าพวกเขาอยู่ในป่าลึก เงียบสงัดไร้ผู้คน นางจึงหน้าแดงและกล่าวเสียงเบา "ศิษย์พี่...ข้า...ข้าทำไม่ได้"
"อะไรทำไม่ได้?" หลินเฟิงเหมียนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
"ข้ายังไม่ได้ถึงระดับสร้างฐาน..." เซี่ยอวิ๋นซีก้มหน้าตอบเสียงแผ่วเบา
"เจ้าพูดเรื่องอะไร? ศิษย์น้องเซี่ย ครั้งนี้อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของเราแล้ว!" หลินเฟิงเหมียนเอ่ยเสียงเศร้า
เซี่ยอวิ๋นซีตกใจ รีบเงยหน้าขึ้นถาม "ศิษย์พี่ ท่านเป็นอะไรไป?"
หลินเฟิงเหมียนตอบเสียงขม "อีกสองวันข้าต้องไปที่ห้องของศิษย์พี่หญิงหลิวเพื่อ 'ทดสอบ' เจ้าก็รู้ว่ามันหมายถึงอะไร"
คำพูดของเขาทำให้เซี่ยอวิ๋นซีตกตะลึง นางอุทาน "ศิษย์พี่ ท่านไม่ต้อง 'ทดสอบ' ไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดจู่ๆ..."
ตลอดสามปีที่ผ่านมา เซี่ยอวิ๋นซีมองว่าหลินเฟิงเหมียนคอยดูแลตนเอง เป็นเหมือนสหายวัยเด็ก นางไม่คิดเลยว่าหลินเฟิงเหมียนจะต้องพบจุดจบเช่นนี้
หลินเฟิงเหมียนถอนหายใจ "ข้าไม่เคยถูกเรียกตัวเพราะผู้ที่รับข้าเข้ามาในสำนักคอยคุ้มครองข้า แต่ดูเหมือนตอนนี้นางจะไม่อยู่แล้ว ศิษย์พี่หญิงหลิวถึงได้กล้าเรียกข้า"
เซี่ยอวิ๋นซีหน้าซีด รีบกล่าวอย่างร้อนรน "แล้วจะทำอย่างไรดี? ข้าจะไปขอร้องศิษย์พี่หญิงหลิวให้ปล่อยท่าน"
หลินเฟิงเหมียนรู้ว่าการขอร้องจะไม่มีผลอะไร และเขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยงเดิมพันกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
เขาตัดสินใจเปิดเผยความรู้สึก เขาจับมือเล็กๆ ของเซี่ยอวิ๋นซี จ้องมองนางด้วยสายตาจริงจัง
"ศิษย์น้องเซี่ย ข้าไม่ได้หวังให้เจ้าช่วย ข้าเพียงแค่อยากบอกความรู้สึกของข้าให้เจ้ารู้เท่านั้น"
"ข้าชอบเจ้า ข้าชอบเจ้ามานานแล้ว ข้าหวังเพียงว่า หากข้าต้องตาย ก็อยากตายในมือของเจ้า"
หลินเฟิงเหมียนทำท่าทางเศร้าสร้อยแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ ก่อนจะยื่นถุงมิติเก่าคร่ำคร่าให้เซี่ยอวิ๋นซี
"นี่เป็นของที่ข้าสะสมมาตลอดหลายปี เป็นเพียงหินวิญญาณเล็กๆ น้อยๆ แต่ข้ามอบให้เจ้า เพื่อช่วยให้เจ้าเดินบนมรรคาสายเซียนต่อไป และข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ลืมข้า"