ตอนที่แล้วบทที่ 11 : คลั่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 : บทสนทนาในรถตู้กลางสายฝน

บทที่ 12 : ต้องได้รางวัลม้าทองคำให้ได้


ฮึ ต้องแลกด้วยชีวิตกว่าจะได้ห้องเตียงใหญ่มา

นอนไม่หลับ เฉินนั่วลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ แล้วกลับมานอนบนเตียง ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปไกล

จริงๆ แล้ว การถ่ายทำวันนี้เหนื่อยมาก เป็นความเหนื่อยที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนในสองชาติที่ผ่านมา แม้แต่ตอนคุยเรื่องชีวิตกับเพื่อนผู้หญิงสามคนพร้อมกันก็ยังไม่เหนื่อยขนาดนี้

แต่... ทำไมถึงรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกด้วย?

เฉินนั่วคิดอยู่นาน ก็ยังหาคำตอบไม่ได้

คิดไปคิดมา เฉินนั่วก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเห็นแสงอรุณริบหรี่ลอดผ่านช่องม่าน นอกประตูมีเสียงคนคุยกัน เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของจางอี้อี้

เฉินนั่วถูตาที่ยังง่วงงุน เดินไปที่ประตู

พอเปิดประตู สายตาหลายคู่ทั้งของจางอี้อี้ หลี่เสี่ยวเถียน และคนอื่นๆ อีกสองคนก็จ้องมาที่เขาพร้อมกัน

"ฮู้..." จางอี้อี้ถอนหายใจยาว "เฉินนั่ว ถ้านายไม่ตื่นอีก พวกเราคงต้องโทรเรียก 120 (เบอร์โรงพยาบาล) แล้วล่ะ"

พี่ช่างกล้องก็อยู่ด้วย แต่เช้าตรู่แบบนี้เสียงเขายังก้องกังวานเหมือนเดิม "ผู้กำกับ ผมบอกแล้วว่าเฉินนั่วไม่มีอะไรหรอก เคยดูดราก้อนบอลไหม? นี่เหมือนกับซุนโกคูตอนแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่านครั้งแรกเลย หลังจากปลดปล่อยพลังออกมา ต้องมีช่วงอ่อนแอ พักฟื้นแล้วก็จะดีขึ้นเอง"

จางอี้อี้ไม่สนใจเขา หันไปพูดกับเฉินนั่ว "นายรู้ไหม นายหลับไปเกือบ 30 ชั่วโมงแล้ว แผนถ่ายทำวันนี้เตรียมพร้อมแล้ว ตอนนี้นายไหวไหม ออกเดินทางได้ไหม?"

เฉินนั่วพยักหน้า "ได้ครับ ขอผมห้านาทีครับ"

ข้อดีของการถ่ายหนังเรื่องนี้คือไม่ต้องแต่งหน้า 2 ชั่วโมง แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เมื่อเฉินนั่วกลับมายืนบนเนินเขาอีกครั้ง พยายามหาความรู้สึกเหมือนเมื่อวานซืน แต่กลับพบว่าไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็ยังขาดอะไรบางอย่างไป เหมือนกับว่าในอากาศที่หายใจเข้าไปขาดออกซิเจนที่สำคัญไปหนึ่งอณู

ตอนนี้เขาต้องถ่ายฉากสำคัญ

ใบ้ขุดดินมาห้าปี วันนี้ในที่สุดเขาก็ขุดบ้านในฝันออกมาได้

และสิ่งที่เฉินนั่วต้องแสดงคืออารมณ์ของใบ้ในช่วงเวลานี้

"คัท! เฉินนั่ว มาหาพี่หน่อย"

หลังจากตะโกน "คัท!" สองครั้ง จางอี้อี้ก็เรียกเฉินนั่วมาหา ถามด้วยสีหน้าขมวดคิ้ว "เป็นอะไรไป?"

เฉินนั่วไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่พูดว่า "ผมรู้สึกไม่ค่อยเข้าถึงครับ"

จางอี้อี้ถอนหายใจ "นายรู้สึกว่าวันนี้ถ่ายไม่มีฟีลเหมือนวันนั้นใช่ไหม?"

"ใช่ครับ"

"แล้วนายรู้ไหมว่าวันนั้นพี่เห็นนายแล้วรู้สึกยังไง?"

"รู้สึกยังไงครับ?"

"ปาฏิหาริย์"

"..."

"อย่าคิดว่าพี่ล้อเล่นนะ ตอนที่นายยืนขุดดินอยู่ตรงนั้น พี่รู้สึกเหมือนกำลังดูเหลียงเฉาเหว่ยในหนังเรื่องอาเฟย และโจวซิงฉือในไซอิ๋ว นายอย่าลืมสิ นี่เพิ่งเป็นหนังเรื่องแรกของนาย ถ้านี่ไม่ใช่ปาฏิหาริย์แล้วจะเป็นอะไร? แต่ในขณะเดียวกัน นายต้องรู้ด้วยว่า แม้แต่พี่เหว่ยหรือพี่ซิงฉือ ก็ไม่สามารถรักษาฟอร์มสุดยอดได้ทุกเรื่อง นักแสดงมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านายถอยหลัง เข้าใจไหม?"

เฉินนั่วเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า

จางอี้อี้ตบไหล่เฉินนั่ว "จำไว้ อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป นักแสดงเก๋าๆ ที่เล่นหนังมาทั้งชีวิตยังบอกเลยว่า การแสดงเป็นทั้งศิลปะและการค้นหา แม้จะค้นหามาทั้งชีวิต ก็ยังหาจุดสิ้นสุดไม่เจอ จริงๆ แล้วการแสดงของนายวันนั้นได้พิสูจน์ศักยภาพของนายแล้ว ตอนนี้ สิ่งที่นายต้องทำคือค้นหาต่อไป ในการค้นหาที่ไม่มีใครรู้นั้น ลองหาทิศทางที่ทำให้นายตื่นเต้นอีกครั้ง ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป"

"ครับ ผมเข้าใจแล้ว"

"โอเค งั้นมาลองอีกครั้ง"

เฉินนั่วกลับไปที่ฉาก ปรับสภาพจิตใจ เขาหลับตา หายใจลึก ปล่อยให้ตัวเองผ่อนคลาย กลับไปสู่ภาพวาดนั้น แทนที่จะนึกถึงตัวเองที่กำลังวาดภาพ

เมื่อกล้องเริ่มถ่ายอีกครั้ง

ใบ้กลับมาแล้ว

เขาหลังค่อม มือสั่น ยืนอยู่บนเนินเขา เงยหน้าที่เปื้อนดินเหลือง มีรอยน้ำตาสองทาง กำมือแน่น อ้าปากแต่ไม่มีเสียงใดๆ ออกมา

ทำให้คนสงสัย เขาทำอะไรน่ะ?

เขาเป็นใบ้นะ น่าขันจริง หรือว่าเขาอยากจะตะโกนออกมา?

แต่ใบ้ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ คอของเขาแดงก่ำ ค่อยๆ บีบเค้นจากลำคอ เหมือนกำลังบีบพยาธิที่อาศัยอยู่ในร่างกายมานานหลายปี

ฮ่อ ฮ่อ ฮ่อ ฮ่อ

อื้อ อื้อ อื้อ อื้อ

อ้าาาาาาา!

ในที่สุด เสียงคำรามดังราวฟ้าผ่าก็พุ่งออกมาจากลำคอของเขา

กรงขังยี่สิบปีแตกสลายลงแล้ว

ใบ้เริ่มตะโกนใส่ท้องฟ้า เส้นเลือดปูดโปน ใบหน้าบิดเบี้ยว

ที่แท้ใบ้ไม่ได้เป็นใบ้ แค่คนเรียกเขาว่าใบ้ เขาก็เลยต้องเป็นใบ้

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยใช้ภาษามือ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาได้ยินทุกคำพูดของเสี่ยวจู๋

ตอนนี้ ใบ้ไม่ใช่ใบ้อีกต่อไป เขาปล่อยเสียงคำรามของตัวเองออกมา ใส่ท้องฟ้าที่มืดมิดและพื้นดินที่เงียบสงัด

ความกดดันและความเจ็บปวดตลอดยี่สิบปี ราวกับถูกระบายออกมาหมดในเสียงคำรามนี้

จางอี้อี้มองจอมอนิเตอร์ ตบต้นขาดังปัง ตะโกน "ดีมาก! คัท!"

เขาลุกขึ้นยืน พูดเสียงดัง "นี่แหละฟีลที่ใช่ เฉินนั่ว นายต้องจำความรู้สึกนี้ไว้ พี่รับประกันเลยว่าสักวันนายต้องได้รางวัลม้าทองคำแน่นอน!"

......

......

วันถ่ายทำวันสุดท้าย ฝนตกหนักในเมืองอำเภอ

หลี่เสี่ยวเถียนเพิ่งประกาศจบการถ่ายทำ ท้องฟ้าก็เริ่มหยดน้ำลงมาสองสามหยด ตามด้วยสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง

พี่ช่างกล้องหิ้วกล้องวิ่งสุดชีวิต พอวิ่งขึ้นรถตู้มินิบัสได้ก็พูดว่า "ผู้กำกับครับ มันมหัศจรรย์มาก ถ่ายมาเกือบครึ่งเดือน ไม่มีฝนตกสักหยด พอถ่ายเสร็จปุ๊บฝนก็ตกปั๊บ รู้สึกเหมือนสวรรค์ช่วยเราจริงๆ ผมว่าหนังเรื่องนี้ต้องดังแน่ๆ ตอนขึ้นรายชื่อทีมงานอย่าพิมพ์ชื่อผมผิดล่ะ สวี่จุ้น สวี่ตัวนี้เป็นสวี่ในอู๋จื่อสวี่นะครับ ไม่ใช่สวี่ในคำว่าอนุญาต แล้วก็ต้องเขียนว่าผู้กำกับภาพ ไม่ใช่ช่างภาพนะครับ"

"พี่สวี่ ผมจะจำชื่อพี่ผิดได้ยังไง วางใจได้ ต้องใส่ตำแหน่งผู้กำกับให้พี่แน่นอน" จางอี้อี้รับปาก

เขาก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย สายฝนที่เทกระหน่ำลงมานอกหน้าต่างทำให้เกิดเสียงดังปังๆ ราวกับปืนกลกำลังยิงใส่พวกเขา หยดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วทำให้ทุกอย่างเบื้องหน้าพร่าเลือน มองออกไปจากในรถเห็นแต่ความขาวโพลนไปหมด ไม่เห็นอะไรเลย

"เรารอกันที่นี่สักพักดีกว่าครับ ฝนตกหนักเกินไป ขับขึ้นเขาตอนนี้อันตราย" คนขับรถหันมาบอก

"ใช่ๆ ฝนตกหนักแบบนี้น่ากลัวจริงๆ รอให้ซาลงหน่อยค่อยไป" หลี่เสี่ยวเถียนก็ยังใจหายใจคว่ำ หันไปพูดกับพี่ช่างกล้องว่า "พี่สวี่พูดถูก พวกเรานี่มีพระคุ้มครองจริงๆ ไม่งั้นจะบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง"

"มีคำพูดหนึ่งบอกว่า 'เมื่อโชคมาแม้ฟ้าดินก็เป็นใจ เมื่อวาสนาหมดแม้วีรบุรุษก็ช่วยตัวเองไม่ได้' ตอนนี้พวกเราคงอยู่ในช่วงดวงกำลังพุ่ง โชคลาภกำลังเข้า ผู้กำกับครับ ผมชื่อเหอหยางจื๋อ เหอในคำว่าแสดงความยินดี หยางในคำว่าต้นหยาง ผมเป็นผู้กำกับแสงและศิลปกรรม อย่าพิมพ์ชื่อผมผิดด้วยนะครับ" ชายวัยราวๆ 30 แทรกขึ้นมา

(จบบทที่ 12)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด