บทที่ 12 ดอกหอมหมื่นลี้
บทที่ 12
ก๊อกๆ… ก๊อกๆ…
ในฝ่ามือของหลี่ชิงซาน มีศิลาวิญญาณสีเขียวใสห้าก้อนที่กระทบกันเบาๆ ขณะที่เขาบีบมันไปมา
เขาหลับตาลง และเริ่มโคจรเคล็ดวิชาเพลิงประกายดาว
【เคล็ดวิชาเพลิงประกายดาว: ขั้นเหลือง ระดับสอง (45%)】
【วันนี้เก็บพลังแสงได้ครบ 500 ดวงแล้ว (ถึงขีดจำกัดแล้ว!)】
【ได้รับอายุขัยเพิ่ม: 15 วัน】
【อายุขัยปัจจุบัน: 24 ปี】
เหลือเพียง 24 ปีเท่านั้น...
ในขณะที่เคล็ดวิชาเพลิงประกายดาวโคจร โลหิตทั่วร่างของหลี่ชิงซานเริ่มเคลื่อนไหวแรงขึ้น สำหรับเขา เคล็ดวิชาเพลิงประกายดาวนี้ไม่เพียงเป็น
หนทางสู่ความเป็นอมตะ แต่ยังเป็นสุดยอดเคล็ดลับภายในที่เพิ่มความแข็งแกร่งอีกด้วย
เขาตระหนักถึงความล้ำลึกของมันมากขึ้น หลังจากการต่อสู้ในวันนี้
พูดง่ายๆ ก็คือ มันช่วยเสริมกำลัง ความเร็ว และความอึด
กร๊อบ!
ศิลาวิญญาณทั้งห้าก้อนแตกออก เส้นพลังวิญญาณบางเบาราวเส้นผมค่อยๆ ไหลเข้าสู่ร่างของหลี่ชิงซาน
ตอนแรกเขายังสงสัยว่าควรจะดูดซับพลังวิญญาณจากศิลาเหล่านี้อย่างไรดี แต่เมื่อเห็นพลังวิญญาณซึมเข้าสู่ร่างกาย เขาจึงตัดสินใจสงบจิตใจเพื่อรับรู้
การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
แต่ใครจะคิดว่า... เส้นพลังวิญญาณเหล่านั้นกลับหายลับไปเหมือนน้ำในทราย
นี่มันล้อกันเล่นหรือเปล่า?
นี่มันศิลาวิญญาณที่ขายได้ตั้งสองพันตำลึงนะ!
หายไปดื้อๆ แบบนี้?
หลี่ชิงซานมองศิลาที่หมดพลังจนหม่นหมองในมือด้วยความเจ็บใจ
【เคล็ดวิชาเพลิงประกายดาว: ขั้นเหลือง ระดับสอง (50%)】
เดี๋ยวก่อน!
ดูดซับศิลาวิญญาณช่วยเพิ่มความก้าวหน้าในการฝึกเคล็ดวิชาเพลิงประกายดาว!
ศิลาหนึ่งก้อนเพิ่มความก้าวหน้าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ถ้าอย่างนั้น แค่หาอีกห้าสิบก้อน เขาก็สามารถพัฒนาเคล็ดวิชาเพลิงประกายดาวขึ้นอีกขั้น แม้จะต้อง
ใช้วิชาดาบตัดกาลเวลาก็ตาม!
แต่ความยินดีนี้ก็ถูกทำลายทันทีด้วยความคิดแวบหนึ่ง
แล้วจะไปหาอีกห้าสิบก้อนจากไหน?
ฆ่าคนปล้นชิง?
ถ้าเจอผู้แข็งแกร่งกว่า คงต้องใช้วิชาดาบตัดกาลเวลาอีกใช่ไหม?
เขาหยิบ "บันทึกดาบตัดกาลเวลา" จากหัวเตียง และใช้ "ดินสอถ่าน" ที่เขาทำขึ้นเองจดบันทึกลงไป
ส่วนเหตุผลที่ไม่ใช้พู่กันน่ะเหรอ?
มันยุ่งยากเกินไป!
【หน้าที่ห้าในบันทึกดาบตัดกาลเวลา: ครั้งแรกที่เปิดแผงขายในเมืองฉางเฟิง ได้เงินมาไม่กี่เหรียญ แต่เลิกขายช้าไป เจอพวกชุดดำกลุ่มหนึ่ง】
【ยึดหลักเลี่ยงปัญหาถ้าเลี่ยงได้ ข้าพยายามเตือนพวกเขาแล้ว ให้ข้าไปก็จบ】
【แต่พวกนั้นไม่ฟัง... ข้าจึงต้องใช้วิชาดาบตัดกาลเวลา สูญอายุขัยไปห้าปี น่าเศร้า!】
【เป้าหมายถัดไป: รักษาชีวิต ห่างจากวิชาดาบตัดกาลเวลา... และสะสมศิลาวิญญาณเพื่อพัฒนาเคล็ดวิชาเพลิงประกายดาว】
ปึก!
เขาปิดบันทึก แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง... ไม่ทันไรก็มีเสียงกรนเบาๆ ดังขึ้น...
ควันไฟเริ่มลอยจากปล่องเตา ต้นไม้แห้งเริ่มแตกยอดใหม่
สายหมอกบางๆ ปกคลุมเมืองฉางเฟิง แสงอาทิตย์ลอดผ่านหมอกลงมา ทอแสงให้เมืองดูงดงามชวนลึกลับ...
ในลานเล็กๆ หลี่ชิงซานนั่งอยู่ที่โต๊ะหิน
บนโต๊ะมีชาร้อนหนึ่งถ้วยและขนมกลมสองชิ้น ขนาดประมาณฝ่ามือของชายวัยหนุ่ม
ขนมกลมนั้นโปรยด้วยเกสรหอมของดอกหอมหมื่นลี้อย่างเบาบาง หลี่ชิงซานหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วใส่เข้าปากเคี้ยว
รสสัมผัสเหนียวนุ่ม หอมหวานลงตัว
กลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้อบอวลในปาก ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น
แอ๊ด!
ประตูห้องพักถูกเปิดออก เซี่ยหลินที่เพิ่งตื่นเดินออกมาพร้อมดวงตาที่ดูเหมือนยังไม่ตื่นดี เมื่อได้กลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ที่ลอยมาในอากาศ
ท้องที่ว่างเปล่าก็ส่งเสียงร้องออกมา
“นี่เจ้าทำอะไรหรือ ดอกหอมหมื่นลี้ใช่ไหม?”
“ดอกหอมหมื่นลี้ ใช่” หลี่ชิงซานตอบเสียงเรียบ
“ข้า...ข้ากินได้ไหม?” เซี่ยหลินถามพร้อมหน้าแดงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
หลี่ชิงซานชี้ไปทางบ่อน้ำใกล้ๆ “ไปล้างหน้าก่อน...แล้วค่อยกิน”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยหลินรีบวิ่งไปที่บ่อน้ำ ใช้ถังไม้ดึงน้ำขึ้นมา
ตูม!
น้ำในบ่อที่นิ่งสงบเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย
หลังจากล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว เซี่ยหลินก็มานั่งที่โต๊ะหิน
เวลานั้นหลี่ชิงซานได้กินเสร็จแล้ว และกำลังไปให้อาหารม้าที่ชื่อ "เสี่ยวหง"
เซี่ยหลินหยิบขนมดอกหอมหมื่นลี้ชิ้นที่ใหญ่กว่าหน้าตัวเองขึ้นมา
ริมฝีปากแดงเปิดออกเล็กน้อย กัดขนมคำหนึ่ง
“อร่อย!”
แค่คำแรก เซี่ยหลินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม
ในฐานะเชื้อพระวงศ์ นางเคยลิ้มลองของหวานหายากมาแล้วนับไม่ถ้วน
แต่ขนมดอกหอมหมื่นลี้ที่หน้าตาธรรมดาชิ้นนี้ กลับทำให้นางรู้สึกอร่อยจากใจ
ตอนแรกนางยังกินทีละน้อย พร้อมชำเลืองมองหลี่ชิงซานที่กำลังยุ่งอยู่กับการให้อาหารม้า
แต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย นางก็ปล่อยตัวตามสบาย กินขนมชิ้นใหญ่จนหมดอย่างรวดเร็ว
จากนั้น นางดื่มชาร้อนทีเดียวหมดแก้ว รู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้าคงรู้แล้วว่า...ข้าเป็นใคร” เซี่ยหลินกล่าวพร้อมเคลียร์คอ แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกขัดขึ้น
“อืม ข้าไม่รู้ และข้าไม่อยากรู้...ไม่เกี่ยวกับข้า”
คำพูดของหลี่ชิงซานทำให้เซี่ยหลินรู้สึกสับสน
หากเป็นคนอื่นที่รู้ฐานะของนาง แล้วยังช่วยนางถึงสองครั้ง คงพยายามหาวิธีใกล้ชิดนางเพื่อผลประโยชน์
แต่นี่เขากลับทำเหมือนไม่สนใจ แถมยังดูเหมือนอยากตัดขาด
หรือเขาใช้วิธีนี้เพื่อทำให้นางประทับใจ?
“ข้าสามารถตอบแทนเจ้า...” เซี่ยหลินหยุดเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “เงินทอง อำนาจ...”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่ชิงซานหยิบย่ามตำราจากหลังม้า ตอบกลับเรียบๆ
“ไม่จำเป็น เจ้าล้างจานบนโต๊ะ ก็ถือว่าตอบแทนข้าแล้ว”
ก่อนจะเปิดประตูออกไป เขาหยุดเท้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“บนเก้าอี้หินข้างๆ มีประกาศ เจ้าลองดูสิ...”
พูดจบ หลี่ชิงซานเปิดประตูออกไปทันที ประตูปิดลงเสียงดัง
ในฐานะคนที่เคยอยู่เหนือคนทั่วไป เซี่ยหลินไม่เคยถูกปฏิเสธเช่นนี้มาก่อน
แต่แทนที่จะโกรธ นางกลับรู้สึกแปลกประหลาด
บางทีอาจเพราะเขาช่วยนางถึงสองครั้ง...
หรืออาจเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...
หรืออาจเพราะบทกวีที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกนั้น...
นางไม่แน่ใจ รู้เพียงว่าหัวใจของนางสับสนเหมือนเส้นด้ายที่ถูกม้วนพันกันยุ่งเหยิง
เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นประกาศที่ถูกวางไว้บนเก้าอี้หิน นางหยิบขึ้นมาอ่าน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
【รายงานลับจากราชสำนัก: มีสายลับของชนเผ่าหมอผีที่มีอาคมแฝงตัวในเมืองฉางเฟิงเมื่อคืนนี้ หากพบผู้ต้องสงสัย โปรดรายงานทางการทันที】
【จนกว่าจะจับสายลับได้ ประตูเมืองฉางเฟิงจะปิดไม่ให้ผู้ใดเข้าออก ยกเว้นเจ้าหน้าที่ทางการ】
【ผู้ใดรู้เห็นแล้วไม่รายงาน หรือพยายามหนีออกนอกเมือง จะถูกจัดว่าเป็นสายลับของชนเผ่าหมอผี โปรดให้ความร่วมมือกับทางการเพื่อกำจัดภัย
แฝงโดยเร็วที่สุด】
เมืองฉางเฟิงถูกปิดไม่ให้เข้าออก!
องค์ชายรอง ช่างร้ายกาจนัก!
ร่วมมือกับชนเผ่าหมอผี ใช้อาคม ส่งคนมาลอบสังหาร...
เมื่อไม่สำเร็จ ก็สั่งปิดเมืองเพื่อค้นหา
หากพบว่าคนที่ถูกอาคมแฝงตัวอยู่ในเมืองคือองค์หญิงใหญ่...
ไม่ว่าจะถูกใส่ร้ายอย่างไร แค่การที่นางหลบซ่อนในเมืองโดยไม่สนใจชะตากรรมของประชาชน ก็เพียงพอที่จะทำลายเสาหลักในการขึ้นครองบัลลังก์
ของนางแล้ว!