ตอนที่แล้วบทที่ 27 คัมภีร์วารี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 29 โอกาสอันแสนสั้น

บทที่ 28 โอกาสให้หลบหนี


บทที่ 28 โอกาสให้หลบหนี

จี้กุนซือไม่รู้ว่า นี่เป็นกลยุทธ์เล็กน้อยของตงฝูอีก่อนที่จิตสำนึกจะสลายไป เพื่อให้หลี่เหยียนมีโอกาสหนีมากขึ้น เขาถึงได้จงใจทำแผนที่ล่าสมบัติ โดยภูมิประเทศในแผนที่ เป็นจิตสำนึกที่ล่องลอยอยู่นอกร่าง ส่งข้อมูลให้ตอนที่เขาหลับอยู่ในหนังสือหยก ตอนนั้นจี้กุนซือ เพื่อหาวิธีแก้พิษไฟ จึงแทบจะเดินทางไปทุกที่ที่เขาเคยไปตอนตามหาเซียน ดังนั้นจิตสำนึกในหนังสือหยก จึงรู้ว่าเขาไปที่ไหนมาบ้าง การที่ตงฝูอีจะหาสถานที่แบบนี้ในความทรงจำเหล่านี้ นับเป็นเรื่องง่ายมาก

แต่การวาดแผนที่นี้ ก็มีรายละเอียดปลีกย่อย ระยะทางจะใกล้ไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะหาเจอเร็ว หรือพอรู้ว่าเป็นของปลอมก็จะรีบกลับมา ขณะเดียวกัน ระยะทางก็ไกลเกินไปไม่ได้ ในป่าลึกของภูเขามหามรกตมีอสูรและภูตผีที่ร้ายกาจ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนอย่างจี้กุนซือจะรับมือได้ และด้วยนิสัยของจี้กุนซือ ถ้าเข้าไปลึกเกินไป เขาคงไม่ไป เพราะถ้าไปก็มีแต่จะตายเร็วขึ้น นับว่าไม่คุ้มเสีย ดังนั้นต้องหาพื้นที่ที่เขารับได้ แล้วนำเอาภูมิประเทศของที่อื่นมาประกอบกัน ทำเป็นแผนที่ที่ดูเหมือนจริง

แบบนี้ ก็จะยืดเวลาใช้ตามหาและยืนยันได้ ในช่วงเวลานั้น หลี่เหยียนจะมีเวลาหนี แต่ครั้งที่เขาคุยกับหลี่เหยียน จิตสำนึกก็กำลังจะสลายไป กล่าวคือมีเวลาประมาณยี่สิบลมหายใจ จึงรีบพูดเรื่องสำคัญ สุดท้ายก็ได้แต่ใช้พลังปราณสุดท้ายวาดแผนที่นี้ โดยยังไม่ทันได้บอกหลี่เหยียนก็หายไปแล้ว ทำให้หลี่เหยียนไม่รู้เรื่องนี้เลย

ช่วงเที่ยงวันนี้ จี้กุนซือเอาแต่คิดว่าเรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่ และมันทำได้ไหม ถ้าเป็นที่ที่เขาคิดจริง ๆ ก็นับว่าอันตรายมาก สำหรับเขาแล้ว จะหนีรอดหรือเปล่ายังไม่รู้ และถึงแม้เขาจะไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัย แล้วหาที่ตั้งของ “เคล็ดวิชาพิษชุบชีวิต” ในแผนที่เจอ ถึงตอนนั้นจะเข้าไปในที่ซ่อนสมบัติได้ยังไง เข้าไปแล้วจะมีอันตรายอะไร ก็คาดเดาไม่ได้ แต่ถ้าไม่ไป หนังสือหยกที่เขาเฝ้ารอมาหลายปี ทั้งที่ความหวังปรากฏ ถ้าให้พลาดโอกาสมีชีวิตรอดนี้ไป เขาก็คงไม่ยอม สุดท้ายเขาก็คิดวิธีที่รอบคอบไม่ได้ จนกระทั่งหลี่เหยียนมาถึง

หลี่เหยียนเข้ามาในห้อง นั่งลง ทางด้านจี้กุนซือก็ตั้งสติ ยิ้มแล้วถามว่า “ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”

หลี่เหยียนรีบตอบอย่างนอบน้อม “เรียนท่านอาจารย์ ศิษย์รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น ประสาทสัมผัสทั้งหกก็ดีขึ้น”

จี้กุนซือได้ยินก็ดีใจ สีหน้าดูปลื้มปริ่ม “ดีแล้ว ดีแล้ว แสดงว่าเจ้าผ่านความพยายามมาช่วงหนึ่ง และบรรลุวิชาเงาพฤกษาขั้นที่หนึ่งได้สำเร็จ ความขยันของเจ้า อาจารย์ได้เห็นแล้ว ดีมาก ดีมาก แต่อย่าหลงระเริง จงฝึกฝนต่อไป ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของอาจารย์ หวังว่าจะได้เห็นเจ้าประสบความสำเร็จ แบบนี้ความพยายามของอาจารย์ก็ไม่สูญเปล่า อาจารย์จะได้ไม่ทำให้บรรพชนของสำนักผิดหวัง” พูดจบ สีหน้าที่ยินดีในตอนแรกก็กลายเป็นเศร้า

สีหน้าของหลี่เหยียนก็ดูเป็นห่วง “ท่านอาจารย์ ร่างกายของท่านต้องไม่เป็นไรขอรับ”

“ศิษย์จะไม่ทำให้สำนักผิดหวัง จะขยันฝึกฝน แต่...แต่...” หลี่เหยียนตอบอย่างหนักแน่น แต่ก็พูดตะกุกตะกัก

ตอนแรกจี้กุนซือยังมีสีหน้าเรียบเฉย พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว ถามว่า “เป็นอะไร?”

หลี่เหยียนมองจี้กุนซือ และพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ “แต่... แต่ศิษย์รู้สึกว่า หลังจากเลื่อนขั้น ถ้าไม่ใช้พลัง ก็ไม่เป็นไร พอใช้พลัง พลังร้อนในตันเถียนก็ยิ่งปั่นป่วน เหมือนศิษย์ฝึกฝนผิดพลาด”

จี้กุนซือฟังหลี่เหยียนพูดจบ ก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉย สุดท้ายหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้ เจ้าเพิ่งเลื่อนขั้น อาจารย์ยังไม่ทันได้บอก ไม่เป็นไร หนึ่ง เจ้าเพิ่งเลื่อนขั้น มันยังไม่มั่นคง สอง ก่อนหน้านี้ก็บอกเจ้าแล้ว ที่วิทยายุทธ์ของสำนักเราแข็งแกร่ง เป็นเพราะวิธีฝึกฝนพลังภายในต่างจากสำนักอื่น ตอนนี้เจ้าเลื่อนขั้นแล้ว ดังนั้นห้ามฝึก ‘วิธีชี้นำพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย’ อีก แต่ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาในระดับนี้ สาม หลังจากเลื่อนขั้น สิ่งสำคัญคือการฝึกฝนให้ยาในเส้นชีพจรหลอมรวม ทำให้รากฐานมั่นคง และต้องทำให้รากฐานมั่นคง ถึงจะทำให้พลังภายในในตันเถียนบริสุทธิ์และเส้นชีพจรแข็งแกร่ง ก่อนที่เจ้าจะเลื่อนถึงขั้นที่สอง จะได้รับผลกระทบจากยาที่ตกค้างในร่างกายบ้าง ไม่ต้องห่วง พอเจ้าฝึกวิชาเงาพฤกษาจนถึงขั้นที่สอง ทุกอย่างก็จะปกติ”

หลี่เหยียนได้ยิน สีหน้าที่ลังเลในตอนแรก ก็ค่อย ๆ มั่นคงขึ้น จี้กุนซือเห็นแบบนั้น จึงพยักหน้าอย่างพอใจ “อาจารย์จะถ่ายทอดวิธีฝึกฝนขั้นที่หนึ่งให้ เจ้าจำให้ดี ๆ ล่ะ” พูดจบก็พลิกมือขวา มีกระดาษแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ มีตัวหนังสือประมาณร้อยกว่าตัว

หลี่เหยียนโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ หยิบวิธีฝึกฝนบนโต๊ะ นั่งลงอ่านอย่างละเอียด ครู่หนึ่งเขาก็อ่านจบและเงยหน้ามองอาจารย์ จี้กุนซือเห็นแบบนั้นจึงเริ่มอธิบายทีละตัว ทีละประโยค...

สุดท้ายจึงมองตามหลังหลี่เหยียนที่เดินออกไป จี้กุนซือก็โบกมือขวาไปที่กระดาษบนโต๊ะ กระดาษแผ่นนั้นก็ลอยขึ้นมา แล้วก็ลุกไหม้เป็นเถ้าธุลี สายตามองไปที่ประตู ผ่านไปครึ่งเค่อ เขาก็เหมือนตัดสินใจได้ จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตู

หลี่เหยียนไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้วเขามีโอกาสหนีจากที่นี่ แต่น่าเสียดายที่ฟ้าไม่เป็นใจ ตงฝูอีไม่ทันได้บอกวิธีที่เตรียมไว้ ทำให้หลี่เหยียนพลาดโอกาสทองในการหนี

เวลาผ่านไปเร็ว เหมือนทรายละเอียดที่ไหลผ่านซอกนิ้วมือ หลี่เหยียนฝึกฝนอย่างหนักในหุบเขาทุกวัน มักจะออกมาแค่สองถึงสามวันครั้ง ตอนนี้เขายังไม่สามารถเร่งความเร็วได้ แต่ร่างกายก็ต่างจากคนทั่วไปแล้ว ไม่กินไม่ดื่มวันสองวันก็ยังไหว บางครั้งฝึกฝนจนลืมเวลา พอหิวก็ตื่น สุดท้ายรู้ว่าผ่านไปหลายวันแล้ว

หลายครั้งที่เขาออกมาจากการฝึกฝน คนอื่นรู้สึกว่าเขาดูโมโหง่าย แค่ไม่พอใจนิดหน่อยก็ด่ากราด ทำให้ผู้หญิงที่ส่งอาหารหลายคนต่างหวาดกลัว สุดท้ายก็ได้แต่ให้เฉินอันกับหลี่อินมาส่งอาหาร แต่ก็ค่อย ๆ ได้พบ ว่าแม้แต่กับพวกเขา หลี่เหยียนก็ทำหน้าบึ้งใส่ ทำให้พวกเขารู้สึกหดหู่ใจ

พวกเขาเป็นคนสนิทของจี้กุนซือ และทุกครั้งที่จี้กุนซือออกไป ก็จะกำชับให้พวกเขาดูแลหลี่เหยียน และถ้ามีอะไรก็ให้ช่วยเหลือเต็มที่ แต่อย่าให้หลี่เหยียนออกจากจวนโดยง่าย และบอกให้ตั้งใจฝึกฝน ห้ามเกียจคร้าน หากไม่แล้วต้องบอกเหตุผลให้เขารู้

เมื่อหลี่เหยียนอารมณ์แปรปรวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เฉินอันกับหลี่อินก็เริ่มบ่นลับหลัง แต่จี้กุนซือออกไปตั้งแต่สิบกว่าวันก่อน จนปัจจุบันยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าไปทำอะไร ปกติอีกฝ่ายออกไปมากสุดก็แค่ครึ่งวันหรือหนึ่งคืนก็กลับมาที่หุบเขา แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

แต่ช่วงเวลาต่อมาก็ทำให้เฉินอันกับหลี่อินใจชื้นขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่าคุณชายในหุบเขากำลังทำอะไร แต่ให้พวกเขาหาพู่กัน หมึก กระดาษ และหินฝนหมึกมา สุดท้ายหยิบหนังสือบทกวีบนชั้นหนังสือมาคัด คัดทีครึ่งวันหนึ่งวัน ทำให้พื้นเต็มไปด้วยหมึก กระดาษ พวกเขาต้องค่อย ๆ เก็บ แล้วยิ้มแย้มถามหลี่เหยียนว่าจะจัดการกับกระดาษพวกนี้ยังไง จะใส่กรอบแขวนบนผนัง หรือจะเก็บใส่กล่องใบใหญ่

หลี่เหยียนรำคาญ เลยให้พวกเขาเอาเศษกระดาษพวกนี้ไปทิ้ง พวกเขาก็เลยต้องเอาไป แต่ก็ไม่กล้าทิ้ง กลัวว่าคุณชายจะนึกถึงลายเส้นขยุกขยิกพวกนี้ขึ้นมา เกิดอยากได้กลับคืน แต่ถ้าพวกเขาไม่มี ก็คงโดนด่าอีก เลยต้องหากล่องใบใหญ่มาใส่

พูดตามตรง ลายมือเหล่านี้นับว่าดูไม่ได้ บางอันยังเขียนเหมือนยันต์ ไม่รู้ว่าเขาคัดบทกวีหรืออะไรมา แต่ผ่านไปหลายวัน พวกเขาก็พบว่าอารมณ์ของหลี่เหยียนดีขึ้น เวลาพูดจากับพวกเขาก็สุภาพเหมือนเดิม ทำให้คนในหุบเขางุนงง

หลี่เหยียนก็รู้สึกหดหู่ ช่วงนี้เขาฝึกฝนอย่างหนัก นานครั้งจะออกมา แต่ก็ต้องแสดงละคร และสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ สองสามครั้งที่ออกมา กลับไม่เจออาจารย์ในหุบเขา การแสดงให้อีกฝ่ายดูจึงไม่อาจเป็นไปตามแผน แม้ก่อนหน้านี้จี้กุนซือก็ออกไปบ้าง บางครั้งที่เขาออกมาจากการฝึกฝนแล้วไม่เจอ นับว่าเป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นตอนแรกเขาจึงไม่ได้สนใจ แต่สิบกว่าวันนี้ เขาออกมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เจอ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองพลาดอะไรไปหรือเปล่า คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็มาที่หน้าบ้านหินหลังแรก กลับไม่มีเสียงของจี้กุนซือที่รับรู้แล้วถาม เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ดี จึงเดินเข้าไป เคาะประตู รอครู่หนึ่ง ในห้องก็ไม่มีเสียงตอบรับ ทำให้เขารีบไปที่ปากหุบเขา และตะโกนเรียกเฉินอัน

เฉินอันรีบวิ่งออกมาจากบ้านหินนอกหุบเขาด้วยสีหน้ากังวล ทหารที่อยู่ข้างหลังมองเฉินอันด้วยแววตาเห็นใจและคิดในใจ ‘คุณชายเป็นอะไรอีกแล้ว ถึงกับเดินออกมาตะโกน’ ทหารพวกนี้ไม่ได้รับผิดชอบเรื่องในหุบเขา ดังนั้นเรื่องในหุบเขาส่วนใหญ่เป็นพวกผู้หญิงกับเฉินอัน หลี่อินบ่นออกมา และช่วงนี้เห็นกลุ่มคนโดนต่อว่าอยู่บ่อยครั้ง

“เฉินอัน ทำไมสองสามครั้งที่ข้าออกมาจากการฝึกฝนถึงไม่เจออาจารย์ ท่านไม่อยู่ในหุบเขาหรือ?” หลี่เหยียนยืนอยู่ที่ปากหุบเขา มองเฉินอัน และเอ่ยถาม

“เรียนคุณชาย ใต้เท้าออกไปสิบกว่าวันแล้ว ไม่รู้ว่ามีธุระใดในเมือง หรือว่ามีเรื่องอื่น ข้าน้อยไม่ทราบ” เฉินอันได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ ก็โล่งใจและยิ้มแหยตอบ

“อะไรนะ อาจารย์ออกไปสิบกว่าวันแล้ว?” หลี่เหยียนที่ได้ยิน ก็เผลอขึ้นเสียง รู้สึกโกรธ และครั้งนี้เขาไม่ได้แกล้ง แต่ร้อนใจจริง ๆ

เฉินอันเห็นหลี่เหยียนเปลี่ยนสีหน้าเป็นโมโหจึงรู้สึกกลัว “ใต้เท้าออกไปไม่ใช่เรื่องปกติหรือ อีกอย่างท่านก็ไม่ได้ถาม” แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก สุดท้ายจึงถามอย่างระมัดระวัง “คุณชาย มีธุระอะไรกับใต้เท้าหรือขอรับ ถ้าข้าน้อยจัดการได้ บอกข้าน้อยก็ได้”

หลี่เหยียนตกใจ และรู้ตัวว่าแสดงออกมากเกินไป สุดท้ายทำหน้าบึ้งและด่าว่า “ข้าจะไปหาอาจารย์เพื่อถามปัญหาการฝึกฝน เจ้าช่วยได้หรือไง” พูดจบก็มองเฉินอันด้วยหางตา

เฉินอันทำหน้าเศร้า “คุณชาย เรื่องนี้ข้าน้อยช่วยไม่ได้”

“แล้วเจ้ายังถามอีก? ข้าจะถามเจ้า รู้ไหมว่าอาจารย์จะกลับจวนเมื่อไหร่?” หลี่เหยียนถาม

“เรื่องนี้ ข้าน้อยไม่ทราบจริง ๆ บางทีอาจวันนี้ บางทีอาจพรุ่งนี้ หรือบางที...”

“พอแล้ว พอแล้ว ไม่รู้ก็คือไม่รู้ จะมีวันนี้พรุ่งนี้ได้ยังไง” หลี่เหยียนพูดจบจึงเลิกมองเฉินอัน และหันหลังเดินเข้าไปในหุบเขา

เฉินอันยืนอยู่ที่ปากหุบเขา ก็ถอนหายใจ ‘งานนี้ช่างซวยจริง ๆ’ สุดท้ายแล้วจึงหันหลังเดินไปที่ลานกว้างนอกหุบเขา แต่ก็มีเสียงหัวเราะเบา ๆ เขามอง พบว่านอกจากหลี่อินที่ยืนอยู่บนลานกว้างกับผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าครัวทำหน้าระอา ทหารคนอื่น ๆ ก็มองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ย เป็นเหตุให้เขาโกรธ “พวกเจ้าว่างงานหรือไง ไม่ไปยืนเฝ้า คิดพักผ่อนหรือ มายืนอยู่ที่นี่ทำไม?”

ทหารพวกนี้ไม่ชอบหน้าพวกเขามานานแล้ว เพราะมีแค่พวกเขากับกลุ่มผู้หญิงพวกนั้นที่เข้าไปในหุบเขาได้ ขณะที่คนอื่นต่างก็อยากเข้าหาจี้กุนซือ ผู้หญิงพวกนั้นอย่างไรก็ช่าง ยังไงก็เป็นแค่คนรับใช้ แต่เฉินอันกับหลี่อินกลับเข้าไปในหุบเขา ทำงานกับจี้กุนซือและคุณชายได้ตลอด มันเท่ากับมีระดับสูงกว่าพวกเขา พอช่วงนี้เห็นอีกฝ่ายโดนด่าบ่อย ๆ จึงรู้สึกสะใจ

ทหารพวกนั้นไม่พูดอะไรตอบ แค่หัวเราะ ผิวปาก แล้วก็แยกย้ายกันไป เหลือแค่เฉินอันกับหลี่อินอยู่บนลานกว้าง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด