บทที่ 27 คัมภีร์วารี
บทที่ 27 คัมภีร์วารี
“คัมภีร์วารี” นับเป็นเคล็ดวิชาเซียนที่แข็งแกร่งและสำคัญที่สุดของสำนักเซียนวารี มันเทียบเท่ากับ “เคล็ดวิชาดึงดูดเซียนแห่งพฤกษา” ของสำนักเซียนพฤกษา “เคล็ดวิชาอัคคีเผาผลาญสวรรค์” ของสำนักเซียนอัคคี “เคล็ดวิชาปฐพีภูผา” ของสำนักเซียนปฐพี และ “เคล็ดวิชาทองคำพิชิตพันทัพ” ของสำนักเซียนทองคำ และเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาเซียนที่เก่าแก่ ลึกลับ และแข็งแกร่งที่สุดในโลกเซียนวิญญาณ หลายร้อยล้านปีมานี้ มีคนมากมายที่อยากเข้าร่วมห้าสำนักเซียนโบราณ แต่ก็ไม่มีใครหาที่ตั้งของห้าสำนักนี้เจอ
บทนำของ “คัมภีร์วารี” กล่าวไว้ว่า “สวรรค์มีห้าธาตุ ได้แก่ น้ำ ไฟ ทอง ไม้ ดิน พวกมันแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา หล่อหลอมเป็นสรรพสิ่ง ส่งเสริมและขัดขวางซึ่งกันและกันไม่มีที่สิ้นสุด แต่น้ำเป็นพื้นฐานของห้าธาตุ แข็งแกร่งดุจทอง หนักแน่นดุจดิน ถึงขีดสุดก็ลุกไหม้ได้ และเบาดุจอากาศ” ห้าธาตุส่งเสริมและขัดขวางซึ่งกันและกัน สมดุลกันจึงเป็นห้าธาตุ แต่ตอนที่ยังเป็นความว่างเปล่าในตอนแรก ก็มีเกิดก่อนเกิดหลัง สิ่งที่เกิดก่อนคือน้ำ มีน้ำจึงมีชีวิต จากนั้นจึงเป็นไม้ ไฟ ดิน และทอง จนกระทั่งค่อย ๆ เกิดความสมดุล ส่งเสริมและขัดขวางซึ่งกันและกัน หมุนเวียนอยู่ในฟ้าดิน ทำให้สรรพสิ่งเติบโต
น้ำเป็นพื้นฐานของธาตุทั้งหลาย และเป็นธาตุแรกของห้าธาตุ ถ้าหากเป็นน้ำแข็ง ความแข็งแกร่งก็เทียบเท่ากับโลหะชั้นยอด ถ้าเป็นด้านน้ำหนัก ก็เหมือนภูเขาดิน ถ้าเย็นยะเยือกถึงขีดสุด ก็ระเหิดได้ ถ้ากลายเป็นหมอก ก็เหมือนต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม ดังนั้นในห้าสำนักเซียนโบราณ เคล็ดวิชาก็มีความแข็งแกร่งอ่อนแอต่างกัน แต่ความแข็งแกร่งอ่อนแอนี้ จะแสดงออกมาในระดับที่ต่ำกว่าขั้นมหายาน เพราะถ้าฝึกฝนห้าเคล็ดวิชาเซียนนี้จนถึงขั้นมหายาน
หากไม่นับเรื่องพรสวรรค์ และความสามารถ ถ้าพูดถึงแค่พลังของเคล็ดวิชาเซียนและความสามารถพิเศษ ก็ไม่มีใครแพ้ใครชนะ ตรงกับคำกล่าวที่ว่าห้าธาตุสมดุล ส่วนระดับที่ต่ำกว่าขั้นมหายาน หากว่าไม่นับเรื่องพรสวรรค์ ความสามารถของ “คัมภีร์วารี” แข็งแกร่งที่สุด และครอบคลุมทุกอย่าง ส่วน “เคล็ดวิชาดึงดูดเซียนแห่งพฤกษา” ถือว่ารองลงมาและไล่ลงไปเรื่อย ๆ แต่ความต่างก็ไม่ได้มาก ส่วนสำนักเซียนทองคำที่อยู่อันดับสุดท้าย กลับฝึกฝนได้เร็วที่สุด ทั้งยังมีการโจมตีรุนแรงที่สุด และมักจะเหนือกว่าสำนักอื่นในเรื่องระดับ แต่ความหนาแน่นของพลังปราณ กลับสู้สี่สำนักแรกไม่ได้
การฝึกฝน “คัมภีร์วารี” ต้องใช้รากวิญญาณธาตุน้ำเป็นพื้นฐาน ทุกระดับจะฝึกฝนตามหลักห้าธาตุส่งเสริมกันจนเกิดความสมดุลถึงจะเลื่อนระดับได้ ยกตัวอย่างขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง น้ำกับไม้ และไฟกับดิน ส่งเสริมกัน ก็เหมือนโอ่งน้ำห้าใบที่มีความสูงต่างกัน เรียงกัน น้ำเป็นโอ่งที่สูงที่สุด ไล่ลงมาเป็นไม้ ไฟ ดิน ทอง ทองเป็นโอ่งที่เตี้ยที่สุด การฝึก “คัมภีร์วารี” จะเริ่มจากโอ่งที่มีธาตุน้ำสูงที่สุดเป็นหลัก ตอนฝึกก็เหมือนการเทน้ำ พอฝึกจนพลังปราณธาตุน้ำเต็มโอ่ง ก็ไม่เหมือนเคล็ดวิชาเซียนของสำนักอื่น ที่จะบุกทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สอง แล้วเลื่อนระดับ
การฝึกฝน “คัมภีร์วารี” หากถึงจุดดังกล่าวจะไม่สามารถบุกทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สองได้ ทว่าต้องฝึกฝนต่อไป แต่พลังปราณธาตุน้ำที่ฝึกฝนต่อไป จะไม่มีที่เก็บเพราะโอ่งเต็ม สุดท้ายจะล้นออกมาจากปากโอ่ง ไหลลงไปในโอ่งพลังปราณธาตุไม้ที่เตี้ยกว่า พอพลังปราณธาตุน้ำไหลไปถึงโอ่งนี้ ก็จะเกิดพลังปราณธาตุไม้ตามหลักการส่งเสริมกัน
จนกระทั่งโอ่งพลังปราณธาตุไม้เต็ม ตอนนี้ถ้าฝึกฝนต่อไป พลังปราณธาตุน้ำก็จะล้นออกมา ไหลลงไปในโอ่งพลังปราณธาตุไม้ แล้วโอ่งพลังปราณธาตุไม้ก็เต็ม ก็จะล้นออกมา ไหลลงไปในโอ่งพลังปราณธาตุไฟที่เตี้ยกว่า ก็จะเกิดพลังปราณธาตุไฟในโอ่งพลังปราณธาตุไฟตามหลักการส่งเสริมกัน... เป็นเช่นนี้ไล่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งโอ่งพลังปราณธาตุทองเต็ม การส่งเสริมกันของห้าธาตุก็จะเสร็จสิ้น ถึงจะบุกทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สองได้
ทุกครั้งที่เลื่อนระดับ โอ่งพลังปราณในร่างกายก็จะขยายใหญ่ขึ้นและสูงขึ้น มันต้องใช้วิธีฝึกฝนในระดับที่สูงขึ้นมาฝึกฝน ทำให้พลังปราณห้าธาตุเต็มโอ่งอีกครั้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ตรงนี้จึงแสดงให้เห็นถึงข้อกำหนดในการเลือกศิษย์ของห้าสำนักเซียนโบราณ ความแข็งแกร่งและอ่อนแอของธาตุในร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าธาตุในร่างกายไม่ได้เรียงตามลำดับการส่งเสริมกัน ตอนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ พลังปราณในร่างกายก็จะปั่นป่วน ผู้ฝึกฝนจะควบคุมพลังปราณในร่างกายไม่ได้ สุดท้ายก็ตาย
อย่างเช่น คนที่มีรากวิญญาณหลากธาตุ หากการรับรู้พลังปราณธาตุน้ำดีที่สุดและฝึก “คัมภีร์วารี” แต่การรับรู้พลังปราณธาตุอื่นของเขากลับเรียงตาม ไฟ ดิน ทอง ไม้ แบบนี้พอฝึก “คัมภีร์วารี” จนโอ่งพลังปราณธาตุน้ำเต็ม ถ้าฝึกฝนต่อไป พลังปราณที่ล้นออกมาจากโอ่งพลังปราณธาตุน้ำ ก็จะไหลไปที่โอ่งพลังปราณธาตุไฟ แต่ไฟไม่ได้ส่งเสริมน้ำ ผลลัพธ์ก็คือ นอกจากพลังปราณจะผลักกันจนเกิดความปั่นป่วน ก็จะไม่มีผลลัพธ์อื่น สุดท้ายก็มีแต่ตาย
เคล็ดวิชาห้าธาตุแบบนี้ ดูเหมือนจะซับซ้อนและฝึกฝนยาก คนอื่นแค่ฝึกธาตุเดียวก็เลื่อนระดับได้เร็ว แต่พวกเขากลับต้องฝึกให้ครบห้าธาตุถึงจะเลื่อนระดับได้ ดูเหมือนจะต้องใช้เวลาหลายเท่า แต่มันมีข้อห้ามที่สำคัญที่สุดในการบำเพ็ญเซียน การบำเพ็ญเซียนคือการแข่งกับเวลา ไม่งั้นถ้าอายุแค่ไม่กี่สิบปีกลับยังฝึกไม่ถึงขอบเขตสร้างรากฐาน
ถึงตอนนั้นไม่ทันได้เลื่อนขอบเขตเพื่อยืดอายุก็แก่ตายก่อน แต่สำหรับห้าสำนักเซียน กลับไม่เป็นแบบนั้น นี่จึงเป็นจุดแข็งของห้าสำนักเซียนโบราณ เพราะพวกเขาใช้วิธีการส่งเสริมกัน นอกจากขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งที่ต้องฝึกฝนพลังปราณห้าธาตุขึ้นมาใหม่ พอฝึกจนถึงพลังปราณธาตุทองในขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง ก็จะเกิดวงจรห้าธาตุที่ไม่มีวันสิ้นสุด ตอนนั้นทองจะส่งเสริมน้ำ ทำให้พลังปราณธาตุน้ำเกิดและไหลเวียนเร็วขึ้น เมื่อพลังปราณธาตุน้ำเร็วขึ้น ก็จะทำให้พลังปราณธาตุอื่นส่งเสริมกันเร็วขึ้น ผลลัพธ์คือทำให้ความเร็วในการฝึกฝนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ข้อดีข้อที่สองของ “คัมภีร์วารี” คือการผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน พลังปราณในร่างกายจะเป็นสามถึงห้าเท่าของผู้ฝึกตนคนอื่นที่ไม่ใช่ห้าสำนักเซียน แต่จะมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับขนาดโอ่งพลังปราณในร่างกาย แบบนี้เวลาต่อสู้ พวกเขาจะอึดกว่า และใช้เคล็ดวิชาได้รุนแรงกว่า
ข้อดีข้อที่สามคือการฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนที่มีธาตุต่างกันได้ ถึงแม้ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักอื่นที่ไม่ใช่ผู้ครอบครองรากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ก็ฝึกฝนหรือใช้เคล็ดวิชาเซียนธาตุอื่นได้ แต่คนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนสองธาตุพร้อมกันนั้นมีน้อยมาก เพราะแบบนั้นจะทำให้เลื่อนระดับช้า ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ
และถึงแม้จะมีเคล็ดวิชาพิเศษบางอย่าง ก็มากสุดแค่ฝึกฝนสองธาตุพร้อมกัน ขณะที่ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอจะต่างกันออกไป ปกติก็จะเน้นเคล็ดวิชาหลักที่ตัวเองฝึกฝน ไม่เหมือนเคล็ดวิชาเซียนของห้าสำนักเซียนโบราณ ที่พลังปราณส่งเสริมกัน ไม่มีความแข็งแกร่งอ่อนแอตอนใช้
อย่างเช่น ถ้าใช้เคล็ดวิชาเซียนธาตุดิน แล้วพลังปราณไม่พอ ก็จะส่งพลังปราณธาตุไฟไปที่โอ่งธาตุดิน เปลี่ยนเป็นพลังปราณธาตุดิน แล้วพลังปราณธาตุไม้ก็จะสร้างพลังปราณธาตุไฟขึ้นมาเรื่อย ๆ เพื่อเติมพลังปราณธาตุไฟ แบบนี้ก็จะไม่มีปัญหาที่ว่า ใช้เคล็ดวิชาเซียนบางอย่างแล้วพลังไม่แรงเพราะพลังปราณธาตุนั้นน้อย แน่นอนว่า มันต้องใช้เวลาฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนธาตุต่าง ๆ ด้วย
และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงของห้าสำนักเซียนโบราณ และเป็นสิ่งที่สำนักต่าง ๆ ในโลกเซียนวิญญาณไม่เข้าใจ ความน่ากลัวของเคล็ดวิชาเซียน มันเกิดจากวิธีการส่งเสริมกันของพลังปราณ
พออ่านถึงตรงนี้ หลี่เหยียนพลันนึกถึงรอยยิ้มแปลก ๆ ของตงฝูอีตอนที่บอกให้เขาฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด ตอนนี้จึงเข้าใจเจตนาแล้ว แบบนี้จี้กุนซือที่ชอบดูดพลังปราณคนอื่น เพราะจี้กุนซือบรรลุแค่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สาม ในกรณีของคนที่ถูกดูดพลังปราณ พลังปราณต้องไม่เกินขีดจำกัดที่จี้กุนซือสามารถรับได้ นั่นคือพลังปราณต้องไม่เกินขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุด หากไม่แล้วพลังปราณที่ดูดมาจะมากเกินไปจนทำให้อีกฝ่ายตาย
แต่ด้วยวิธีฝึกฝนแบบ “คัมภีร์วารี” พอเขาฝึกจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุด พลังปราณในร่างกายจะมีประมาณสามเท่าของผู้ฝึกตนทั่วไป ถ้าจี้กุนซือดูดพลังปราณ สุดท้ายคนที่ตายก็ไม่ใช่เขา แต่เป็นจี้กุนซือ อย่างที่สองคือ ตอนที่อีกฝ่ายดูดพลังปราณ ถ้าเขาเปลี่ยนธาตุของพลังปราณที่ส่งออกไป ไม่ใช่พลังปราณธาตุไม้ที่ฝึกจาก “วิชาม่านราตรีสีคราม” ขอเพียงจี้กุนซือดูดเข้าไป ผลลัพธ์นั้น... แค่คิดก็รู้แล้ว
แต่ผลลัพธ์สองอย่างนี้ มีข้อแม้ว่าเขาต้องฝึก “คัมภีร์วารี” จนถึงระดับหนึ่งเสียก่อน
หลี่เหยียนอ่านบทสรุปนี้จนจบ ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นสำนักเซียนอื่น แต่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “บนโลกนี้มีเคล็ดวิชาเซียนที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้อยู่จริง ๆ ช่างไม่ยุติธรรม ไม่แปลกใจเลยที่สืบทอดยาก การหมุนเวียนของฟ้าดินย่อมมีความยุติธรรม”
หลี่เหยียนตั้งใจอ่านต่อ พบว่าข้างหลังเหลือแค่สิบกว่าบรรทัด เป็นวิธีฝึกฝนในขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง มันทำหลี่เหยียนรู้สึกตื่นเต้น เพราะหนทางมาถึงแล้ว
หลี่เหยียนค่อย ๆ ลืมตา เขายังอยู่ในบ้านหิน ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง แต่ในหัวมีวิธีฝึกฝนเพิ่มขึ้นมา เมื่อกี้เขาเพิ่งท่องจำวิธีฝึกฝนสิบกว่าบรรทัดนี้ในทะเลแห่งจิตสำนึกหลายรอบ พอแน่ใจว่าถูกต้องแล้ว ก็คิดว่าจะออกไปยังไง แล้วเขาก็ออกจากทะเลแห่งจิตสำนึก
หลี่เหยียนหลับตา ทบทวนวิธีเข้าออกทะเลแห่งจิตสำนึก และเพ่งสมาธิไปที่หน้าผากอีกครั้ง สุดท้ายรู้สึกตาลาย ก่อ่นตัวเขาจะกลับมาอยู่เหนือทะเลสาบ แล้วจึงใช้จิตใจออกจากพื้นที่นี้ ในชั่วพริบตา เขาก็กลับมาสู่โลกแห่งความจริง
เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มออก เพราะในที่สุดเขาก็ควบคุมวิธีเข้าออกทะเลแห่งจิตสำนึกได้ แล้วยังได้วิธีฝึกฝน “คัมภีร์วารี” มาแล้ว ต่อไปก็แค่ต้องหาวิธีออกจากหุบเขาแห่งสัตว์ร้ายนี้ให้ได้
หลังอาหารกลางวัน หลี่เหยียนก็เดินไปที่หน้าบ้านหินหลังแรกอย่างอารมณ์ดี และเหมือนทุกครั้ง ในห้องก็มีเสียงใจดีของจี้กุนซือดังออกมา “มาแล้วก็เข้ามาสิ” หลี่เหยียนยิ้ม แล้วจึงผลักประตูเข้าไป
จี้กุนซือยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่หลังโต๊ะเตี้ยเหมือนเดิม แต่สีหน้าดูไม่แน่นอน เขามองหลี่เหยียนที่เดินเข้ามา ตั้งสติ แล้วก็ชี้ไปที่พรมหน้าโต๊ะ “นั่งลงสิ”
นับตั้งแต่กลับมา เขาก็นั่งขัดสมาธิสงบสติอารมณ์เหมือนเดิม เพื่อระงับความร้อนในอก เพราะช่วงนี้พิษไฟในร่างกายก็ยิ่งควบคุมยาก ถ้าไม่ใช้พลังปราณก็ดีหน่อย แต่พอใช้พลันต้องรู้สึกว่าลมปราณปั่นป่วน เมื่อกี้ตอนที่เขารักษาหลี่เหยียนอยู่ข้างนอกก็ใช้พลังปราณไปหลายครั้ง จึงรู้สึกว่าลมปราณไม่ค่อยคงที่
“ต้องรีบหน่อยแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คงสะกดได้อีกไม่ถึงปีสองปี” เขาคิดในใจ แล้วจึงล้วงมือซ้ายออกมาจากแขนเสื้อตามความเคยชิน ก่อนจะมองหนังสือสองสีแบบส่ง ๆ “จะไปฝากความหวังไว้กับเด็กคนนั้นทั้งหมดก็ไม่ได้ แต่หนังสือเล่มนี้น่าจะมีคนกำหนดขั้นตอนยุ่งยากไว้ อืม...”
ขณะเขากำลังคิด ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาอึ้งและรีบลุกขึ้นยืน หนังสือยังเป็นสองเล่มที่ถูกยึดติดกัน ทว่าตั้งแต่หนึ่งในสามของหนังสือลงไป กลับไม่ใช่สีเหลืองอ่อนที่เขาคุ้นเคย เดิมทีหนังสือเล่มนี้ หนึ่งในสามด้านบนเป็นสีขาวหยก สองในสามข้างล่างเป็นสีเหลืองอ่อน
และตั้งแต่ที่เขาได้แผ่นหยกกับหนังสือหยกมา เพื่อให้อ่านง่ายจึงใช้พลังปราณยึดสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน หลายปีมานี้ก็เป็นแบบนี้ หนังสือไม่เคยห่างกาย เขาศึกษาอย่างหนักทุกวัน แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แบบที่เขาคุ้นเคย เพราะหนึ่งในสามด้านบนยังเป็นสีขาวหยกเหมือนเดิม แต่สองในสามด้านล่าง กลับกลายเป็นสีน้ำตาลอมเทา เหมือนหมองลง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาตกใจไม่ใช่น้อย
เขารีบหยิบหนังสือสองเล่มที่ติดกันมาดูอย่างละเอียด พลิกมันไปและพลิกมาหลายรอบ ดูจากหลาย ๆ มุม สุดท้ายจึงยืนยันว่าหนังสือเปลี่ยนไปจริง ๆ ไม่ช้าเขาจึงเปิดหนังสือไปที่หน้าหนึ่งในสามอย่างระมัดระวัง ปกหนังสือหยกสีเหลืองอ่อน ตอนนี้เริ่มดูหมองเหมือนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา เขาถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป ครู่หนึ่งจึงมีเสียง “เป๊าะ” หนังสือสีน้ำตาลอมเทากลับถูกพลังปราณของเขาซึมเข้าไป
จี้กุนซือที่พบเห้นจึงยินดีและคิดในใจ “หรือว่าขั้นตอนยุ่งยากในหนังสือเล่มนี้จะหายไปตามกาลเวลา สีที่เปลี่ยนไปวันนี้ น่าจะเป็นเพราะขั้นตอนยุ่งยากเหล่านั้นใช้ไม่ได้แล้ว” เป็นเหตุให้เขารีบใช้จิตสำนึกส่งเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ครู่หนึ่งยังไม่พบความผิดปกติ จึงเพิ่มพลังของจิตสำนึก ค่อย ๆ ส่งเข้าไปในหนังสือหยก ไม่ช้า เขาก็เห็นภาพที่ไม่คาดคิด ในหนังสือเป็นพื้นที่ว่างเปล่า มีแค่แผนที่ที่ดูบิดเบี้ยวเหมือนโดนลมพัดลอยอยู่กลางอากาศ หากมองจากระยะไกล จะเห็นมีเส้นคดเคี้ยวและมีคำอธิบายประกอบอยู่บ้าง
ถึงตอนนี้ เขายังใช้จิตสำนึกเข้าไปใกล้แผนที่อย่างระมัดระวัง ผ่านไปนาน จิตสำนึกจึงมาหยุดอยู่หน้าแผนที่ พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาถึงได้โล่งใจ แต่เขาก็ยังแค่ใช้จิตสำนึกเข้าไปใกล้ ไม่ได้สัมผัสตัวแผนที่
พบว่าเหมือนมันเป็นแผนที่เส้นทาง มีเส้นทางต่าง ๆ จากหลายทิศทางบนแผนที่และมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ตรงกลาง สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ยังรูปวาดที่เหมือนทะเลสาบ มีตัวหนังสือสีแดงเลือดที่วูบไหว “เคล็ดวิชาพิษชุบชีวิต”
เขามองตัวหนังสือพวกนี้ “เคล็ดวิชาพิษชุบชีวิต พิษชุบชีวิต นี่น่าจะเป็นเคล็ดวิชาเซียนฝึกพิษหรือใช้พิษ สวรรค์ไม่ทอดทิ้งข้า สวรรค์ไม่ทอดทิ้งข้า ฮ่า ๆ ๆ” แม้แต่คนที่ใจเย็นอย่างจี้กุนซือ ตอนนี้ยังดีใจจนตัวสั่น ภายหลังเก็บอาการ เขาจึงศึกษาแผนที่อย่างละเอียด
ครู่หนึ่ง จี้กุนซือเรียกจิตสำนึกกลับมาจากหนังสือหยก สีหน้าดูดีใจปนโกรธ เพราะเมื่อกี้เขาศึกษาแผนที่นี้อย่างละเอียด สุดท้ายตัดสินใจใช้จิตสำนึกสัมผัสแผนที่ ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาถึงได้วางใจ
สถานที่ในแผนที่นี้ เขารู้สึกว่าเคยไป แต่ภูมิประเทศบางอย่างก็ไม่เหมือน และเท่าที่เขานึกออก มันน่าจะเป็นการเข้าไปในภูเขามหามรกตทางตะวันตกหมื่นกว่าลี้ แล้วเลี้ยวไปทางเหนือประมาณสี่พันกว่าลี้ มันจะมีหุบเขาแคบ ๆ มีทะเลสาบที่ดูคล้ายกับในแผนที่ แต่ภาพรอบ ๆ ทะเลสาบบนแผนที่ กลับไม่เหมือนกับในความทรงจำ ทำให้เขาไม่แน่ใจ