(อ่านฟรีชั่วคราว) บทที่ 1334 ข้าไม่สามารถจัดการได้
ไม่นานนัก คนทั้งสามก็ออกจากศาลาจื่อฉีไปอย่างเงียบ ๆ โดยสองคนเดินออกไปด้วยท่าทีตื่นเต้น ในขณะที่อีกคนดูเศร้าหมอง
หลังจากพวกเขาจากไป เหวินผิงลุกขึ้นและส่งเสียงผ่านพลังจิตถึงน่าหลานมู่หงและวานรอสูรหินดำ เพื่อจบการสุ่มเลือกสถานที่ในครั้งนี้
เนื่องจากแผนภาพวังวนเจ็ดเกลียววังวนสองแผ่นและเกลียววังวนสังหารเจ็ดเกลียววังวนหนึ่งชิ้นได้ถูกขายหมดแล้ว การอยู่ต่อในเมืองเทียนคงจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
เมื่อได้รับข่าวว่าจะกลับสำนัก น่าหลานมู่หงถึงกับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ด้วยความไม่เข้าใจในความหมายของการกระทำครั้งนี้ของเจ้าสำนัก
มาถึงเมืองเทียนคงได้ไม่ถึงครึ่งวัน
แล้วก็กลับไป?
"เขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?"
นางคาดเดาในใจพลางติดตามเหวินผิงกลับสำนักอมตะ เมื่อถึงบันไดพันขั้น นางยังคงครุ่นคิดต่อไป
หลังจากกลับสำนัก เหวินผิงตรงไปยังศาลาทิงอี่เพื่อรับรางวัลพลังหยวนหยางจากการขาย แถมยังได้รับผลตอบแทนจากความโชคดีในครั้งนี้เป็นพลังหยวนหยาง 25 สาย รวมกับที่ได้จากการขายแผนภาพและเกลียววังวนสังหารอีก 3 สาย รวมเป็น 28 สาย
"ถ้าขายได้เร็วแบบนี้ทุกครั้งก็คงดี" เหวินผิงพึมพำอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเตรียมตัวไปยังเขตต้องห้ามสุดท้ายเพื่อฝึกฝนกระบี่
ไม่รู้ว่ากลุ่มซานคงจะมาถึงเมื่อใด แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ การฝึกฝนกระบี่เจ็ดบัวเขียวกระบวนท่าที่ห้าให้เชี่ยวชาญเร็วที่สุดย่อมดีกว่า เพราะเมื่อกลุ่มซานคงมาถึง ฉีหยุนเทียน รวมถึงโลกหยวนหยางรอบข้างจะรู้ว่าในความว่างเปล่านี้มีโลกหยวนหยางที่ซ่อนเร้นอยู่
แม้จะมีหอปิดฟ้าคอยป้องกัน พวกเขาอาจไม่พบในทันที แต่สำหรับช่องเขาเฉาเทียน นี่คือภัยอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่ตลอดเวลา
หากสามารถใช้กระบี่เจ็ดบัวเขียวกระบวนท่าที่ห้าร่วมกับกระบี่ชิงเหลียน กายาบัวเขียวสวรรค์ และสิ่งอื่น ๆ อาจสามารถสังหารยอดฝีมือฐานขอบเขตหยวนหยางได้
หากทำได้ เช่นนั้นทุกอย่างย่อมไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
...
...
...
เมืองเทียนคง
จวนเทียนหู่
เมื่อกลับถึงจวนเทียนหู่ เจียงหมิงเยว่มองหลิวจ้านอย่างเย็นชา ท่ามกลางสายตาของผู้ฝึกตนครึ่งก้าวหยวนหยางทั้งหมด ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกดดัน
"หลิวจ้าน เจ้าไม่เห็นหัวข้าหรืออย่างไร หรือเจ้าคิดว่าตัวเองเหนือกว่าข้า จึงไม่ฟังคำสั่งของข้า?"
แต่หลิวจ้านกลับนิ่งเงียบ ไม่กล่าวคำใด
เจียงหมิงเยว่แค่นเสียงเย็นชา ความโกรธในแววตาค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความดูแคลน "เจ้าจวนแบบนาง ถึงจะเลี้ยงแม่ทัพแบบเจ้าออกมาได้ ด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าควรอยู่เฝ้าเมืองเทียนฉีพร้อมกับเจ้าจวน ไม่ใช่ออกไปหาที่ตาย!"
เมื่อพูดจบ เจียงหมิงเยว่หมุนตัวเตรียมจากไป
หลิวจ้านขมวดคิ้ว ความโกรธเริ่มปรากฏขึ้นในแววตา แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูด เสียงตะโกนจากท้องฟ้าก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
"ท่านแม่ทัพเจียง! ท่านแม่ทัพเจียง!"
เสียงนั้นมาจากผู้ฝึกตนที่เคยอาสาเฝ้าศาลาจื่อฉีเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าใกล้ศาลาจื่อฉี เขาเหาะลงมาหยุดเหนือจวนเทียนหู่ด้วยความร้อนรน
เจียงหมิงเยว่และคนอื่น ๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ ยังไม่ทันได้ถามอะไร เขาก็รีบพูดออกมา
"ท่านแม่ทัพเจียง ศาลาจื่อฉีเพิ่งหายไป พวกเขาหายไปเฉย ๆ โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย เหลือไว้เพียงไออสูรจาง ๆ เท่านั้น"
เจียงหมิงเยว่ถึงกับนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเหาะขึ้นไปยังตำแหน่งที่เคยเป็นที่ตั้งของศาลาจื่อฉีทันที คนอื่น ๆ รีบตามไป
หลิวจ้านที่ได้ยินข่าวนี้ไม่ได้แปลกใจเท่าไรนัก แต่ก็ตามไปด้วย เมื่อมาถึงที่ตั้งของศาลาจื่อฉีและไม่พบอะไร เขารู้สึกโชคดีที่คว้าโอกาสนี้ไว้ได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าศาลาจื่อฉีจะปรากฏอีกครั้งเมื่อใดและที่ใด
ทุกอย่างเป็นปริศนา เหมือนกับที่มาของศาลาจื่อฉี
"เกิดอะไรขึ้น?" เจียงหมิงเยว่มองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย หวังว่าจะมีใครสักคนให้คำตอบได้
แต่ไม่มีใครพูดอะไร
แม้จะมีคนพูด ก็ล้วนบอกเพียงว่า ศาลาจื่อฉีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับระเหยไปในอากาศ
หลิวจ้านเอ่ยขึ้นเบา ๆ "ท่านแม่ทัพเจียง ศาลาจื่อฉีก็เป็นแบบนี้แหละ พวกเขาจะปรากฏตัวและหายไปอย่างกระทันหัน"
"อย่ามาพูดเหลวไหลที่นี่" เจียงหมิงเยว่ตวาดด้วยความโกรธ ก่อนจะสั่งผู้ฝึกตนครึ่งก้าวหยวนหยางรอบตัว
"ออกค้นหา! อย่าปล่อยให้พลาดแม้แต่ร่องรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ หากพบอะไร อย่าก่อความวุ่นวาย แต่รีบกลับมารายงานข้าทันที"
"รับทราบ!"
เหล่าผู้ฝึกตนครึ่งก้าวหยวนหยางพุ่งตัวออกไปทันที
เหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาของผู้คนรอบข้าง ทำให้ความอยากรู้เกี่ยวกับศาลาจื่อฉียิ่งลึกซึ้งขึ้นไปอีก
ศาลาจื่อฉีเป็นสิ่งใดกันแน่?
และยอดฝีมือฐานขอบเขตหยวนหยางที่อยู่เบื้องหลังศาลาจื่อฉีมีที่มาอย่างไร?
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนส่วนใหญ่ การหายไปของศาลาจื่อฉีไม่ได้สร้างความสะเทือนใจมากนัก เพราะสงครามระหว่างโลกหยวนหยางกำลังจะเริ่มขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญเท่าความเป็นความตายของตนเอง
...
...
...
สามวันผ่านไป ยังคงไร้ร่องรอยศาลาจื่อฉี
ทั้งจวนเทียนหู่ได้ค้นหาเมืองเทียนคงถึงสามรอบเต็ม แต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงร่องรอยใด ๆ ของศาลาจื่อฉี
ในขณะที่เจียงหมิงเยว่ยังคงสับสนกับสถานการณ์นี้ เจ้าจวนเทียนหู่ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในฉีหยุนเทียนในระดับครึ่งก้าวฐานขอบเขตหยวนหยางได้กลับมา
ในเวลาเดียวกัน จ้าวปกครองแห่งฉีหยุนเทียน หยุนฉี ก็ออกจากด่านในวันเดียวกัน และทันทีที่ออกจากด่าน เขาได้เรียกประชุมผู้ฝึกตนครึ่งก้าวหยวนหยางทั้งหมดมายังตำหนักจ้าวปกครอง
สิ่งที่หลิวจ้านไม่คาดคิดคือ ในระหว่างการรายงานเรื่องศาลาจื่อฉีอย่างละเอียด เจียงหมิงเยว่กลับกล่าวหาหลิวจ้านต่อหน้าเจ้าจวนเทียนหู่และจ้าวปกครอง โดยโยนความผิดทั้งหมดให้เขาอย่างไม่มีเหตุผล
“ท่านเจ้าจวน ท่านจ้าวปกครอง ข้าสงสัยว่าการที่ศาลาจื่อฉีหายไปอย่างกระทันหันนั้นเป็นเพราะพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของแม่ทัพหลิวจ้าน เขาต้องทำบางสิ่งบางอย่างแน่ หากให้เวลาข้า ข้าจะสามารถค้นหาความลับและข้อมูลของศาลาจื่อฉีได้แน่นอน”
หลิวจ้านสวนกลับทันที “ขอรายงานท่านเจ้าจวนและท่านจ้าวปกครอง ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย การที่ศาลาจื่อฉีหายไปอย่างกระทันหันไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ศาลาจื่อฉีเคยปรากฏตัวในเมืองเทียนฉีเป็นเวลาสามวัน และหลังจากนั้นก็หายไปโดยไร้ร่องรอย”
เมื่อกล่าวจบ หลิวจ้านหันไปมองเจ้าเมืองเทียนฉี เหอจวี๋ ซึ่งรู้เรื่องการปรากฏตัวของศาลาจื่อฉี
แต่ก่อนที่เหอจวี๋จะได้พูดอะไร ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินขาวซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดในท้องพระโรงได้ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ความกดดันอันไร้รูปร่างแผ่ซ่านไปทั่วท้องพระโรง ทำให้ไม่มีใครกล้าสบตาหรือพูดสิ่งใดออกมา
ชายผู้นั้นคือ จ้าวปกครองแห่งฉีหยุนเทียน
หยุนฉี!
ก่อนที่เหอจวี๋จะพูดอะไร หยุนฉีได้กล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ในสิบวันที่ผ่านมา ค่ายกลป้องกันแห่งฉีหยุนเทียนไม่ได้ตรวจจับถึงการมีอยู่ของยอดฝีมือฐานขอบเขตหยวนหยางเลย และตอนนี้แม้แต่วานรอสูรตัวนั้นและหญิงสาวคนนั้นก็ไม่สามารถสัมผัสได้ เกรงว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในฉีหยุนเทียนอีกแล้ว”
หยุนฉีหยุดพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ผู้ที่มีความสามารถถึงขนาดนี้ สามารถเพิกเฉยต่อค่ายกลป้องกันโลกและเข้าออกฉีหยุนเทียนได้อย่างไร้ร่องรอย ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะสามารถจัดการได้ และไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถจัดการได้ ดังนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องสืบสวนเรื่องศาลาจื่อฉีอีกต่อไป หากพวกเขากลับมา ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง ตอนนี้ภารกิจของพวกเจ้ามีเพียงเตรียมตัวเข้าสู่สงครามเท่านั้น”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนในท้องพระโรงถึงกับนิ่งงัน
จ้าวปกครองถึงกับยอมรับด้วยตัวเองว่าไม่สามารถจัดการได้ เช่นนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังศาลาจื่อฉีจะต้องเป็นผู้ที่อยู่เหนือฐานขอบเขตหยวนหยางหรือไม่?