ตอนที่แล้วบทที่ 43 ไม่สวดคัมภีร์ ไม่สร้างกรรม ไม่เลิกกินเนื้อสัตว์ ไม่ขึ้นเขา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 45 เทพปราบปีศาจแห่งสามโลก

บทที่ 44 ปีศาจต้นไหวในป่าผีสิง


###

เบื้องหน้าของจงขุยนั้น วิญญาณผีทุกตนล้วนเท่าเทียมกัน

แม้ว่าจางจิ่วหยางจะไม่ได้เป็นจงขุย แต่ด้วยความสามารถในการกินผีของเขา จึงถือได้ว่าเป็นศัตรูตามธรรมชาติของเหล่าวิญญาณร้ายทั้งปวง เพียงแค่เขาอ้าปากดูดกลืน พลังงานแห่งความชั่วร้ายรอบทิศทางก็ถูกดูดเข้าสู่ร่างกาย ราวกับเป็นบ่อแห่งความตายอันไร้ก้นบึ้ง

แม้ว่าเจ้าจิ้งจอกเฒ่าจะเต็มไปด้วยความแค้นอันลึกซึ้ง และทำท่าทีเหมือนจะต่อสู้จนตัวตาย ท้ายที่สุดกลับถูกจางจิ่วหยางดูดกลืนเข้าไปในท้องจนหมดสิ้น

เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี้ไม่ธรรมดาเลย ด้วยการบำเพ็ญเพียรมาถึงหกสิบปี แม้จะถูกกลืนกินเข้าไปแล้ว ยังพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ท้องของจางจิ่วหยางปูดโปนขึ้นเล็กน้อย ราวกับมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวภายใน

อาหลี่กระพริบตาปริบ ๆ แล้วกล่าวด้วยความสงสัย “พี่จิ่ว ท้องพี่โตขึ้น หรือว่าพี่ท้องแล้ว?”

จางจิ่วหยางได้แต่เงียบงันไปครู่หนึ่ง

“ตูม!”

เสียงฟ้าร้องดังก้องขึ้นภายในร่างของเขา ภายใต้พลังแห่งการกินผี ร่างกายของเขาเปรียบเสมือนเตาไฟที่เผาผลาญวิญญาณร้ายโดยเฉพาะ ไม่นานนัก การเคลื่อนไหวของเจ้าจิ้งจอกเฒ่าก็เริ่มเบาบางลง จนกระทั่งเงียบสงบไปในที่สุด

“ฝุ่นคืนสู่ดิน วิญญาณกลับคืนสู่ฟ้า วิญญาณของเจ้าจะหลอมรวมกับข้า”

จางจิ่วหยางเรอออกมาเสียงดัง ก่อนจะรีบนั่งสมาธิทันที พลางบอกให้อาหลี่คอยปกป้องเขาระหว่างที่เขากำลังย่อยอาหารมื้อนี้อย่างสมบูรณ์

สายแห่งความเคียดแค้นพุ่งตรงเข้าใส่จิตใจของเขา หากเป็นเมื่อก่อนคงทำให้เขารู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้กลับไม่มีผลใด ๆ จิตใจของเขาแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้าที่ผ่านการหลอมมาหลายครั้ง แม้ความเคียดแค้นจะถาโถมเข้าใส่ ก็ไม่อาจทำให้เขาสั่นคลอนได้

ค่ำคืนนี้ที่ได้ฟาดฟันปีศาจจิ้งจอก ความแค้นเก่าถูกชำระจนหมดสิ้น ทำให้จิตใจของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความฮึกเหิม สภาพจิตใจจึงก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น

ระหว่างที่นั่งสมาธิ เขาก็มองเห็นชีวิตในอดีตของเจ้าจิ้งจอกเฒ่า

มันเคยเป็นจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งในภูเขาหกแผ่นดินนอกเมืองชิงโจว บังเอิญกินพลังวิญญาณภูตจนบรรลุสติปัญญา จากนั้นก็ฝึกฝนดูดกลืนพลังจากแสงจันทร์จนมีพลังอาคม หลังจากบำเพ็ญมาครบสามสิบปี ก็เริ่มกราบไหว้กลุ่มดาวเหนือเพื่อแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ในที่สุด

ในช่วงแรก มันใช้ลมปราณปีศาจในการลักขโมยไก่เป็ดมากิน แต่ไม่นานก็เริ่มอดใจไม่ไหวจนถึงขั้นกินคน

ตั้งแต่นั้นมา ความอยากกินมนุษย์ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป

แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต มันจึงเลือกกินเฉพาะผู้คนที่เข้าไปล่าสัตว์หรือเก็บสมุนไพรในป่า และทำเช่นนี้ไม่บ่อยนัก

กระทั่งวันหนึ่ง ลูกเพียงคนเดียวของมันถูกฆ่า มันจึงโกรธแค้นจนออกจากภูเขา

ไม่ทราบเวลาผ่านไปนานเท่าไร จางจิ่วหยางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แววตาดูสดใสขึ้นกว่าเดิม เสื้อคลุมยาวพลิ้วไหวแม้ไม่มีลม รอบกายเต็มไปด้วยพลังอาคม ราวกับว่าเขาได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากการต่อสู้ครั้งนี้

พลังบำเพ็ญเพียรของเขาเพิ่มพูนขึ้นอีกครั้ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อถึงเวลาครบหนึ่งร้อยวัน เขาอาจจะลองทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สามได้โดยตรง

ความเร็วในการฝึกเช่นนี้ หากแพร่งพรายออกไป คงทำให้หลายคนต้องริษยาและอิจฉาเป็นแน่

แต่จางจิ่วหยางกลับรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย

“อาหลี่ เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ!”

เมื่อครู่นี้ช่างอันตรายยิ่งนัก ในความทรงจำของเจ้าจิ้งจอกเฒ่า เขาเห็นภาพเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว ภายในส่วนลึกของป่าแห่งนี้มีปีศาจต้นไหวอันน่ากลัวซ่อนตัวอยู่!

ปีศาจต้นไหวมีพลังเวทมนตร์อันลึกลับ ใครก็ตามที่ได้พบมัน จะเกิดความคิดอยากตายขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล และสุดท้ายก็มักจะผูกคอตายบนกิ่งของต้นไหว

สิ่งนี้เกิดขึ้นแม้แต่กับผู้ที่มีพลังบำเพ็ญเพียรบางคน!

คาถาสร้างสัตว์ปีศาจและคาถาปรุงผีโรคระบาดของเจ้าจิ้งจอกเฒ่า ล้วนได้มาจากบรรดาเหล่านักพรตที่ผูกคอตายบนต้นไหวเหล่านั้น

เจ้าจิ้งจอกเฒ่าเมื่อเห็นว่าจางจิ่วหยางตามล่ามันไม่เลิกรา จึงจงใจเปลี่ยนทิศทางหวังจะล่อเขาเข้าสู่เขตแดนของปีศาจต้นไหว เพื่อให้มันช่วยกำจัดเขาแทน

เมื่อคิดเช่นนี้ จางจิ่วหยางก็รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว โชคดีที่เขาลงมือได้เร็วกว่า ใช้กระบี่บินสังหารเจ้าจิ้งจอกเฒ่าทันเวลา ไม่เช่นนั้น ผลลัพธ์อาจไม่แน่นอน

แต่ในเวลานี้ เขายังคงรู้สึกว่าป่าแห่งนี้ช่างเงียบสงัดน่าขนลุก ต้นไม้สูงใหญ่ผิดปกติ ใบไม้หนาทึบจนแสงจันทร์แทบส่องผ่านลงมาไม่ถึง

ลมยามค่ำคืนพัดผ่าน กิ่งไม้สั่นไหวเกิดเสียงดังกรอบแกรบ เงาไม้พลิ้วไหวดูคล้ายกับเหล่าภูตผีออกมาเดินเพ่นพ่านยามราตรี

บรรยากาศช่างหนาวเหน็บอย่างประหลาด

อาหลี่มองไปยังขนของเจ้าจิ้งจอกเฒ่าที่ถูกฟันจนขาดวิ่นด้วยความเสียดาย น่าเสียดายที่ไม่สามารถเอามาทำเป็นเสื้อให้พี่จิ่วได้ แต่เธอก็เชื่อฟัง เก็บดาบคู่ของตนแล้วกลับเข้าไปในร่างของหุ่นเชิดทันที

จางจิ่วหยางรีบออกเดินทางกลับตามเส้นทางในความทรงจำ แต่เมื่อเดินไปได้สักพัก เขาก็หยุดชะงักเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

ทำไมเขายังออกจากป่าไม่ได้?

เบื้องหน้ายังคงเป็นทะเลต้นไม้ที่ไร้ที่สิ้นสุด มองไม่เห็นเส้นทางออกแม้แต่น้อย

ตามความเร็วในการเดินของเขา ควรจะออกจากป่าไปนานแล้ว

หรือว่าเป็นเพราะ “ผีบังตา”?

จางจิ่วหยางส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเขาฝึกฝนจนมีพลังอาคมติดตัว และยังมีอาหลี่คอยอยู่ข้างกาย หากมีภูตผีบังตา คงไม่พ้นสายตาเขาไปได้

หรือว่าเขาจะหลงทาง?

กลางป่าลึกยากจะหาทิศทาง การหลงทางจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย จางจิ่วหยางก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปโดยสิ้นเชิง

เขากระตุ้นพลังภายในแล้วกระโดดขึ้นไปบนยอดไม้ ด้วยความเบาเหมือนขนนก ร่างของเขาก็ลอยขึ้นสู่ยอดไม้และยืนนิ่งอยู่บนกิ่งสูงที่ไหวตามสายลมยามค่ำคืน

ในที่สุด เขาก็เห็นทุ่งกว้างอยู่ไกลออกไป

ที่แท้เขาก็หลงทางจริง ๆ จางจิ่วหยางถอนหายใจเบา ๆ เมื่อปรับทิศทางได้แล้วจึงกระโดดลงจากต้นไม้และเดินทางต่อไป

ครั้งนี้ดูเหมือนไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว

แต่เมื่อเดินไปได้อีกสักพัก เขาก็ยังคงเห็นเงาไม้ที่พลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้า

“ซ่า!”

สายลมพัดผ่านทำให้ต้นไม้เคลื่อนไหว เสียงของมันในยามนี้กลับไม่ได้นำความสงบมาให้ แต่กลับสร้างบรรยากาศอันชวนให้ขนลุก ราวกับมีบางสิ่งที่ชั่วร้ายซ่อนอยู่ในเงามืดและจับจ้องเขาอยู่

จางจิ่วหยางกระชับดาบปราบมารในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย

ในสถานการณ์เช่นนี้ เขามั่นใจแล้วว่าไม่ได้หลงทาง แต่กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้ายบางอย่าง!

เขากระโดดขึ้นไปบนยอดไม้อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ประหยัดพลังงานอีกต่อไป ใช้พลังเหยียบยอดไม้เพื่อพุ่งตรงไปยังทุ่งกว้างที่เห็นอยู่ไกล ๆ แต่แล้วไม่นาน เขาก็ได้เห็นภาพที่ทำให้หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว

ต้นไม้เบื้องหน้ากำลังเคลื่อนไหว!

ต้นไม้เหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ตามทิศทางการเคลื่อนที่ของเขา โดยไร้เสียงใด ๆ เปลี่ยนตำแหน่งอย่างลับ ๆ ทำให้เขาหันหลังให้กับทางออกโดยไม่รู้ตัว

“บ้าเอ๊ย โลกนี้มีสิ่งชั่วร้ายมากเกินไปแล้วหรือยังไงกัน?”

ความเย็นเยียบแล่นขึ้นสู่แผ่นหลังของจางจิ่วหยาง หากเป็นคนธรรมดา หรือแม้กระทั่งนักล่าที่มีประสบการณ์ คงไม่มีทางรอดพ้นจากการถูกขังอยู่ในป่าแห่งนี้แน่นอน

สถานที่แห่งนี้อันตรายเกินไป หนีให้เร็วที่สุดคือทางออกที่ดีที่สุด!

จางจิ่วหยางสูดหายใจลึก รวบรวมสติแล้วใช้พลังเหยียบยอดไม้ต่อไป แต่ไม่ทันไร หมอกขาวหนาทึบก็ค่อย ๆ ปกคลุมทั่วทั้งป่า

หมอกหนาทำให้การมองเห็นแย่ลง แม้เขาจะใช้พลังอาคมกับดวงตา ก็ยังมองเห็นได้ไกลเพียงสิบจั้งเท่านั้น เกินกว่านั้นจะกลายเป็นเงาราง ๆ และไม่ชัดเจน

ในที่สุดเขาก็หลงทางอีกครั้ง

“อาหลี่ เจ้าสามารถคำนวณเส้นทางออกจากที่นี่ได้หรือเปล่า?”

จางจิ่วหยางหยุดเดินชั่วคราวเพื่อพักและรักษาพลังงาน พร้อมกับเรียกหาอาหลี่ในร่างของหุ่นเชิด

ผ่านไปสักพัก เสียงของอาหลี่ก็ดังออกมาอย่างไม่มั่นใจ

“พี่จิ่ว ข้า... ข้าไม่แน่ใจเลย...”

“พอจะเห็นทางอยู่ราง ๆ แต่ก็ไม่ค่อยชัดเจน…”

จางจิ่วหยางพูดเสียงหนักแน่น “ไม่เป็นไร ลองเชื่อลางสังหรณ์ของเจ้าดู”

เมื่อถึงจุดนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองเสี่ยงดู

เขาเชื่อมั่นในความสามารถการคาดเดาของอาหลี่

“อื้ม! พี่จิ่ว ลองเดินไปทางใต้ก่อนสามร้อยก้าว จากนั้นเลี้ยวไปทางตะวันออก ระวังด้วยนะ ข้างหน้าดูเหมือนจะมีเหวลึกอยู่…”

อาหลี่ทำหน้าที่เป็นผู้นำทาง จางจิ่วหยางกุมดาบในมือแน่น เดินไปด้วยความระมัดระวังเต็มที่ อีกมือหนึ่งก็เตรียมพร้อมร่ายกระบวนท่าเรียกดาบบินอยู่ตลอดเวลา

โชคดีที่อาหลี่คำนวณเส้นทางได้ค่อนข้างแม่นยำ ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกได้ว่าบริเวณรอบ ๆ เริ่มเปิดโล่งมากขึ้น ความตึงเครียดในจิตใจก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาถูกทางแล้ว

“พี่จิ่ว อีกนิดเดียวเอง เลี้ยวขวาไป เราจะออกไปได้แล้ว~”

เสียงของอาหลี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

จางจิ่วหยางพยักหน้า แต่ทันทีที่เขาเลี้ยวขวา เขาก็หยุดนิ่งทันทีด้วยความตกใจ

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าช่างน่าขนลุก

ภายใต้แสงจันทร์ มีต้นไหวขนาดใหญ่ยืนต้นตระหง่านอยู่กลางป่า กิ่งก้านของมันแผ่ขยายออกไปคล้ายกับแขนของวิญญาณ และที่น่ากลัวที่สุดคือ ใต้กิ่งไม้แต่ละกิ่งนั้น มีศพมากมายแขวนอยู่แน่นขนัด ร่างของพวกมันแกว่งไปมาตามสายลมเบา ๆ ราวกับกำลังเต้นระบำมรณะ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด