บทที่ 44 ปีศาจต้นไหวในป่าผีสิง
###
เบื้องหน้าของจงขุยนั้น วิญญาณผีทุกตนล้วนเท่าเทียมกัน
แม้ว่าจางจิ่วหยางจะไม่ได้เป็นจงขุย แต่ด้วยความสามารถในการกินผีของเขา จึงถือได้ว่าเป็นศัตรูตามธรรมชาติของเหล่าวิญญาณร้ายทั้งปวง เพียงแค่เขาอ้าปากดูดกลืน พลังงานแห่งความชั่วร้ายรอบทิศทางก็ถูกดูดเข้าสู่ร่างกาย ราวกับเป็นบ่อแห่งความตายอันไร้ก้นบึ้ง
แม้ว่าเจ้าจิ้งจอกเฒ่าจะเต็มไปด้วยความแค้นอันลึกซึ้ง และทำท่าทีเหมือนจะต่อสู้จนตัวตาย ท้ายที่สุดกลับถูกจางจิ่วหยางดูดกลืนเข้าไปในท้องจนหมดสิ้น
เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี้ไม่ธรรมดาเลย ด้วยการบำเพ็ญเพียรมาถึงหกสิบปี แม้จะถูกกลืนกินเข้าไปแล้ว ยังพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ท้องของจางจิ่วหยางปูดโปนขึ้นเล็กน้อย ราวกับมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวภายใน
อาหลี่กระพริบตาปริบ ๆ แล้วกล่าวด้วยความสงสัย “พี่จิ่ว ท้องพี่โตขึ้น หรือว่าพี่ท้องแล้ว?”
จางจิ่วหยางได้แต่เงียบงันไปครู่หนึ่ง
“ตูม!”
เสียงฟ้าร้องดังก้องขึ้นภายในร่างของเขา ภายใต้พลังแห่งการกินผี ร่างกายของเขาเปรียบเสมือนเตาไฟที่เผาผลาญวิญญาณร้ายโดยเฉพาะ ไม่นานนัก การเคลื่อนไหวของเจ้าจิ้งจอกเฒ่าก็เริ่มเบาบางลง จนกระทั่งเงียบสงบไปในที่สุด
“ฝุ่นคืนสู่ดิน วิญญาณกลับคืนสู่ฟ้า วิญญาณของเจ้าจะหลอมรวมกับข้า”
จางจิ่วหยางเรอออกมาเสียงดัง ก่อนจะรีบนั่งสมาธิทันที พลางบอกให้อาหลี่คอยปกป้องเขาระหว่างที่เขากำลังย่อยอาหารมื้อนี้อย่างสมบูรณ์
สายแห่งความเคียดแค้นพุ่งตรงเข้าใส่จิตใจของเขา หากเป็นเมื่อก่อนคงทำให้เขารู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้กลับไม่มีผลใด ๆ จิตใจของเขาแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้าที่ผ่านการหลอมมาหลายครั้ง แม้ความเคียดแค้นจะถาโถมเข้าใส่ ก็ไม่อาจทำให้เขาสั่นคลอนได้
ค่ำคืนนี้ที่ได้ฟาดฟันปีศาจจิ้งจอก ความแค้นเก่าถูกชำระจนหมดสิ้น ทำให้จิตใจของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความฮึกเหิม สภาพจิตใจจึงก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น
ระหว่างที่นั่งสมาธิ เขาก็มองเห็นชีวิตในอดีตของเจ้าจิ้งจอกเฒ่า
มันเคยเป็นจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งในภูเขาหกแผ่นดินนอกเมืองชิงโจว บังเอิญกินพลังวิญญาณภูตจนบรรลุสติปัญญา จากนั้นก็ฝึกฝนดูดกลืนพลังจากแสงจันทร์จนมีพลังอาคม หลังจากบำเพ็ญมาครบสามสิบปี ก็เริ่มกราบไหว้กลุ่มดาวเหนือเพื่อแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ในที่สุด
ในช่วงแรก มันใช้ลมปราณปีศาจในการลักขโมยไก่เป็ดมากิน แต่ไม่นานก็เริ่มอดใจไม่ไหวจนถึงขั้นกินคน
ตั้งแต่นั้นมา ความอยากกินมนุษย์ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป
แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต มันจึงเลือกกินเฉพาะผู้คนที่เข้าไปล่าสัตว์หรือเก็บสมุนไพรในป่า และทำเช่นนี้ไม่บ่อยนัก
กระทั่งวันหนึ่ง ลูกเพียงคนเดียวของมันถูกฆ่า มันจึงโกรธแค้นจนออกจากภูเขา
ไม่ทราบเวลาผ่านไปนานเท่าไร จางจิ่วหยางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แววตาดูสดใสขึ้นกว่าเดิม เสื้อคลุมยาวพลิ้วไหวแม้ไม่มีลม รอบกายเต็มไปด้วยพลังอาคม ราวกับว่าเขาได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากการต่อสู้ครั้งนี้
พลังบำเพ็ญเพียรของเขาเพิ่มพูนขึ้นอีกครั้ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อถึงเวลาครบหนึ่งร้อยวัน เขาอาจจะลองทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สามได้โดยตรง
ความเร็วในการฝึกเช่นนี้ หากแพร่งพรายออกไป คงทำให้หลายคนต้องริษยาและอิจฉาเป็นแน่
แต่จางจิ่วหยางกลับรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย
“อาหลี่ เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ!”
เมื่อครู่นี้ช่างอันตรายยิ่งนัก ในความทรงจำของเจ้าจิ้งจอกเฒ่า เขาเห็นภาพเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว ภายในส่วนลึกของป่าแห่งนี้มีปีศาจต้นไหวอันน่ากลัวซ่อนตัวอยู่!
ปีศาจต้นไหวมีพลังเวทมนตร์อันลึกลับ ใครก็ตามที่ได้พบมัน จะเกิดความคิดอยากตายขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล และสุดท้ายก็มักจะผูกคอตายบนกิ่งของต้นไหว
สิ่งนี้เกิดขึ้นแม้แต่กับผู้ที่มีพลังบำเพ็ญเพียรบางคน!
คาถาสร้างสัตว์ปีศาจและคาถาปรุงผีโรคระบาดของเจ้าจิ้งจอกเฒ่า ล้วนได้มาจากบรรดาเหล่านักพรตที่ผูกคอตายบนต้นไหวเหล่านั้น
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าเมื่อเห็นว่าจางจิ่วหยางตามล่ามันไม่เลิกรา จึงจงใจเปลี่ยนทิศทางหวังจะล่อเขาเข้าสู่เขตแดนของปีศาจต้นไหว เพื่อให้มันช่วยกำจัดเขาแทน
เมื่อคิดเช่นนี้ จางจิ่วหยางก็รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว โชคดีที่เขาลงมือได้เร็วกว่า ใช้กระบี่บินสังหารเจ้าจิ้งจอกเฒ่าทันเวลา ไม่เช่นนั้น ผลลัพธ์อาจไม่แน่นอน
แต่ในเวลานี้ เขายังคงรู้สึกว่าป่าแห่งนี้ช่างเงียบสงัดน่าขนลุก ต้นไม้สูงใหญ่ผิดปกติ ใบไม้หนาทึบจนแสงจันทร์แทบส่องผ่านลงมาไม่ถึง
ลมยามค่ำคืนพัดผ่าน กิ่งไม้สั่นไหวเกิดเสียงดังกรอบแกรบ เงาไม้พลิ้วไหวดูคล้ายกับเหล่าภูตผีออกมาเดินเพ่นพ่านยามราตรี
บรรยากาศช่างหนาวเหน็บอย่างประหลาด
อาหลี่มองไปยังขนของเจ้าจิ้งจอกเฒ่าที่ถูกฟันจนขาดวิ่นด้วยความเสียดาย น่าเสียดายที่ไม่สามารถเอามาทำเป็นเสื้อให้พี่จิ่วได้ แต่เธอก็เชื่อฟัง เก็บดาบคู่ของตนแล้วกลับเข้าไปในร่างของหุ่นเชิดทันที
จางจิ่วหยางรีบออกเดินทางกลับตามเส้นทางในความทรงจำ แต่เมื่อเดินไปได้สักพัก เขาก็หยุดชะงักเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
ทำไมเขายังออกจากป่าไม่ได้?
เบื้องหน้ายังคงเป็นทะเลต้นไม้ที่ไร้ที่สิ้นสุด มองไม่เห็นเส้นทางออกแม้แต่น้อย
ตามความเร็วในการเดินของเขา ควรจะออกจากป่าไปนานแล้ว
หรือว่าเป็นเพราะ “ผีบังตา”?
จางจิ่วหยางส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเขาฝึกฝนจนมีพลังอาคมติดตัว และยังมีอาหลี่คอยอยู่ข้างกาย หากมีภูตผีบังตา คงไม่พ้นสายตาเขาไปได้
หรือว่าเขาจะหลงทาง?
กลางป่าลึกยากจะหาทิศทาง การหลงทางจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย จางจิ่วหยางก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปโดยสิ้นเชิง
เขากระตุ้นพลังภายในแล้วกระโดดขึ้นไปบนยอดไม้ ด้วยความเบาเหมือนขนนก ร่างของเขาก็ลอยขึ้นสู่ยอดไม้และยืนนิ่งอยู่บนกิ่งสูงที่ไหวตามสายลมยามค่ำคืน
ในที่สุด เขาก็เห็นทุ่งกว้างอยู่ไกลออกไป
ที่แท้เขาก็หลงทางจริง ๆ จางจิ่วหยางถอนหายใจเบา ๆ เมื่อปรับทิศทางได้แล้วจึงกระโดดลงจากต้นไม้และเดินทางต่อไป
ครั้งนี้ดูเหมือนไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว
แต่เมื่อเดินไปได้อีกสักพัก เขาก็ยังคงเห็นเงาไม้ที่พลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้า
“ซ่า!”
สายลมพัดผ่านทำให้ต้นไม้เคลื่อนไหว เสียงของมันในยามนี้กลับไม่ได้นำความสงบมาให้ แต่กลับสร้างบรรยากาศอันชวนให้ขนลุก ราวกับมีบางสิ่งที่ชั่วร้ายซ่อนอยู่ในเงามืดและจับจ้องเขาอยู่
จางจิ่วหยางกระชับดาบปราบมารในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขามั่นใจแล้วว่าไม่ได้หลงทาง แต่กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้ายบางอย่าง!
เขากระโดดขึ้นไปบนยอดไม้อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ประหยัดพลังงานอีกต่อไป ใช้พลังเหยียบยอดไม้เพื่อพุ่งตรงไปยังทุ่งกว้างที่เห็นอยู่ไกล ๆ แต่แล้วไม่นาน เขาก็ได้เห็นภาพที่ทำให้หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว
ต้นไม้เบื้องหน้ากำลังเคลื่อนไหว!
ต้นไม้เหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ตามทิศทางการเคลื่อนที่ของเขา โดยไร้เสียงใด ๆ เปลี่ยนตำแหน่งอย่างลับ ๆ ทำให้เขาหันหลังให้กับทางออกโดยไม่รู้ตัว
“บ้าเอ๊ย โลกนี้มีสิ่งชั่วร้ายมากเกินไปแล้วหรือยังไงกัน?”
ความเย็นเยียบแล่นขึ้นสู่แผ่นหลังของจางจิ่วหยาง หากเป็นคนธรรมดา หรือแม้กระทั่งนักล่าที่มีประสบการณ์ คงไม่มีทางรอดพ้นจากการถูกขังอยู่ในป่าแห่งนี้แน่นอน
สถานที่แห่งนี้อันตรายเกินไป หนีให้เร็วที่สุดคือทางออกที่ดีที่สุด!
จางจิ่วหยางสูดหายใจลึก รวบรวมสติแล้วใช้พลังเหยียบยอดไม้ต่อไป แต่ไม่ทันไร หมอกขาวหนาทึบก็ค่อย ๆ ปกคลุมทั่วทั้งป่า
หมอกหนาทำให้การมองเห็นแย่ลง แม้เขาจะใช้พลังอาคมกับดวงตา ก็ยังมองเห็นได้ไกลเพียงสิบจั้งเท่านั้น เกินกว่านั้นจะกลายเป็นเงาราง ๆ และไม่ชัดเจน
ในที่สุดเขาก็หลงทางอีกครั้ง
“อาหลี่ เจ้าสามารถคำนวณเส้นทางออกจากที่นี่ได้หรือเปล่า?”
จางจิ่วหยางหยุดเดินชั่วคราวเพื่อพักและรักษาพลังงาน พร้อมกับเรียกหาอาหลี่ในร่างของหุ่นเชิด
ผ่านไปสักพัก เสียงของอาหลี่ก็ดังออกมาอย่างไม่มั่นใจ
“พี่จิ่ว ข้า... ข้าไม่แน่ใจเลย...”
“พอจะเห็นทางอยู่ราง ๆ แต่ก็ไม่ค่อยชัดเจน…”
จางจิ่วหยางพูดเสียงหนักแน่น “ไม่เป็นไร ลองเชื่อลางสังหรณ์ของเจ้าดู”
เมื่อถึงจุดนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองเสี่ยงดู
เขาเชื่อมั่นในความสามารถการคาดเดาของอาหลี่
“อื้ม! พี่จิ่ว ลองเดินไปทางใต้ก่อนสามร้อยก้าว จากนั้นเลี้ยวไปทางตะวันออก ระวังด้วยนะ ข้างหน้าดูเหมือนจะมีเหวลึกอยู่…”
อาหลี่ทำหน้าที่เป็นผู้นำทาง จางจิ่วหยางกุมดาบในมือแน่น เดินไปด้วยความระมัดระวังเต็มที่ อีกมือหนึ่งก็เตรียมพร้อมร่ายกระบวนท่าเรียกดาบบินอยู่ตลอดเวลา
โชคดีที่อาหลี่คำนวณเส้นทางได้ค่อนข้างแม่นยำ ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกได้ว่าบริเวณรอบ ๆ เริ่มเปิดโล่งมากขึ้น ความตึงเครียดในจิตใจก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาถูกทางแล้ว
“พี่จิ่ว อีกนิดเดียวเอง เลี้ยวขวาไป เราจะออกไปได้แล้ว~”
เสียงของอาหลี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
จางจิ่วหยางพยักหน้า แต่ทันทีที่เขาเลี้ยวขวา เขาก็หยุดนิ่งทันทีด้วยความตกใจ
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าช่างน่าขนลุก
ภายใต้แสงจันทร์ มีต้นไหวขนาดใหญ่ยืนต้นตระหง่านอยู่กลางป่า กิ่งก้านของมันแผ่ขยายออกไปคล้ายกับแขนของวิญญาณ และที่น่ากลัวที่สุดคือ ใต้กิ่งไม้แต่ละกิ่งนั้น มีศพมากมายแขวนอยู่แน่นขนัด ร่างของพวกมันแกว่งไปมาตามสายลมเบา ๆ ราวกับกำลังเต้นระบำมรณะ