บทที่ 39 หลอมพลังหยินหยาง ด่านอันตรายร้อยวัน
###
สองวันต่อมา
“สุริยันคือหยาง หยางซ่อนสัญลักษณ์หยินไว้ภายใน ดังปรอทที่อยู่ในทราย หากหยางไม่มีหยิน ย่อมไม่สามารถส่องประกายจิตวิญญาณได้ จึงเรียกว่าไฟตัวเมีย เป็นหยางที่มีหยินแฝงอยู่ ภายในสุริยันมีอู๋ ประกอบด้วยสัญลักษณ์ทิศใต้ เรียกว่าเหลี่ยวนี่…”
ยามค่ำคืน จางจิ่วหยางนั่งสมาธิอยู่ในศาลาเย็นอีกครั้ง พร้อมกับฝึกตามวิธีในภาพสุริยันอู๋กระต่ายจันทรา เพื่อพยายามทะลวงขั้น
ภาพแรกของคัมภีร์ลับเตาหยกคือภาพมังกรไฟพยัคฆ์วารี โดยเน้นที่การหล่อหลอมพลังหยินหยางในร่างกาย เพื่อปูพื้นฐานสำหรับการฝึกภาพที่สอง
ภาพสุริยันอู๋กระต่ายจันทรานั้นคือการนำพลังหยินหยางไปประยุกต์ใช้ในขั้นต่อไป
ตามหลักการแพทย์แผนจีน เชื่อว่ามนุษย์มีพลังสองชนิดในไต หนึ่งคือหยางของไต อีกหนึ่งคือหยินของไต หยางของไตเรียกอีกอย่างว่าย่วนหยางหรือหยางแท้ ส่วนหยินของไตเรียกว่าย่วนหยินหรือหยินแท้ การผสมผสานของพลังหยินหยางนี้เท่านั้นที่สามารถก่อเกิดพลังชีวิตอย่างต่อเนื่องได้
แต่โดยทั่วไปแล้ว การควบคุมพลังหยินหยางนั้นทำได้ยาก บางครั้งหยางมากเกินไปหยินน้อย บางครั้งหยินมากเกินไปหยางน้อย นี่จึงเป็นเหตุผลที่แม้แต่โรคไตพร่องยังแบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่ ไตหยางพร่องและไตหยินพร่อง
ทว่าภาพสุริยันอู๋กระต่ายจันทรานี้ สามารถช่วยให้ผู้ฝึกปรับสมดุลพลังหยินหยางในไตได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเปิดเผยความลับอันไร้ขอบเขตที่ซ่อนอยู่ในนั้น
ซ่า~
จางจิ่วหยางได้ยินเสียงคลื่นทะเลอีกครั้ง เขาพบว่าตนกลับมาอยู่หน้าทะเลสีดำสนิท และมองเห็นวิญญาณไตเสวียนหมิง
เต่าดำขนาดใหญ่ราวกับภูเขา มีพลังในการพลิกน้ำพลิกทะเล แต่กลับมีนิสัยสงบเสงี่ยม มันลอยนิ่งอยู่ในน้ำราวกับเกาะขนาดมหึมา
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเขาจะตะโกนเรียกมันอย่างไร ก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แต่ครั้งนี้ จางจิ่วหยางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เต่าดำก็เหมือนจะรับรู้ได้ มันเคลื่อนร่างใหญ่มโหฬารเข้ามาหาเขา
ชั่วพริบตาเดียว คลื่นทะเลสงบก็พลันกลายเป็นคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ
สายตาของจางจิ่วหยางเปล่งประกายเจิดจ้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ทะเลสีดำนี้แท้จริงคือหยินของไต ส่วนเต่ายักษ์ตัวนี้คือหยางของไต เต่าอาศัยน้ำ น้ำเลี้ยงเต่า
หยินหยางคือประตูสู่การเชื่อมต่อวิญญาณไตเสวียนหมิง
ตูม!
คลื่นทะเลซัดกระหน่ำเข้ามา กลืนร่างของจางจิ่วหยางในพริบตา แต่เขากลับไม่รู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่าตัวเองกลายเป็นเต่ายักษ์ตัวนั้นไปเสียแล้ว
เสวียนหมิงคือข้า ข้าคือเสวียนหมิง
ด่านร้อยวัน ทะลวงได้สำเร็จ!
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องราวกับสายฟ้าฟาด เสมือนกำแพงขนาดใหญ่พังทลาย และทำนบแม่น้ำที่ยาวหลายพันลี้พังครืนลงมา สายน้ำเชี่ยวกรากไหลทะลักออกมาด้วยแรงมหาศาล
จางจิ่วหยางลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายสดใส ราวกับจุดแสงในรัตติกาล
ขณะนี้ พลังชีวิตในร่างของเขาเหมือนน้ำป่าไหลทะลักไม่หยุด ผ่านการหล่อหลอมด้วยพลังน้ำและไฟจนกลายเป็นพลังบริสุทธิ์ แม้จะเหลืออยู่ไม่มากนักเนื่องจากกระบวนการคัดกรองสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกไป แต่ข้อดีคือมันยังคงไหลเวียนไม่สิ้นสุด
นี่แหละที่เรียกว่า การหลอมพลังหยินหยางให้เป็นพลังชี่
กล่าวโดยไม่เกินเลยนัก ทุกครั้งที่เขาหายใจเข้าออก พลังของเขาก็จะพัฒนาขึ้น แม้จะไม่ใช่การพัฒนาครั้งใหญ่โต แต่ก็มั่นคงยิ่ง
หากสามารถรักษาสภาพนี้ไว้ได้เป็นเวลานาน วันเวลาผ่านไป พลังของเขาย่อมก้าวหน้าไปอย่างมหาศาล!
แต่ยังไม่ทันที่จางจิ่วหยางจะได้ดีใจได้นาน ความรู้สึกร้อนระอุที่ไม่อาจควบคุมได้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ภาพในหัวของเขาเริ่มเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ล่อแหลมที่เขาเคยเห็นในชาติก่อน
ภาพเหล่านั้นชัดเจนจนเหมือนจริงทุกเสี้ยววินาที
ความร้อนนี้เหมือนเปลวไฟที่เผาน้ำมัน พุ่งขึ้นสูงทันใด ทำให้ผิวกายของเขาร้อนผ่าวและเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจนแทบเดือดพล่าน สมองของเขารู้สึกมึนงง
จางจิ่วหยางไม่เคยรู้สึกกระหายใคร่ครวญหญิงสาวเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เขาฝึกจิตจนจิตใจแข็งแกร่งขึ้น และสภาวะจิตวิญญาณของเขาก็ได้รับการพัฒนา ไม่แน่ว่าป่านนี้เขาอาจจะสูญเสียสติไปแล้วและกลายเป็นคนบ้ากามไปเลยก็เป็นได้
เขาพยายามอย่างหนักที่จะต่อสู้กับความปรารถนาอันร้อนแรงนั้น เพื่อรักษาความสงบภายในจิตใจไว้
ในขณะนั้นเอง เสียงใส ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
“พี่จิ่ว ท่านเป็นอะไรหรือ?”
เขาลืมตาขึ้น เห็นอาหลี่นั่งอยู่ริมสระน้ำ จ้องมองเขาด้วยความเป็นห่วง
“สระน้ำ...ข้ามีวิธีแล้ว!”
จางจิ่วหยางสูดหายใจลึก จากนั้นกระโดดลงไปในสระน้ำทันที ปล่อยให้ความเย็นของน้ำช่วยดับความร้อนที่พลุ่งพล่านในร่างกาย
ความร้อนที่รุมเร้าภายในร่างกายก็คลายลงไปชั่วคราว
เขาโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ สูดลมหายใจยาว ก่อนจะเผยยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
“ด่านร้อยวัน ด่านร้อยวัน ไม่แปลกใจเลยที่เรียกว่าด่าน คงอันตรายจริง ๆ”
ตอนนี้เขาฝึกจนเข้าสู่ขั้นที่สองสำเร็จแล้ว แต่ระดับพลังยังไม่มั่นคง ตั้งแต่นี้ไป พลังชีวิตจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังชี่อย่างต่อเนื่อง
ระยะเวลาที่กระบวนการนี้จะคงอยู่ขึ้นอยู่กับวิชาที่ใช้ฝึก
หากเป็นวิชาทั่วไป กระบวนการนี้อาจคงอยู่เพียงยี่สิบถึงสามสิบวัน หากเป็นวิชาชั้นดีก็อาจอยู่ได้สี่สิบถึงห้าสิบวัน แต่สำหรับภาพสุริยันอู๋กระต่ายจันทราจากคัมภีร์ลับเตาหยก กระบวนการนี้จะยืดเยื้อไปถึงหนึ่งร้อยวันเต็ม!
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “การสร้างฐานร้อยวัน”
เมื่อเทียบกับวิชาอื่น ๆ คัมภีร์ลับเตาหยกสามารถเปิดประตูหยินหยางของไตได้อย่างสมบูรณ์ พลังชี่ที่ได้มีทั้งปริมาณและคุณภาพเหนือกว่าผู้ฝึกในระดับเดียวกันอย่างมาก และสามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งของวิถีเต๋าชั้นเลิศได้
แต่ข้อเสียของมันก็คือ การเชื่อมต่อกับวิญญาณไตเสวียนหมิงทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทนทุกข์กับความร้อนที่แผดเผาในร่างกาย และในช่วงเวลาที่หลอมพลังหยินหยางเป็นพลังชี่ ห้ามสูญเสียความบริสุทธิ์โดยเด็ดขาด แม้แต่การปลดปล่อยอารมณ์ก็ไม่อาจทำได้
มิฉะนั้น อย่างเบาที่สุด พลังจะถดถอย ระดับพลังลดลง อย่างหนักก็อาจทำให้รากฐานวิถีเต๋าพังทลาย และไม่มีโอกาสฝึกฝนอีกเลยตลอดชีวิต
เมื่อครู่จางจิ่วหยางเกือบจะพลาดท่าไปแล้ว
ตอนนี้แม้เขาจะสงบจิตใจได้แล้ว แต่ความร้อนภายในร่างกายยังคงหลงเหลืออยู่ เหมือนกับมีเตาไฟอยู่ภายในที่ยังคงปล่อยความร้อนออกมาไม่หยุด
ในช่วงร้อยวันนี้ แม้พลังของเขาจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ต้องอดทนกับความร้อนแรงและความปรารถนาอย่างสุดขีดไปตลอดจนกว่าจะสร้างฐานได้สำเร็จ
เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะสามารถยืนหยัดในขั้นที่สองได้อย่างมั่นคง และผ่านพ้นด่านร้อยวันไปได้
จางจิ่วหยางสูดหายใจลึกอีกครั้ง ก่อนจะปีนขึ้นจากสระน้ำ แล้วปลอบอาหลี่ที่เต็มไปด้วยความกังวลว่า “ไม่เป็นไร เมื่อครู่ข้าแค่ฝึกผิดพลาดนิดหน่อย ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสียงท้องร้องก็ดังขึ้นมา
จางจิ่วหยางส่ายหัวและยิ้มแห้ง ๆ “จริง ๆ แล้วปัญหามักมาในเวลาที่แย่ที่สุด ตอนนี้ข้าดันหิวขึ้นมาอีกแล้ว”
“พี่จิ่ว ข้าจะทำอาหารให้ท่าน ท่านอยากกินอะไร?”
“กินผี”
อาหลี่เบิกตากว้าง ส่ายหัวรัว ๆ เหมือนกลองสะบัดชัยก่อนจะรีบพูดว่า “อาหลี่ไม่อร่อยนะ!”
จางจิ่วหยางหัวเราะออกมาเสียงดัง ความอึดอัดในใจก็พลันมลายหายไป เขาหัวเราะพลางพูดว่า “งั้นเจ้าช่วยข้าดูสิว่าแถวนี้มีผีที่ไหนบ้าง”
เขาลูบท้องตัวเองเบา ๆ
“ช่างเถอะด่านร้อยวัน ข้าขอกินให้อิ่มก่อนค่อยว่ากัน!”
เมื่อคนเครียด ก็ต้องกินของอร่อยบ้าง
อาหลี่เริ่มทำการทำนายทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือใด ๆ อย่างคนทั่วไป นางหลับตาแน่นและส่ายศีรษะไปมา พลางพึมพำอะไรบางอย่าง
“ออกมาเร็ว ๆ รีบออกมาเร็ว ๆ!”
เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผล นางก็ถอดหัวตัวเองออกมาแล้วเขย่าอย่างแรง
ใบหน้าของจางจิ่วหยางพลันเปลี่ยนเป็นดำสนิท
นี่มันอะไรกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใครใช้หัวตัวเองเป็นเครื่องมือทำนาย
แต่อย่างน้อยก็พอจะเห็นได้ว่าการทำนายครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ผ่านไปสักพัก อาหลี่หยุดการเขย่าหัวกะทันหัน ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“พี่จิ่ว ข้าทำนายได้แล้ว!”
“ใส่หัวกลับไปก่อน”
“โอเค”
อาหลี่ใส่หัวกลับเข้าไปที่คอ ก่อนจะเซเล็กน้อยด้วยอาการมึนหัว
“ทำไมรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย...”
จางจิ่วหยางยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจยาว
...
ไม่นานนัก อาหลี่ก็พาจางจิ่วหยางมายังหน้าอาคารหลังหนึ่ง
แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ที่นี่กลับคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ทั้งแสงไฟ เสียงหัวเราะ และผู้คนที่เดินเข้าออกไม่ขาดสาย
จางจิ่วหยางมองป้ายชื่อขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่หน้าอาคาร พลางตกตะลึงไปชั่วขณะ
“อี๋หงหย่วน! (หอแดงสุขสำราญ)”