บทที่ 34 สุ่ยชินหวังต้องเป็นผู้ลงมือแน่นอน
"ฟิ้ว!"
เสียงแหลมแทงทะลุฟ้าดังขึ้นในยามนั้น
ผู้อาวุโสซุนเงยหน้ามองไปยังต้นกำเนิดเสียง
ณ จุดที่ฟ้าบรรจบกับดิน แสงสีเขียวมรกตเส้นหนึ่งฉีกผ่านเมฆา พุ่งทะยานราวกับดาวตกสู่เมืองที่อยู่เบื้องล่าง
"นั่นคืออะไร?"
ผู้อาวุโสซุนกะพริบตาพยายามมองให้ชัดขึ้น
แต่เพียงชั่วพริบตา แสงสีเขียวนั้นก็มาถึงเหนือตัวเมือง ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
"ดาบเหิน...!"
เมื่อเห็นสภาพที่แท้จริงของแสงสีเขียว ผู้อาวุโสซุนก็สีหน้าซีดเผือด อุทานออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ดาบบัญชาสายลมแฝงความโกรธแค้นของหลินยวี่ เหินข้ามภูเขาและแม่น้ำสามพันลี้ แผ่จิตดาบอันทรงพลัง ดั่งดวงดาวที่ทอประกายเหนือผืนแผ่นดิน!
หลินสว๋อที่ถูกร่างทะมึนในชุดดำสามตนล้อมไว้ตรงกลาง กำลังสิ้นหวังก็เห็นดาบวิเศษที่พุ่งเข้ามา
ก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งตัว ดาบก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งวนรอบร่างชุดดำทั้งสามที่ล้อมเขาอยู่
เมื่อแสงจางหาย ร่างชุดดำทั้งสามก็แตกเป็นชิ้นๆ ราวกับตัวต่อที่ถูกโค่นล้ม กระจัดกระจายรอบตัวหลินสว๋อ
"สุ่ยชินหวัง ต้องเป็นสุ่ยชินหวังลงมือแน่ๆ!"
หลินสว๋อนึกถึงตำนานที่แพร่สะพัดไปทั่วทุกแคว้นเมื่อไม่นานมานี้ ดวงตาเขาเปล่งประกายยินดี แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดสุ่ยชินหวังถึงรู้ว่าเขาตกอยู่ในอันตรายทั้งๆ ที่อยู่ห่างไกลพันลี้ แต่ผู้ที่สามารถบัญชาดาบเหินและสังหารร่างชุดดำระดับขั้นสามในพริบตา นอกจากสุ่ยชินหวังแห่งราชวงศ์ต้าฮั่นแล้วจะเป็นใครไปได้?...
ดาบเหินวนรอบหนึ่ง แล้วชี้ตรงไปยังผู้อาวุโสซุนที่ยืนอยู่บนหลังคา
ผู้อาวุโสซุนที่เตรียมจะหลบหนีถูกดาบชี้ใส่ สีหน้าซีดเผือดทันที เขารู้สึกถึงจิตดาบเย็นเยียบที่ล็อคเป้าหมายเขาไว้ ไม่ว่าจะหนีไปที่ใดก็ไม่อาจรอดพ้นการจู่โจมครั้งนี้
ในขณะนั้น ลางสังหรณ์ถึงความตายก็ผุดขึ้นในใจ!
ดาบเหินลอยนิ่งกลางอากาศ จู่ๆ ก็เร่งความเร็วกลายเป็นแสงสีเขียวที่เร็วจนตาไม่อาจมองเห็น พุ่งตรงไปยังหัวใจของผู้อาวุโสซุน ปรากฏตัวตรงหน้าเขาในชั่วพริบตา
ผู้อาวุโสซุนคำรามด้วยความโกรธ พลังมารพลุ่งพล่านทั่วร่าง เขาชักดาบยาวออกจากหลัง ฟันเข้าใส่แสงสีเขียวจากดาบเหินอย่างดุดัน
โครม!
เมื่อดาบเหินมาถึง พลังมารที่ผู้อาวุโสซุนรวบรวมไว้บนดาบยาวก็สลายไปในทันที ตามด้วยรอยแตกมากมายที่ผุดขึ้นบนใบดาบ ก่อนที่มันจะแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ก่อนที่ผู้อาวุโสซุนจะทันได้สติ ดาบเหินก็วาบแสง ทะลุผ่านหัวใจเขา เลือดสีแดงสดพุ่งกระเซ็น
ผู้อาวุโสซุนก้มมองหัวใจที่ถูกทะลวงด้วยความไม่อยากเชื่อ ร่างเขาพลันทรุดจากหลังคาโรงเหล้า ร่วงกระแทกพื้นอย่างหนัก
แม้กระทั่งตอนตาย เขาก็ยังไม่อาจเชื่อได้ว่า ทั้งๆ ที่สุ่ยชินหวังถูกสำนักถอดวิญญาณเปลี่ยนเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้ว แล้วผู้ใดกันที่สามารถบัญชาดาบเหินพันลี้ สังหารคนอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ได้?
หลังจากสังหารผู้อาวุโสซุน ดาบเหินก็วนรอบตัวหลินสว๋อหนึ่งรอบ ก่อนจะกลายเป็นแสงพุ่งหายไปในขอบฟ้า จางหายไปจากสายตาในพริบตา
หลินสว๋อมองไปรอบๆ ถนนสายยาวเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลรวมกันเป็นธาร ซากศพเกลื่อนกลาด ราวกับนรกบนดิน
ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าม้าเร่งร้อนดังมาจากปลายถนน กองทัพม้าเกราะครบชุดที่แผ่รัศมีน่าเกรงขามควบตะบึงมาทางนี้
ตามหลังกองทัพม้าคือทหารหาญนับไม่ถ้วน ในชั่วครู่ทั้งถนนก็ถูกปิดล้อม
"ขอประทานอภัย องค์ชายที่สี่ ข้าน้อยหลานยวี่มาช้าเกินไป ขอพระองค์ลงโทษด้วย!"
แม่ทัพในหน้ากากยักษ์ สวมเกราะหนัก ถือหอกยาว มาหยุดตรงหน้าหลินสว๋อพร้อมกองทัพม้าเกราะ คุกเข่าลงขออภัย!
"จัดคนคุ้มกันข้ากลับวังหลวง!"
หลินสว๋อมองซากร่างชุดดำ สีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกว่าเบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้ซ่อนแผนการใหญ่ไว้
"รับบัญชา!"
หลานยวี่คำนับ สั่งให้กองทัพม้าเกราะคุ้มกันหลินสว๋อตลอดทาง
ทหารม้าเกราะทุกนายเป็นหนึ่งเดียวกับม้าศึก ล้วนเป็นยอดฝีมือคัดสรรมาจากกองทัพ เกราะที่สวมใส่แฝงกลไกพิเศษ ทหารม้าเกราะสิบกว่านายรวมพลังกันสามารถต้านทานนักยุทธ์ขั้นก่อนฟ้าได้
หากทหารม้าเกราะนับร้อยนับพันรวมกำลังตั้งแนวรบ แม้แต่ผู้แกร่งขั้นจื่อฟู่ก็ไม่อาจฝ่าได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีทหารม้าเกราะคุ้มกัน หลินสว๋อจึงวางใจได้อย่างเต็มที่!
...
ในสุสานจักรพรรดิ หลินยวี่มองดาบบัญชาสายลมที่บินกลับมาจากขอบฟ้า เก็บมันเข้าไปในห้วงจิต ซ่อนไว้ในหม้อศักดิ์สิทธิ์กลืนเทพ
"แปลกจริง คนที่ถูกดาบบัญชาสายลมสังหารล้วนฝึกวิชาของราชวงศ์ต้าโจว แต่เลือดลมในร่างเหือดแห้ง ไร้สัญญาณชีพ ราวกับคนตายที่ยังเดินได้!"
หลินยวี่ขมวดคิ้ว ดาบบัญชาสายลมคือดวงตาและหูของเขา ทำให้รับรู้ถึงความผิดปกติของร่างไร้วิญญาณได้อย่างชัดเจน
"จื๊อๆ! พลังมารเข้มข้นเหลือเกิน!"
เสียงของดิงแหยดังขึ้นในห้วงจิตของหลินยวี่
"อะไรนะ?"
หลินยวี่ถามอย่างสงสัย
"พลังมารบนดาบบัญชาสายลมเข้มข้นมาก ที่เจ้าสังหารไปเมื่อครู่ นอกจากคนสุดท้าย ที่เหลือล้วนเป็นร่างไร้วิญญาณ!"
ดิงแหยหัวเราะเบาๆ วิชาลับของสำนักมารไม่มีความลับใดจากเขา
"ร่างไร้วิญญาณ?"
หลินยวี่สงสัย หลังจากสำนักมารถูกทั่วหล้าล้อมปราบ ก็หายเงียบไปนาน ทำให้ผู้คนรู้เรื่องราวของสำนักมารน้อยนัก เขาเองก็ไม่รู้ว่าร่างไร้วิญญาณคืออะไร
"แค่เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ของสำนักมารเท่านั้น! นำร่างนักยุทธ์มาดัดแปลงให้เป็นหุ่นที่ทำตามคำสั่ง แต่มีข้อจำกัดมากมาย วิธีดัดแปลงก็ซับซ้อน สรุปคือหลังถูกดัดแปลงเป็นร่างไร้วิญญาณ พลังของนักยุทธ์จะลดลงมากเมื่อเทียบกับตอนมีชีวิต ไม่ต้องกังวล!"
ดิงแหยเผยความลับของร่างไร้วิญญาณ
"ดิงแหย ท่านรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?"
หลินยวี่ถามอย่างประหลาดใจ
"ฮ่ะๆ! หลังจากข้าดูดกลืนพวกมารในหอคอยผนึกมาร ความทรงจำของพวกมันก็ตกเป็นของข้า พูดถึงความรู้เกี่ยวกับสำนักมาร แม้แต่พวกฝึกวิชามารในปัจจุบันก็สู้ข้าไม่ได้!"
ดิงแหยพูดอย่างภาคภูมิใจ
"ดิงแหย คนที่ทำลายจุดพลังและลมปราณของข้าในตอนนั้น จะเป็นผู้ฝึกวิชามารหรือไม่?"
หลินยวี่นึกขึ้นได้ คนลึกลับที่ลอบโจมตีเขาในอดีตโหดเหี้ยมไร้ความปรานี หากไม่ใช่เพราะกองทัพม้าเกราะเสื้อดำของเขาสละชีพปกป้อง เขาคงตายด้วยน้ำมือคนลึกลับไปแล้ว
"ตอนนั้นเจ้ายังไม่ได้ปลุกข้า ใครจะรู้ว่าคนที่ลอบโจมตีเจ้าเป็นผู้ฝึกวิชามารหรือไม่? สรุปคือเจ้าหาของวิเศษมาให้ข้าดูดกลืนให้มากๆ พอเจ้าแกร่งกล้าที่สุดในใต้หล้าแล้ว ก็ฆ่าคนที่อาจจะลงมือกับเจ้าให้หมด ต้องฆ่าถึงตัวการเบื้องหลังสักวัน!"
ดิงแหยหัวเราะ แล้วเร่งให้หลินยวี่หาของวิเศษมาให้มันกลืนกิน
"ดิงแหย คืนนี้พวกเราไปที่หอคอยผนึกมารกันอีกที"
หลินยวี่ยิ้มบางๆ ยกเนื้อกวางต้มที่เดือดพล่านเข้าไปในกระท่อมหิน กินพร้อมกับชูชู
หลังฝึกคัมภีร์กระบวนท่าบัญชาดาบเก้าชั้นฟ้าสำเร็จ ก็ถึงเวลาจัดการกับพวกมารที่ถูกผนึกในชั้นบนของหอคอยผนึกมารแล้ว!
"หอมจัง อาสาม ไม่นึกว่าท่านจะทำอาหารเก่งขนาดนี้!"
ชูชูเลียนแบบหลินยวี่กินเนื้อคำโตๆ ใบหน้าเผยความปลื้มปีติ
หลินยวี่มองชูชูที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ยิ้มพลางพูด "กินเยอะๆ เถอะ มีประโยชน์กับเจ้า"
ในหม้อต้มเนื้อนี้ใส่ของวิเศษที่เขาใช้ดาบเหินไปเก็บมา ไม่เพียงบำรุงร่างกาย แต่ยังเสริมพลัง เพิ่มพลังวิญญาณ เทียบได้กับยาวิเศษ
เมื่อชูชูกลับไปฝึกวิชาในยามค่ำ จะได้รู้ถึงความมหัศจรรย์ของมัน
(จบบท)