บทที่ 120 ผลึกแกนสัตว์อสูรบริสุทธิ์ [ฟรี]
"นั่นมันคืออะไรกันแน่? มันถูกอิฐดำดูดกลืนไปแล้วหรือ?"
ซู จิ้งเจิน พึมพำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะที่เขาระดมทั้งพลังโลหิตและพลังวิญญาณจากพลังขั้นเกลาดพลังปราณระดับสองเข้าสู่อิฐดำ
แต่หลังจากสำรวจหลายครั้ง เขาก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ
เรื่องนี้ทำให้เขาขมวดคิ้วหนักขึ้น
แม้การสืบค้นจะไม่ได้ผล แต่ซู จิ้งเจินก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
บางทีเขาอาจค้นพบความพิเศษที่คาดไม่ถึงของอิฐดำก้อนนี้ก็ได้
แม้จะพอใจกับสภาพของอิฐดำในตอนนี้แล้ว แต่ถ้าสามารถปลดปล่อยพลังพิเศษที่ซ่อนอยู่ได้ ก็จะยิ่งดีกว่าเดิม
คิดได้ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจไม่ขบคิดเรื่องนี้ต่อ แล้วเก็บซากเสือวายุทมิฬเข้ากำไลเก็บของทันที
จากนั้นเขาก็ไม่คิดจะออกล่าสัตว์อสูรตัวอื่นเพื่อทดลอง บนเขาชิงเฟิง
เขาปีนกลับลงมาตามยอดไม้และรีบลงจากเขา
ครั้งนี้เขาไม่ได้เจอสัตว์อสูรตัวใดระหว่างทาง
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เขาก็กลับมาถึงสำนักจันทราอธรรมและลานพักของตน
การเดินทางไปเขาชิงเฟิงกับลั่ว เยว่ไป๋ใช้เวลาเพียงครึ่งธูป แต่การเดินทางกลับด้วยเท้าใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม
ความเร็วระหว่างการบินกับการเดินเท้าแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
แม้จะดึกมากแล้ว แต่หลายตึกในสำนักจันทราอธรรมก็ยังสว่างไสว
อย่างไรก็ตาม ลานพักของเขาเงียบสงัดไปทั้งสี่ด้าน
แม้แต่สาวใช้ทั้งหกคนที่ลั่ว เยว่ไป๋ยัดใส่มือให้ก็เข้านอนแต่หัวค่ำแล้ว
ซู จิ้งเจินย่องกลับเข้าห้องอย่างเงียบๆ โดยไม่รบกวนใคร
หลังจากจัดระเบียบความคิดเล็กน้อย เขาก็เข้านอน
คืนนั้นผ่านไปอย่างสงบ
เช้าวันรุ่งขึ้น พอซู จิ้งเจินตื่นขึ้นมา ตัวอักษรสีทองก็ปรากฏตรงหน้าเขาอีกครั้ง
แต้มคะแนนมาตามกำหนดเวลา
แต้มของซวง เจียงและจาง ซิวยังคงเท่าเดิม รวมทั้งหมด 23 แต้ม
【แต้มที่ใช้ได้คงเหลือ: 177】
แม้จะเหลือเวลาอีกเพียง 490 วันก่อนที่ตันเถียนของเขาจะถูกทำลายอย่างถาวร แต่ซู จิ้งเจินก็ไม่กังวล
เขาเชื่อว่าตราบใดที่พลังและสถานะของเขาในโลกบำเพ็ญเซียนได้ไปถึงระดับหนึ่ง จะต้องมีทางแก้ปัญหาเรื่องตันเถียนแน่นอน
และดูจากความก้าวหน้าในตอนนี้ เวลา 490 วันก็มากพอแล้ว
"ข้าควรจัดการกับเนื้อเสือวายุทมิฬซะ ถ้าทิ้งไว้นานเกินไป มันจะไม่สด"
หลังจากยืดเส้นยืดสายอย่างขี้เกียจ ซู จิ้งเจินนึกถึงเสือวายุทมิฬที่เขาฆ่าเมื่อคืน จนรู้สึกหิวขึ้นมา
ลานพักของเขามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงห้องครัว
แต่ห้องครัวถูกทิ้งร้างมานาน เพราะผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่เคยอยู่ในสำนักหัวหยางล้วนมีพลังมากและไม่ต้องทำอาหาร
มีเพียงหลังจากที่เขาย้ายเข้ามา หยานเซี่ยและสาวใช้อีกห้าคนที่มีพลังตบะอ่อนแอหรือไม่มีเลย จึงต้องกินข้าววิเศษเพื่อประทังชีวิต
ดังนั้นเขาจึงทำความสะอาดห้องครัวนี้อีกครั้ง
ตอนนี้มีสาวใช้สองคนกำลังทำอาหารอยู่ในครัว
คนหนึ่งยืนอยู่หน้าเตา งุ่มง่ามจุดไฟ ใบหน้าและหน้าผากเปื้อนเขม่าดำ
ดูน่ารักแปลกๆ
เมื่อซู จิ้งเจินเข้ามา สาวใช้ทั้งสองตกใจ แล้วรีบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางประหม่าและค้อมตัวคำนับอย่างนอบน้อม
"คารวะท่านซู!"
พวกนางรู้ดีว่าอารมณ์ของผู้ฝึกตนในสำนักอธรรมเดาไม่ถูก อีกทั้งการที่ซู จิ้งเจินจู่ๆ ก็มาที่ห้องครัวก็ผิดปกติมาก
เห็นดังนั้น ซู จิ้งเจินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
เขาโบกมือให้พวกนาง "ออกไปก่อนเถอะ"
เขาไม่ได้อธิบายอะไรมาก และแน่นอนว่าสาวใช้ทั้งสองก็ไม่กล้าถามอะไรเขาต่อ พวกนางเพียงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วเดินออกจากครัว ไปยืนอยู่ที่ลานเล็กๆ ด้านนอก รู้สึกไม่แน่ใจ
"ทำไมท่านซูถึงอยากใช้ห้องครัวนะ?" คนหนึ่งถาม และทั้งคู่ก็ส่ายหน้าอย่างงุนงง
ซู จิ้งเจินไม่สนใจว่าสาวใช้ทั้งสองจะคิดอะไร เขาเพียงแค่นำซากเสือวายุทมิฬออกมาจากกำไลเก็บของ แล้วหยิบมีดครัวมาเริ่มชำแหละสัตว์
แม้จะเป็นครั้งแรก แต่ซู จิ้งเจินดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ เขาชำแหละหนังและเนื้อออกจากขาทั้งสี่ได้อย่างง่ายดาย
สำหรับผู้ฝึกตนขั้นขัดเกลาพลังปราณทั่วไป ทุกส่วนของเสือวายุทมิฬล้วนมีค่า แต่ละชิ้นสามารถขายได้ราคาดี
แต่ในฐานะนักปรุงยาขั้นสอง ซู จิ้งเจินไม่สนใจอวัยวะภายในพวกนั้น เขาต้องการเพียงเนื้อที่อุดมด้วยปราณโลหิตเท่านั้น
เมื่อเขาผ่าหัวเสือออก เขาพบลูกกลมเล็กๆ ขนาดประมาณนิ้วก้อย
ลูกกลมนั้นใสแจ๋ว แผ่พลังปีศาจบริสุทธิ์ออกมา
ดวงตาของซู จิ้งเจินเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น "นี่อาจเป็นแกนสัตว์อสูรในตำนานหรือเปล่า? ไม่คิดว่าแม้แต่สัตว์อสูรขั้นหนึ่งก็มีด้วย แต่... ทำไมมันดูแตกต่างจากที่บรรยายในตำนานจังนะ?"
แม้ว่าซู จิ้งเจินจะอยู่ในระดับล่างสุดของโลกบำเพ็ญเซียนมาสองปีครึ่ง แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องแกนสัตว์อสูรมาก่อน
เล่ากันว่าแกนสัตว์อสูรส่วนใหญ่รุนแรงมาก แม้ผู้ฝึกตนจะดูดซึมพลังภายในได้ แต่ต้องผ่านวิธีพิเศษก่อน ไม่เช่นนั้นผู้ฝึกตนธรรมดาอาจถูกพลังอันรุนแรงครอบงำจนตายได้
แต่หลังจากผ่านการขัดเกลาพิเศษ พลังส่วนใหญ่ในแกนสัตว์อสูรก็จะถูกทำให้สงบ
ในตอนนี้ ซู จิ้งเจินนึกถึงกระแสอากาศสีเทาที่พุ่งออกมาจากหัวของเสือวายุทมิฬเมื่อคืน
หัวใจเขาสั่นสะท้านอีกครั้ง!
"อาจเป็นเพราะอิฐดำหรือเปล่า?"
แววตาของซู จิ้งเจินยิ่งเจิดจ้าขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้น อิฐดำก็สมควรได้ชื่อว่าเป็นของวิเศษ แค่ความสามารถในการดูดซับจิตอาฆาตจากแกนสัตว์อสูรก็คุ้มค่าแล้ว
แม้จะยังตื่นเต้นกับการค้นพบ แต่ซู จิ้งเจินก็ไม่ขบคิดต่อ เพราะตอนนี้ยังยืนยันอะไรไม่ได้
หลังจากเก็บแกนสัตว์อสูรเข้ากำไลเก็บของอย่างจริงจัง สายตาของเขาก็หันไปมองเนื้อที่แล่เสร็จตรงหน้าเขา.
ห้องครัวมีเครื่องปรุงพร้อม และไม่นานก็มีกลิ่นหอมน่าลิ้มลองลอยออกมา
สาวใช้ทั้งสองที่ยังยืนอยู่หน้าครัวพลันได้กลิ่นหอมกรุ่น
"นี่มัน... หอมจัง!"
"แต่... ท่านซูให้พวกเราออกมาเพื่อที่จะทำอาหารเองหรือ? ข้าอยากรู้จังว่าท่านกำลังทำอะไร"
...
แค่กลิ่นอาหารก็ทำให้สาวใช้ทั้งสองน้ำลายสอ ต้านความหิวไม่ไหว
ในเวลาเดียวกัน ลั่ว เยว่ไป๋ก็เดินมาที่ลานนอกเรือนพักของซู จิ้งเจินโดยไม่รู้ตัว
"ข้าคงติดนิสัยเกินไปแล้ว. สหายซูน่าจะยังอยู่บนเขาชิงเฟิงในเวลานี้"
ขณะพึมพำกับตัวเอง ลั่ว เยว่ไป๋ก็เตรียมจะหันหลังกลับ
แต่แล้วจมูกของเขาก็กระตุก
"นี่มันกลิ่นอะไรกัน..."
ติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/SharkTran