ตอนที่ 330 ถ้านายอยู่รอดเกินหนึ่งชั่วโมง ถือว่าฉันแพ้แล้วกัน!
ตอนที่ 330 ถ้านายอยู่รอดเกินหนึ่งชั่วโมง ถือว่าฉันแพ้แล้วกัน!
“ใต้สุดทาง ใต้สุด . . . ขั้วโลกใต้!”
เจ้าหน้าที่ชีลด์ถึงกับเข้าใจในทันที และรีบเตรียมเครื่องบินควินท์เจ็ทอย่างเร่งด่วน
อันที่จริงแล้ว บอร์สามารถบินเองได้ และน่าจะเร็วกว่าการใช้เครื่องบินด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เขาถูกชีลด์ดูแลจนเคยตัว ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะอยากนั่งเฉย ๆ ให้ชีลด์จัดการให้ทั้งหมด แม้แต่การบินเขายังขี้เกียจบินเอง
ซึ่งประสิทธิภาพการทำงานของชีลด์สูงนั้นมาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็จัดการส่งบอร์ขึ้นเครื่องได้เรียบร้อย ระหว่างเดินทาง บอร์ก็เอาแต่ดื่มเหล้า กินหม้อไฟ และร้องเพลงไปตลอดทาง
“ผู้อำนวยการ เราจะปล่อยให้เขาไปแบบนี้จริง ๆ เหรอครับ?”
ในห้องทำงานของนิค ฟิวรี่ มาเรีย ฮิลล์กัดฟันแน่นแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน เธอไม่พอใจกับท่าทีของบอร์มากที่ใช้ชีลด์เหมือนคนรับใช้ส่วนตัว
“แล้วจะให้เขาอยู่ที่นี่จนถึงปีใหม่รึไง?” ฟิวรี่ตอบด้วยสีหน้าที่แสดงออกยาก เพราะผิวที่ดำสนิทของเขา
“แต่ว่า . . .”
“พอเถอะฮิลล์ล์ ชารอน คาร์เตอร์ส่งข่าวมา ลองดูสิ” ฟิวรี่ยื่นแท็บเล็ตให้ฮิลล์ “ฉันไม่คิดเลยว่าแอนตาร์กติกาจะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เอาไว้”
ฮิลล์อ่านข้อมูลอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสีหน้าของเธอที่กลายเป็นจริงจังทันที “ผู้อำนวยการ จุดหมายของพวกเขาน่าจะเป็นที่เดียวกับที่บอร์กำลังไป!”
“ถูกต้อง!” ฟิวรี่พยักหน้า ก่อนจะถามต่อว่า “ตัวอย่างดีเอ็นเอของบอร์รวบรวมเสร็จรึยัง?”
“เก็บครบทุกอย่างแล้วค่ะ ทั้งผิวหนัง เส้นผม เลือด ของเหลวในร่างกาย . . .” พอพูดถึงเรื่องนี้ ฮิลล์ก็ดูมีสีหน้าพึงพอใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยชีลด์ก็ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ฟิวรี่พยักหน้าอย่างพอใจ “จัดการให้เรียบร้อย แบ่งเป็นสามชุด หนึ่งชุดเก็บเข้าคลัง หนึ่งชุดส่งไปที่ห้องวิจัย อีกชุดส่งให้โทนี่ สตาร์ค”
“อะไรนะคะ?” ฮิลล์ถึงกับคิดว่าตัวเองฟังผิดไป “ส่งให้สตาร์ค?”
“เจ้าหน้าที่ฮิลล์ นี่คือคำสั่ง!” ฟิวรี่ไม่ต้องการอธิบายเพิ่มเติม พร้อมโบกมือไล่ฮิลล์ออกไป
ฮิลล์เม้มปากแน่นแล้วเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ แต่เพียงไม่กี่วินาทีเธอก็กลับมาอีกครั้ง “ผู้อำนวยการ โทนี่ สตาร์คมาแล้วค่ะ!”
ฟิวรี่หันมองไปที่หน้าต่างด้วยสายตาคม “ฉันเห็นแล้ว! เขารู้ข่าวเร็วจริง ๆ”
ที่ลานจอดเครื่องบินของชีลด์กำลังมีชุดเกราะสีเงินวาววับกำลังสะท้อนแสงอาทิตย์อยู่อย่างเด่นหล้า
“ตาแก่ต่างดาวนั่นอยู่ไหน?” แขนของชุดเกราะแปลงเป็นปากกระบอกปืนสองกระบอกที่ปล่อยแสงอันร้อนแรงออกมา พร้อมกับเสียงของโทนี่ สตาร์คที่ดังออกมาจากภายใน
ฟิวรี่หัวเราะเบา ๆ ก่อนหันไปพูดกับฮิลล์ “ดูเหมือนเขาจะทำสำเร็จแล้ว!”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นค่ะ” ฮิลล์ตอบด้วยสีหน้าที่เหมือนยังคงตกอยู่ในความคิด
“บอกที่อยู่เขาให้ชัดเจน เพราะดูเหมือนว่าโลกนี้จะต้องฝากไว้กับเขาอีกแล้ว!” ฟิวรี่พูดพร้อมยืนเอามือไขว้หลัง สีหน้าดูมั่นใจ
“รับทราบค่ะ!”
. . .
ในขณะเดียวกันทางด้านของเอริค เขาก็พาคิลเลียนลงจอดอย่างรวดเร็ว ก่อนทะลุผ่านสนามพลังของดินแดนรกร้างลงมาอีกครั้ง
คิลเลียนแม้จะมีร่างกายแข็งแรง แต่การตกจากที่สูงหลายหมื่นเมตรก็ทำให้ขาเขาสั่นไม่น้อย
เอริคโยนคิลเลียนลงกับพื้น และขยับมือเบา ๆ ทำให้ดินกลายเป็นเชือกพันรอบตัวคิลเลียนเอาไว้ “ฉันไม่อยากถามซ้ำรอบสอง พลังงานที่อยู่ในตัวนายมันมาจากไหน?”
คิลเลียนยิ้มเย้ยเย้ย พร้อมปิดปากแน่น
เมื่อเห็นเช่นนั้นเอริคก็ส่ายหัวเบา ๆ “จริง ๆ ฉันสามารถควบคุมสมองนายได้ แต่ฉันไม่อยากทำแบบนั้นแค่นั้นเอง”
“แกไม่มีทางได้อะไรจากฉัน!” คิลเลียนตะโกนลั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ก่อนจะอ้าปากกว้างแล้วกัดฟันลงไปอย่างแรง
“ไซยาไนด์? ดูหนังเยอะไปมั้ย?” เอริคมองคิลเลียนด้วยสายตาเย้ยหยัน ก่อนที่ฟันกรามของคิลเลียนจะหลุดออกมาพร้อมเลือดไหลเล็กน้อย
ฟันซี่นั้นลอยมาหาเอริค และในนั้นมีวัตถุเล็ก ๆ ที่บรรจุพิษร้ายแรงเอาไว้
“ไอเอเอ็ม ให้อะไรนาย? ถึงได้ยอมทำขนาดนี้?”
ไอเอเอ็ม เพียงแค่คำนี้ก็ทำให้สีหน้าของคิลเลียนเปลี่ยนไปทันที เขาไม่คิดเลยว่าเอริคจะรู้ต้นตอของเขามาก่อนแล้ว สีหน้าคิลเลียนแปรเปลี่ยนไปมา ก่อนที่สุดท้ายเขาจะยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมกับพูดว่า “ได้ ฉันจะพูดแล้ว”
เอริคเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และพูดอย่างชั่วร้ายว่า “อย่าเพิ่งรีบพูดสิ! ฉันยังไม่ได้ทรมานนายเลย จะยอมสารภาพง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?”
“ด้วยวิธีของนาย ฉันทนไม่ไหวแน่” คิลเลียนพูดอย่างรู้ตัวเองดี
“นักวิทยาศาสตร์ของไอเอเอ็มบางคนระหว่างการทดลอง พวกเขาได้เชื่อมต่อเข้ากับมิติพิเศษโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งข้างในนั้นมีพลังงานที่เกินกว่าจะจินตนาการได้! ดังนั้นพวกเขาจึงดึงพลังงานนั้นมาเพื่อสร้างบางสิ่งขึ้น”
“สิ่งนั้นมันมีลักษณะเป็นรูปทรงลูกบาศก์ใช่ไหม?” เอริคถามพร้อมหรี่ตาลง
“นายรู้ได้ยังไง?” คิลเลียนตกใจจนตาเบิกกว้าง
“นอกจากนักวิทยาศาสตร์พวกนั้น มีคนรู้น้อยกว่า 5 คนเท่านั้น!”
เอริคยิ้มอย่างเยือกเย็น ‘คอสมิคคิวบ์ คิดว่ามันถูกเรียกด้วยชื่อนี้เฉย ๆ งั้นเหรอ? ไม่ว่าจักรวาลไหน ร่างจริงของคอสมิคคิวบ์ก็ต้องเป็นลูกบาศก์อยู่แล้ว!’
“ห้องทดลองอยู่ที่ไหน?”
“ไม่รู้ พวกเราถูกทำให้สลบก่อนแล้วถึงถูกส่งไป” คิลเลียนพูดพลางลูบหลังศีรษะตัวเอง
“ไร้ประโยชน์จริง ๆ!” เอริคส่ายหัวด้วยความไม่พอใจ และไม่ได้ถามต่อ เพราะเขารู้ดีว่าคอสมิคคิวบ์ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังนั้นเขามีเวลาหาคำตอบในภายหลังได้
คิลเลียนยิ้มเจื่อนอีกครั้ง “ฉันแค่ต้องการรักษาขาของฉัน ฉันลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ล้มเหลวหมด แม้แต่ไวรัสเอ็กซ์ตรีมิสของมายา แฮนเซ่น ก็ดูมีโอกาสสูงมาก แต่เธอกลับถูกเอริค แลนเซอร์พาตัวไปก่อนแล้ว!”
ไอ้เอริค แลนเซอร์ที่นายพูดถึงก็คือฉันที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนายนี่ไง!
เอริคแสดงสีหน้าเยือกเย็นขึ้นทันที ก่อนที่เขาจะชี้นิ้วเบา ๆ ทำให้คิลเลียนเหมือนถูกฟ้าผ่า ทั่วร่างสั่นสะท้าน จนในที่สุดก็ชักกระตุกและสลบไป
“ลุกขึ้นมา!”
เอริคยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปที่ตัวคิลเลียนอีกครั้ง ทำให้เขาฟื้นขึ้นมาแบบมึนงง พร้อมกับยืนขึ้นมาลูบหลังศีรษะอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ซามูเอล สเติร์น เกี่ยวข้องยังไง?”
ซามูเอล สเติร์น คือชายที่นาตาชา โรมานอฟพบ ซึ่งครอบครองเซรุ่มของฮัลค์ ในประวัติศาสตร์เดิม เขาเป็นคนมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง เพราะเขาเคยช่วยบรูซ แบนเนอร์วิเคราะห์พันธุกรรมของฮัลค์ และพัฒนายาระงับพลังฮัลค์ขึ้นมา
ต่อมา ซามูเอล สเติร์นก็ฉีดเซรุ่มฮัลค์เข้าไปในตัวเอมีล บลอนสกี้ และทำให้เกิดตัวร้ายอย่าง ‘อะบอมิเนชั่น’ ส่วนตัวเขาเองก็ได้รับผลกระทบจากเซรุ่มฮัลค์ ทำให้สมองโตผิดปกติ และความฉลาดเพิ่มขึ้นพันเท่า จนเข้าร่วมกับไอเอเอ็มโดยใช้ชื่อว่า ‘เดอะรีดเดอร์’
“ซามูเอล สเติร์นมีเซรุ่มของฮัลค์ ซึ่งในนั้นมีความลับเกี่ยวกับการใช้หรือควบคุมรังสีแกมมาได้ ไอเอเอ็มตรวจพบว่าพลังงานพิเศษที่พวกเขาค้นเจอนั้น มีปฏิกิริยารังสีแกมมาที่รุนแรง . . .”
เอริคพยักหน้า “ดูจากความจริงใจของนาย ฉันจะไว้ชีวิตนายสักครั้งแล้วกัน!”
พูดจบเอริคก็เดินจากไปทิ้งให้คิลเลียนยืนงุนงงอยู่ตรงนั้น
“นาย . . . ไม่ฆ่าฉันจริง ๆ?”
“โง่เง่า!” เอริคพูดอย่างไม่แยแส “ถ้านายอยู่รอดเกิน 1 ชั่วโมง ถือว่าฉันแพ้แล้วกัน!”
โปรดติดตามตอนต่อไป …