ตอนที่ 114 ล่อลวง (ฟรี)
ตอนที่ 114 ล่อลวง
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของสกิลพิเศษ แทนที่จะมองเห็น มันเป็นเหมือน ‘ความรู้สึก’ มากกว่า
หลังจากสวี่จื้อกระตุ้นพลังในร่างกายของตัวเอง เธอก็รับรู้ได้ว่าสกิลทั้งสองได้พัฒนาไปถึงระดับใหม่แล้ว และร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยเช่นกัน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ความสามารถของสกิลพิเศษทั้งสองมีบางอย่างเพิ่มขึ้นมา
สำหรับสกิลเนตรส่องความลับ มันเป็นสกิลที่น่าทึ่งมากตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และค่อยๆ พัฒนาตามความแข็งแกร่งของเธอ จากตอนแรกๆ ที่เห็นได้เพียงเปลวไฟแห่งพลังของผู้คน ก็กลายเป็นการตรวจจับกระแสพลังต่างๆ รวมถึงในระหว่างพิธีกรรมได้
ตอนนี้มันน่าจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม สำหรับเรื่องนี้ เธอต้องพยายามตรวจสอบด้วยตัวเอง
ส่วนสกิลจิตมายา มันจะส่งผลเร็วขึ้น และมีโอกาสที่จะส่งผลต่อผู้คนจำนวนมากในเวลาเดียวกัน เมื่อผีเสื้อสีเทาปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทุกคนที่อยู่ในระยะก็จะได้รับผลกระทบจากมัน ทำให้เกิดความสับสน สติเริ่มพร่ามัว และถูกปลุกปั่นได้ง่าย
หากเป็นคนธรรมดา พวกเขาจะทำตามคำสั่งของสวี่จื้อ ราวกับถูกล้างสมอง
อีกอย่างก็คือ สวี่จื้อสามารถสัมผัสได้ถึงสถานที่ๆ และภาวะอารมณ์ของทุกๆ คนที่ถูกบุกรุกจิตใจโดยสกิลจิตมายาได้ และเธอยังสามารถควบคุมระดับผลกระทบของสกิลนี้ที่มีต่อแต่ละคนได้ ทำให้พวกเขายังคงความมีเหตุผลอยู่บนพื้นผิว แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาถูกชักจูงด้วยพลังของเธอ
แม้ว่าสำหรับผู้ปลุกพลัง ยังคงจำเป็นต้องผ่านการต่อสู้ทางจิตเพื่อบุกรุกจิตใจของเป้าหมาย และต้องผ่านกระบวนการทีละขั้นตอนจึงจะส่งผล แต่ตอนนี้ระดับพลังของเธอนั้นสูงกว่าผู้ปลุกพลังคนอื่นๆ จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เว้นแต่จะมีพลังวิเศษบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเกราะป้องกันทางจิต แทบจะไม่มีใครสามารถปิดกั้นพลังของสกิลจิตมายาได้
น่าเสียดายที่ในตอนนี้มีผู้ปลุกพลังจำนวนมากเกินไปในฐาน แม้ว่าพลังงานในร่างของเธอจะเพียงพอ แต่ก็ไม่น่าจะทำให้ทุกคนตกอยู่ในภายใต้อิทธิพลของสกิลนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น สวี่จื้อไม่คิดว่าจำเป็นต้องบุกรุกจิตใจของคนธรรมดาทั่วไป เพราะไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไร
เธอเพียงแค่ต้องควบคุมผู้คนในเขตหนึ่งของฐาน เพื่อที่จะได้ควบคุมคนสำคัญ หรือผู้ปลุกพลังระดับแนวหน้า
ดูเหมือนว่าต้องหาเวลาตกแต่งแสงสีให้กับเมืองที่มืดมนแห่งนี้ อย่างเช่น ตกแต่งด้วยสีเทาจากผีเสื้อกลางคืน
พูดตามตรง เธอไม่เชื่อใจคนเหล่านั้นจริงๆ เธอเชื่อในการควบคุม และการข่มขู่ด้วยความกลัว มากกว่าความไว้วางใจ
อีกอย่าง หากพลังของสกิลจิตมายาถูกฝังไว้ในความคิดของพวกเขาอย่างเงียบๆ และไม่ได้ถูกเธอกระตุ้น มันจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อตัวพวกเขาเอง
มันจะไม่ทำให้เกิดความสับสนหรือปลูกฝังให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดหรือเชื่อฟัง
ท้ายที่สุดแล้วพลังสายหนึ่งจะขัดแย้งกับพลังอีกสายหนึ่ง ในตอนแรก แม้ว่าเธอจะได้รับลูกน้องจำนวนมากที่เชื่อฟังคำสั่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี คนเหล่านี้จะกลายเป็นหุ่นเชิดที่กลวงเปล่า และอาจถึงตายเพราะพลังมอธขัดแย้งกับพลังที่พวกเขาแต่ละคนถือครอง
ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่น จงหลิงฟานซึ่งถือครองพลังแสง แม้จะทำให้อีกฝ่ายเชื่อฟังคำสั่งของเธอได้ แต่ก็จะเกิดผลกระทบที่รุนแรงจากความขัดแย้งของพลังทั้งสองสาย ทำให้ความแข็งแกร่งลดลง หรือถึงกับทำลายความรู้สึกนึกคิด นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย
อย่างไรก็ตาม พลังทั้งสองสายไม่ได้เกิดความขัดแย้งกันง่ายขนาดนั้น มันจะส่งผล เมื่อแทรกซึมเข้าไปลึกถึงระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น สวี่จื้อจึงไม่ตั้งใจจะกระตุ้นพลังของสกิลจิตมายาอย่างรุนแรง เธอจะปล่อยให้มันมีผลกระทบต่อพวกเขา ทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิด จากนั้นก็จะสั่งให้มันหลับไป ไม่บุกรุกจิตใจไปมากกว่านี้
เมื่อทำแบบนี้ จะทำให้ไม่เกิดความขัดแย้ง และจะไม่กระทบต่อจิตใจอีกฝ่ายจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ที่เธอต้องการทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการเพิ่มมาตรการปลอดภัยให้กับตัวเอง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ความสามารถของสกิลจิตมายายังไม่สมบูรณ์ มันยังคงต้องผ่านการพัฒนาอีกหลายครั้ง จนกว่าจะสามารถควบคุมคนอื่นๆ ให้เป็นเหมือนหุ่นเชิด แต่ไม่ทำให้พวกเขาสูญเสียความนึกคิดไปเสียก่อน เธอจึงจะเริ่มเดินหน้าต่อไปได้
นี่คือ สิ่งที่สวี่จื้อคาดหวังเอาไว้
สวี่จื้อไม่ได้รู้สึกหนักใจหรือรู้สึกผิดใดๆ เลยที่จะต้องฝังระเบิดเวลาเข้าไปในร่างของคนอื่นๆ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำให้เธอผิดหวัง เธอก็จะไม่กด ‘ระเบิด’
เธอแค่ต้องการให้พวกเขาเชื่อใจ และเต็มใจที่จะเชื่อฟังคำสั่งของเธอมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ไม่น่าจะถือเป็นเรื่องเลวร้าย ในเมืองที่ระเบียบสังคมพังทลายแห่งนี้
หลังจากตรวจสอบสถานการณ์ของตัวเองหลังจากยกระดับพลังแล้ว สวี่จื้อก็หยิบเครื่องเกมขึ้นมาอีกครั้งแล้วถามออกไปว่า “ทำไมระดับของสกิลวิวัฒนาการของฉันถึงยังเหมือนเดิม?”
“พอจะมีหนทางอะไรที่ช่วยให้ฉันสามารถปรับปรุงสกิลนี้อยู่บ้าง?”
[ ตัวคุณนั้นแตกต่างจากแฟมิเลีย ระดับของสกิลวิวัฒนาการจึงไม่ได้อิงจากความแข็งแกร่ง และระดับเลเวล ]
“ช่วยอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้มั้ย?”
[ หากคุณจะไปถึงจุดใดจุดหนึ่งบนเส้นทางนั้น ระดับของสกิลวิวัฒนาการก็จะเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับโอกาสบางอย่างหรือตัวคุณเอง ]
เมื่อได้ยิน เธอก็พอจะเข้าใจ แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
โอกาส และตัวเธอเอง เป็นคำตอบที่คลุมเครือมากจริงๆ
แต่สวี่จื้อก็รู้ดีว่าต่อให้ถามอะไรไปมากกว่านี้ก็คงจะไม่มีประโยชน์
[ แต่… ]
จู่ๆ ผู้บรรยายก็พูดอีกครั้ง
[ หากคุณตัดสินใจที่จะตรงไปยังใจกลางเมืองเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา บางทีคุณอาจได้รับโอกาสที่จะปรับปรุงระดับของสกิลวิวัฒนาการจากที่นั่น ]
ดวงตาสีเทาของสวี่จื้อสั่นไหวเล็กน้อย “ดูเหมือนใจกลางเมืองจะเป็นสถานที่ๆ เต็มไปด้วยความลับ และน่าค้นหาจริงๆ”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่สัตว์ประหลาดพวกนั้นเฝ้าอยู่ที่นั่น มันน่าจะต้องมีของดีอะไรอยู่เป็นแน่
“ตอนนี้ฉันสามารถเข้าไปในมิติเงาได้อีกครั้งหรือยัง?”
สวี่จื้อไม่ได้ตั้งใจที่จะชะลอเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอวางแผนที่จะแก้ไขมันโดยเร็วที่สุด ท้ายที่สุดแล้ว เธอไม่มีความปรารถนาที่จะเป็นอาร์คบิชอป
[ ได้ ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะหลังจากยกระดับพลังได้ไม่นาน พลังที่คุณถือครองอยู่ในช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุด มันจึงสามารถปราบปรามพลังเลือดได้อย่างสมบูรณ์ ]
[ แต่คุณต้องจำไว้ว่าหลังไปถึงที่นั่น ห้ามสำรวจพลังเลือดที่แฝงอยู่ในร่างเป็นอันขาด และหากคุณเห็นบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลังนั้น ให้พยายามหลีกเลี่ยง ]
[ ถ้ารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีกลิ่นอายแห่งพลังเลือดติดตัวอยู่ คุณต้องรีบหันหลังกลับแล้ววิ่งหนี ]
[ คราวนี้ ขอแนะนำว่าอย่าใช้แก่นพลังแสง ให้ใช้แก่นพลังมอธในการจุดตะเกียงแทน ]
สวี่จื้อพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมจึงขอให้เธอใช้แก่นพลังมอธในการจุดตะเกียง น่าจะเพื่อปกปิดกลิ่นอายแห่งพลังเลือดในร่างของเธอ ทำให้พบเห็นได้ยากยิ่งขึ้น
[ อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับการเกื้อหนุนจากพลังแสง อันตรายที่คุณจะได้พบเจอในมิติเงาจะเพิ่มขึ้นมาก และเวลาที่คุณอยู่ในนั้นจะหดสั้นลง แม้ว่าตอนนี้คุณจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ก็ห้ามอยู่ที่นั่นเกินกว่าครึ่งชั่วโมงเป็นอันขาด ]
[ นอกจากนี้ อาจมีบางสิ่งที่ต้องการล่อลวงคุณ คุณจึงต้องแยกแยะอย่างรอบคอบว่าสิ่งล่อลวงนั้นมีประโยชน์แฝงอยู่ หรือมีเพียงอันตราย ]
[ พยายามตื่นตัวให้ได้มากที่สุด และตัดสินใจเลือกอย่างรอบคอบ ]
เป็นถ้อยคำเดิมที่สื่อความหมายเหมือนกับคราวก่อน
คำเตือนนี้ถูกกล่าวถึงหลายครั้ง เมื่อเธอเข้าสู่มิติเงาหรือโลกแห่งความฝัน
“ไม่ต้องห่วง ฉันมีประสบการณ์ค่อนข้างมากในการตื่นตัว ฉันจะพยายามระวังตัวให้ได้มากที่สุด”
ยังมีเวลาก่อนถึงเที่ยงคืน ดังนั้นเธอจึงยังมีเวลาที่จะสร้างตะเกียงอีกแบบหนึ่ง เพื่อเริ่มดำเนินแผนการที่วางไว้ได้
***อีกสองตอนลงตามเวลาเดิมตอนสิบเอ็ดโมงเช้า