ตอนที่แล้วบทที่ 25 ตื่นขึ้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 27 คัมภีร์วารี

บทที่ 26 เคล็ดวิชาเซียนอยู่ที่ใด?


บทที่ 26 เคล็ดวิชาเซียนอยู่ที่ใด?

หลี่เหยียนไม่ทราบ ว่าการสนทนาระหว่างเขากับตงฝูอีในพื้นที่จิต มันเป็นการสื่อสารทางจิต พูดมาอาจยาว แต่แท้จริงแล้วเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น และถ้าตงฝูอีไม่ได้ใช้พลังปราณช่วยชีวิตและรักษาอาการบาดเจ็บให้ การสนทนานั้นก็คงเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ และตอนที่เขากำลังตกใจกับเรื่องทั้งหมด ตอนนี้เองที่รู้สึกตัวเบา เพราะสิ่งที่เหมือนดวงตานั้นก็หายไปจากร่างกายเขาแล้ว

จี้กุนซือเรียกจิตสำนึกกลับมา ตั้งสติ ยิ้มแล้วพูดกับหลี่เหยียนว่า “ศิษย์รัก เจ้าทำขั้นตอนชำระล้างเส้นชีพจรของเคล็ดวิชาลับสำเร็จแล้ว ตอนนี้ถือว่าเข้าสู่ ‘วิชาเงาพฤกษา’ ขั้นที่หนึ่งอย่างเป็นทางการแล้ว อาจารย์พอใจกับผลงานของเจ้ามาก เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ หลังอาหารกลางวันค่อยมาหาอาจารย์ อาจารย์จะถ่ายทอดวิธีฝึกฝน ‘วิชาเงาพฤกษา’ ขั้นที่หนึ่งให้” พูดจบเขาก็มองหลี่เหยียน

หลี่เหยียนได้ยิน กลับนั่งนิ่งอยู่กับที่ แล้วก็ดีใจ เขาใช้มือยันพื้นลุกขึ้นยืน และโค้งคำนับจี้กุนซือ “ขอบคุณท่านอาจารย์” ด้วยแววตามีความรู้สึกขอบคุณ และยังโค้งคำนับอีกครั้ง สุดท้ายจึงเดินกลับไปที่บ้านหินของตัวเองอย่างอารมณ์ดี

จี้กุนซือมองตามหลังเขาจนลับตา สุดท้ายจึงค่อยหันกลับมา ในแววตามีความรู้สึกหลากหลาย ภายหลังยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ก็หันไปทางห้องของตัวเอง

หลี่เหยียนหันหลังเดินไปทางชั้นหิน เขารู้สึกได้ว่าพลังนั้นกำลังจ้องมองเขาจากด้านหลัง มันเหมือนมีหนามทิ่มแทง จนกระทั่งครู่หนึ่งก็หายไป แต่เขาก็ยังยิ้ม และเดินเข้าไปในบ้านหินของตัวเองอย่างอารมณ์ดี

หลังจากเข้าไปในบ้านหิน เขาปิดประตู สีหน้าดูเริ่มเคร่งเครียด เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าแม้แต่บ้านหินหรือประตูหินก็กันจิตสำนึกของจี้กุนซือไม่ได้ แต่พอเข้ามาแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น และเขาก็ยืนยันแล้วว่าจิตสำนึกนั้นถูกเรียกกลับไปแล้ว

ยามมองเสื้อผ้าที่เปียกโชก พลางนึกถึงน้ำเสียงและรอยยิ้มที่อ่อนโยนของจี้กุนซือตอนที่ลืมตา เขาก็รู้สึกใจหาย แล้วก็หัวเราะเยาะในใจ “เป็นห่วงข้าจริง ๆ หรือ ท่านแค่กลัวว่า ‘หมู’ ตัวนี้จะตายเร็วไปแล้วไม่คุ้มค่าใช่ไหม ไม่งั้นจะปล่อยให้คนอ่อนแอตัวเปียกนอนอยู่บนพื้นแบบนี้ได้ยังไง ทั้งที่ตอนนี้ก็จะเข้าปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว

หึ หรือว่าท่านกลัวว่าพิษไฟในร่างกายข้าจะไม่หายไป จึงใช้ความเย็นจากน้ำมากดไว้ แล้วที่บอกว่าไม่ต้องทำพิธีเยอะตอนเข้าเป็นศิษย์ กุเรื่องว่าเป็น ‘สำนักเงาพฤกษา’ อธิบายเรื่องราวของสำนักต่าง ๆ ในยุทธภพและการแบ่งระดับวิทยายุทธ์อย่างละเอียด ก็แค่ทำให้ข้าเชื่อว่าท่านเป็นผู้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง และที่ถ่ายทอดให้ข้าเป็นเคล็ดวิชาลับ ช่างรอบคอบ แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็ยังทำให้เหมือนจริง ทำทีละเรื่อง หลอกคนจนตายก็ยังไม่รู้”

แต่การหลอกลวงที่สมบูรณ์แบบแค่ไหนย่อมมีช่องโหว่ ตอนที่เขานึกถึงวันที่เข้าเป็นศิษย์ของจี้กุนซือ ภายหลังจากโค้งคำนับ จี้กุนซือก็ถ่ายทอด “วิธีนำพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย” ให้ทันที มันทำให้เขาอึ้งไป

เพราะถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนในยุทธภพ แต่เขาก็รู้ว่าแม้แต่ตอนเรียนหนังสือ ตอนที่เข้าเรียนวันแรก อาจารย์ก็ต้องอธิบายกฎระเบียบของโรงเรียน แล้วนี่เป็นถึงสำนัก พอเข้าสำนัก กลับไม่พูดถึงกฎของสำนัก ไม่พูดถึงข้อห้าม ตอนนั้นจี้กุนซือดูร้อนรน เหมือนอยากให้เขาเรียนรู้ในทันทีทันใด ตอนนี้พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ ก็รู้ว่าจี้กุนซือฉลาดแกมโกง แต่ก็ยังมีพิรุธ แค่ตอนนี้เขามาคิดได้ทีหลัง

ยามมองสภาพตัวเองที่เปียกโชก ตอนนี้เขายังได้กลิ่นเหม็น มองดูดี ๆ ก็จะเห็นว่ามีคราบดำ ๆ ติดอยู่ใต้เสื้อผ้า ด้วยความสงสัยจึงถอดเสื้อผ้าออก พอเห็นจึงตกใจ เพราะใต้เสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยคราบเหนียว ๆ สีดำ เหมือนทาตัวด้วยน้ำมันสีดำ พวกมันกำลังส่งกลิ่นเหม็น และเขาไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง จนพลังปราณขับของเสียและสิ่งสกปรกในร่างกายออกมาทางรูขุมขน เพราะเขานึกว่าเป็นพิษที่ตงฝูอีช่วยขับออกมา

คราบสกปรกพวกนี้เหนียวเหนอะหนะ ยามติดอยู่บนตัวทำให้รู้สึกแย่มาก ต้องรีบไปจัดการ เขาจึงเปิดประตู ทำหน้าตายิ้มแย้มออกไปตักน้ำร้อนมาและล้างตัวแบบง่าย ๆ จึงค่อยรู้สึกสดชื่นและเบาร่าง

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้ว เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงไม้ในห้องและหลับตา เหมือนกำลังทำให้การฝึกฝนเมื่อครู่มั่นคง

แน่นอนว่าตอนนี้หลี่เหยียนไม่ได้ฝึกฝน หลังจากนั่งขัดสมาธิและปรับลมหายใจ เขาจึงมีเวลาสำรวจสภาพร่างกายตัวเอง ตอนนี้ นอกจากประสาทสัมผัสทั้งห้าจะดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว เขายังรู้สึกว่า ‘พลังภายใน’ ในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างมาก และตอนนี้เขารู้แล้วว่านี่น่าจะเป็นพลังปราณ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาฝึก “วิธีชี้นำพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย” เขาก็รู้สึกว่าร่างกายเบา หูตาดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงสรรพสิ่งบนโลกอย่างชัดเจนเหมือนตอนนี้ กระทั่งคิดรับรู้ถึงสถานะในร่างกายก็สบายมาก เหมือนเลือดทุกหยดกำลังไหลเวียนอย่างร่าเริง

ตอนนี้เขายังมองเห็นภายในร่างกายไม่ได้ ทำได้แค่ใช้ความรู้สึก แต่เขาก็นึกถึงคำพูดของตงฝูอี พิษไฟในร่างกายเขายังอยู่ ห้ามฝึกวิชาเงาพฤกษาอีก ไม่สิ มันน่าจะเป็น “วิชาม่านราตรีสีคราม” ต่างหาก เพราะไม่งั้นพิษไฟจะกำเริบ

เขาคิดและลองฝึกวิธีฝึกฝนของ “วิชาม่านราตรีสีคราม” อย่างระมัดระวัง ทันใดนี้เองที่สีหน้าเขาเปลี่ยนไป อันที่จริงเขาแค่ต้องการยืนยันว่าสิ่งที่ชายชราพูดเป็นความจริงหรือเปล่า อีกอย่างก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเด็กหนุ่ม จึงอยากลองใช้วิชาม่านราตรีสีครามควบคุมพลังปราณในร่างกาย

ใครจะไปรู้ เขาแค่เพิ่งจะดึงพลังปราณไปยังเส้นทางเดินพลังของเคล็ดวิชา ยังไม่ทันได้ให้พลังปราณไหลเวียนในเส้นชีพจร ที่มุมหนึ่งของตันเถียนก็มีพลังร้อนเหมือนสัตว์ร้ายที่ได้กลิ่นคาวเลือด มันอาละวาด เหมือนกับจะออกมาจากร่างกาย ทำให้เขาตกใจจนต้องหยุดฝึกฝนทันที

ถึงอย่างนั้น ก็ยังผ่านไปนานกว่าพลังปราณที่ปั่นป่วนในตันเถียนของหลี่เหยียนจะสงบลง พลังร้อนที่มุมตันเถียนก็ค่อย ๆ หายไปจนเขารู้สึกไม่ได้อีก หลี่เหยียนถึงได้ถอนหายใจยาวและคิดในใจ “ที่แท้ตงฝูอีพูดจริง พิษไฟถูกสะกดไว้ที่นี่จริง ๆ ถ้าอย่างนั้น ที่เขาบอกว่า ‘คัมภีร์วารี’ อยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกข้า มันก็เป็นเรื่องจริง แต่จะเข้าไปในทะเลแห่งจิตสำนึกได้ยังไง” สำหรับมือใหม่อย่างเขาที่ไม่มีใครสอน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจเลย

“หรือว่าจะส่งพลังปราณไปที่จุดไป๋ฮุ่ย ไม่ใช่ แบบนั้นก็ต้องใช้พลังปราณ แล้ววิธีควบคุมพลังปราณที่เรารู้ ก็มีแค่ ‘วิชาม่านราตรีสีคราม’ ไม่เท่ากับหาที่ตายเหรอ งั้นใช้จิตใจเพ่งสมาธิ? หรือว่าใช้วิธีอื่นกระตุ้นจิตสำนึก?”

*จุดไป๋ฮุ่ยอยู่บนกึ่งกลางศีรษะ เป็นจุดสูงสุดของศีรษะเมื่อลากเส้นตรงจากปลายหูทั้งสองข้างขึ้นไปบรรจบกัน

ครู่หนึ่ง เขาก็ส่ายหัวและเยาะเย้ยตัวเอง “ในเมื่อตงฝูอีบอกว่าเคล็ดวิชาเซียนอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึก แล้วก็รู้สถานการณ์ของเขา แบบนี้ก็คงไม่ใช่การใช้พลังปราณเปิดทะเลแห่งจิตสำนึก แล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่ ยิ่งกว่านั้นเขายังบอกเองว่าทะเลแห่งจิตสำนึกประกอบด้วยพลังจิต เป็นพื้นที่จิต งั้นก็น่าจะใช้จิตใจหรือพลังจิตเปิด ทะเลแห่งจิตสำนึกต้องอยู่ในสมอง ไม่น่าจะพ้นจุดสำคัญบนหน้าผาก หน้าผากด้านหน้า หลังสมอง มีพื้นที่ให้ลองแค่นี้”

ตอนนี้เขาหยุดคิดมาก ค่อย ๆ หายใจเข้าออก สงบสติอารมณ์ และใช้จิตใจจินตนาการถึงจุดไป๋ฮุ่ยกลางกระหม่อม ครู่หนึ่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงลองเปลี่ยนไปเพ่งสมาธิที่จุดเสินถิงหน้าผากด้านหน้า ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ยังไม่มีปฏิกิริยา เขายังไม่ท้อและเปลี่ยนไปเพ่งสมาธิที่หว่างคิ้ว

ขณะกำลังจะตรวจสอบจุดอิ๋นถัง แต่พอจิตใจเพ่งไปที่กลางหน้าผาก ยังไม่ถึงจุดอิ๋นถังก็รู้สึกตาลาย มีภาพแวบเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่ง พอภาพหยุดลง เขาก็อึ้ง เพราะเขากลับมาที่พื้นที่ที่เจอกับตงฝูอีอีกครั้ง ใต้เท้าก็ยังเป็นผืนน้ำสีดำ ท้องฟ้าด้านบนก็ยังมืดครึ้ม ผืนน้ำก็ยังสงบนิ่ง ราวกับเขาอยู่ที่นี่ตลอด และตัวเขายังลอยอยู่เหนือน้ำ

*จุดอิ๋นถังอยู่ระหว่างคิ้ว ตรงกึ่งกลางของเส้นที่ลากเชื่อมระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง

เขาพลันเข้าใจในทันที ก่อนหน้านี้ตงฝูอีบอกว่าที่นี่คือทะเลแห่งจิตสำนึกของเขา ไม่ใช่ที่นี่แล้วจะเป็นที่ไหน หรือว่าเขาจะต่างจากคนอื่น มีทะเลแห่งจิตสำนึกหลายที่

เขามองไปรอบ ๆ โดยรอบมืดสลัว ไม่มีอะไรเลย และมองปราดเดียวก็เห็นหมด ไม่ต้องพูดถึงหนังสือหรือเคล็ดวิชา

หลี่เหยียนไม่เชื่อว่าตงฝูอีอุตส่าห์ช่วยชีวิตเขา แล้วจะมาหลอกลวงต้มตุ๋นกันเช่นนี้ เขารู้ว่าแค่ยังหาไม่เจอ แต่ที่นี่ไม่มีอะไรจริง ๆ เขาคิดจะไปดูไกล ๆ พอคิดแบบนี้ ร่างกายเขาก็พุ่งไปข้างหน้า มันทำให้เขาตกใจ ร่างกายก็เซไปมา แล้วก็หยุด

ก่อนหน้านี้เขาเคยลองขยับร่างกายในทะเลแห่งจิตสำนึกแห่งนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะทำยังไงก็ก้าวขาหรือขยับตัวไม่ได้ ทว่าตอนนี้แค่คิดก็ลอยไปข้างหน้าเอง จะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร หลังจากตกใจ เขาค่อย ๆ ตั้งสติ ลองใช้จิตใจเดินไปข้างหน้า เขาจึงลอยไปข้างหน้าอีกครั้ง แล้วก็ค่อย ๆ เร็วขึ้น ความเร็วในการบินยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พอค้นพบเรื่องนี้ เขารู้สึกดีใจ ไม่นานก็บินเล่นในนี้ ยิ่งเล่นก็ยิ่งชำนาญ เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นการเล่นอย่างสนุกสนาน

ผ่านไปนาน หลี่เหยียนก็ลอยนิ่งอยู่บนอากาศ และค่อย ๆ ระงับความตื่นเต้นในใจพลางคิดในใจ “การบินนั้นดี เร็วด้วย ไม่ต้องเดินให้เมื่อย แต่นี่เป็นแค่ภาพลวงตา ถ้าบินได้จริง ๆ ก็ดีสิ” คิดแล้วก็รู้สึกเสียดาย เขาชอบความรู้สึกนี้ มันเป็นความรู้สึกอิสระ

มนุษย์นั้น ตั้งแต่เกิดมาก็อยากบินได้อย่างอิสระเหมือนนก มันคือความฝันของมนุษย์ แต่ก็เป็นแค่ความฝัน แต่แล้วดวงตาเขาก็ค่อย ๆ เป็นประกาย เซียน... ใช่แล้ว เซียนบินได้ ใช่ หลังจากเป็นเซียนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการบิน แม้แต่เหาะเหินเดินดินก็เป็นเรื่องง่าย ตอนนี้เขาจึงอยากบำเพ็ญเซียนมาก แต่ถ้าตงฝูอีรู้ความคิดนี้จะต้องต่อว่าเขาแน่ เพราะก่อนหน้านี้บอกเขาว่าบำเพ็ญเซียนแล้วจะเป็นอมตะ เขากลับไม่อยากบำเพ็ญเซียน อยากกลับบ้านไปเป็นคนธรรมดา ตอนนี้อยากบำเพ็ญเซียน เป็นเพราะบังเอิญค้นพบความสนุกของการบิน เหตุผลนี้ช่าง...

หลี่เหยียนยืนอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดใจ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือหาหนังสือเคล็ดวิชาเซียนในนี้ให้เจอ

ผ่านไปครึ่งเค่อ เขาหยุด พื้นที่นี้ไม่ได้กว้างใหญ่ มันมีขนาดประมาณห้าหกร้อยจ้าง เป็นทรงครึ่งวงกลม นอกจากมีทะเลสาบเล็ก ๆ ตรงกลางแล้ว ที่เหลือก็มืดสลัว พื้นเป็นสีเทาอมฟ้า ท้องฟ้ามืดครึ้ม พอไปถึงขอบ ก็เหมือนมีพลังที่มองไม่เห็น ขยับเข้าไปใกล้ไม่ได้ เขาก็เลยเดินไปมาในนี้ บางครั้งก็ลงไป เคาะ ๆ หา ๆ จนเวลาผ่านไป เขาก็ไม่พบอะไรเลย

หลี่เหยียนยืนอยู่บนพื้น เบื้องหน้าโล่ง มองปราดเดียวก็เห็นขอบฟ้าสีเทาหม่น ๆ เขาลูบคาง “เดินทั่วพื้นที่ห้าหกร้อยจ้างนี้แล้ว หาทุกที่ที่น่าสงสัย แต่ก็ไม่เจออะไร แล้วหนังสือเคล็ดวิชาเซียนอยู่ที่ไหน”

ครู่หนึ่ง เขาก็ตบหัวตัวเอง ด่าตัวเองว่า “โง่” ในพื้นที่นี้มีแค่ทะเลสาบเล็ก ๆ ตรงกลางที่ดูเด่น เขาคงจะมองข้ามจุดที่เห็นได้ชัดที่สุดไป คิดได้แบบนั้น ก็ลุกขึ้นบินไปที่กลางทะเลสาบ

ไม่นานเขาก็มาถึงกลางทะเลสาบ มองลงไป พบผิวน้ำเรียบสงบ น้ำสีดำเหมือนหุบเหว ใต้น้ำเหมือนเป็นหุบเหวลึก “หรือว่าต้องลงไปในทะเลสาบ ถ้าอย่างนั้นผู้เฒ่าท่านนี้ก็ชอบเล่นอะไรแปลก ๆ ถึงกับต้องเล่นตามหาสมบัติเสียด้วย” ตอนนี้เขาได้แต่ต้องลงไปในน้ำ พร้อมกับหวังว่าทะเลสาบนี้จะไม่ลึกเกินไป และไม่ต้องเล่นอะไรแปลก ๆ ที่ทำก็แค่กลั้นหายใจดำน้ำ

แต่พอเขาลอยอยู่เหนือน้ำ เขาถึงกับต้องชักสีหน้า เพราะเขาลงไปในทะเลสาบนี้ไม่ได้ เนื่องจากน้ำเหมือนเป็นกระจกสีดำเรียบ ๆ เขายืนอยู่บนผิวน้ำได้ แต่จมลงไปไม่ได้

หลี่เหยียนรู้สึกมืดแปดด้านและรู้สึกหดหู่ใจ เพราะมีแค่ที่นี่ที่เขารู้สึกว่าน่าจะมีหนังสือซ่อนอยู่ สุดท้ายก็ลงไปไม่ได้ หรือว่าจะทำได้แค่มองผิวน้ำที่เหมือนกระจก “ผิวน้ำที่เหมือนกระจก” หลี่เหยียนที่คิดขึ้นได้จึงมองผิวน้ำใต้เท้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไร ตอนนี้ผิวน้ำสีดำเหมือนใบหน้าที่บึ้งตึงของหลี่เหยียน

หลี่เหยียนยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลอยขึ้นไป พอลอยขึ้นมาเหนือทะเลสาบ เขาก็หรี่ตา เพ่งสมาธิไปที่ผิวน้ำใต้เท้า พอพลังจิตสัมผัสกับผิวน้ำ ผิวน้ำที่เหมือนกระจกสีดำจึงมีแสงสีทองส่องประกาย มีตัวหนังสือมากมายปรากฏขึ้น หลี่เหยียนค่อยยินดี แต่ยังไม่ทันได้อ่าน พลังจิตอันน้อยนิดของเขาก็หายไป ตัวหนังสือสีทองในตาก็หายวับไปเช่นกัน หลี่เหยียนลอยอยู่บนอากาศ สุดท้ายถอนหายใจยาว เพราะในที่สุดก็เจอแล้ว

เขาตั้งสติ รวบรวมพลังจิตอีกครั้งและเพ่งไปที่ผิวน้ำ จึงได้เห็นตัวหนังสือสีทองมากมายอีกครั้ง มุมขวาสุดริมทะเลสาบ มันมีตัวหนังสือสีทองสี่ตัว “คัมภีร์วารี” ข้าง ๆ กันยังมีตัวหนังสือเล็ก ๆ เรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ และเขารู้ว่าพลังจิตตัวเองอ่อนแอ จึงไม่กล้ารอช้า รีบอ่านทันที เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตของเขาและเรื่องการบินที่เขาสนใจ ดังนั้นจึงต้องตั้งใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด