บทที่ 25 ตื่นขึ้น
บทที่ 25 ตื่นขึ้น
ตอนนี้หลี่เหยียนเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งหมดแล้ว เขายังนึกถึงคำพูดของชายชราที่ห้ามไม่ให้ลืมตาตอนที่ตนเองฟื้นขึ้นมาครั้งที่สอง ตอนนี้ก็เข้าใจเจตนาแล้ว ตอนนั้นถ้าเขาฟื้นขึ้นมาแล้วลืมตา ก็คงจะนั่งขัดสมาธิและฝึกฝนพลังยาตามสัญชาตญาณ พลังพิษไฟที่ถูกสะกดไว้ในร่างกายก็จะปะทุขึ้นมาอีก และเขาคงไม่มีโชคได้เจอผู้ที่มีพลังเซียนอย่างชายชราชุดเทาปรากฏตัวขึ้นมาช่วยอีก สิ่งที่รอเขาอยู่ จะมีเพียงความตาย ยามคิดได้จึงยิ่งรู้สึกหวาดกลัว
เสียงของชายชราดังขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ดูเลือนราง “เอาล่ะ พูดมาขนาดนี้ เจ้าคงรู้แล้วว่าทำไมข้าถึงช่วยเจ้ากระมัง?”
หลี่เหยียนเงยหน้ามองชายชราร่างพร่าเลือน พยักหน้าแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าน่าจะเป็นคนที่มีรากวิญญาณที่ท่านตามหาให้กับสำนักเซียนวารีใช่หรือไม่?” ตั้งแต่ชายชราชุดเทาเล่าเรื่องที่ห้าสำนักโบราณตามหาคนที่มีรากวิญญาณพิเศษ หลี่เหยียนก็เดาได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เดายากเลย ชายชราช่วยเขา และยังเล่าที่มาและจุดประสงค์ของตัวเอง จะเดาไม่ออกได้อย่างไร
“ใช่แล้ว เจ้าคือคนที่ข้าตามหามานับปีไม่ถ้วน จิตสำนึกนี้ของข้ากำลังจะสลายไป แต่ก่อนหน้านี้ได้ใส่เคล็ดวิชาเซียน ‘คัมภีร์วารี’ ของสำนักเราเข้าไปในทะเลแห่งจิตสำนึกของเจ้าแล้ว เดี๋ยวเจ้าลองสัมผัสดูอีกที มันเป็นเคล็ดวิชาเซียนที่สมบูรณ์แบบ ตั้งแต่ขอบเขตรวมลมปราณไปจนถึงขอบเขตมหายาน แต่เจ้าจะเห็นแค่เนื้อหาเคล็ดวิชาเซียนที่ตรงกับระดับพลังปราณของเจ้า เมื่อระดับการฝึกฝนของเจ้าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะเปิดเคล็ดวิชาในระดับที่สูงขึ้นได้ ตอนนี้เจ้าคงเห็นแค่เคล็ดวิชาของขอบเขตรวมลมปราณ ถ้าโชคร้ายตายไป เคล็ดวิชาเซียนชุดนี้ก็จะหายไปทันที” พูดจบ ชายชราก็ถอนหายใจ
“เด็กน้อย จริง ๆ แล้วถ้าหากได้พบเจอเจ้าในเวลาปกติ ถึงแม้จะเป็นการใช้พลังปราณของจิตสำนึกตอนนี้จะทำให้ข้าใช้พลังพิเศษไม่ได้อีกต่อไป แต่การอยู่กับเจ้าเป็นพันปีนั้นไม่น่าจะมีปัญหา ช่วงเวลานั้นข้าจะคอยชี้แนะการฝึกฝนของเจ้า เพื่อให้เจ้าไม่หลงทาง แต่น่าเสียดาย หลังจากจัดระเบียบเส้นชีพจรและสะกดพิษไฟให้เจ้าแล้ว ตอนนี้ก็ทำได้แค่นี้ หนทางข้างหน้าเจ้าต้องเดินเองแล้ว ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าแล้ว”
หลี่เหยียนเห็นชายชราพูดแบบนั้น ก็พูดตะกุกตะกักว่า “เซียน... ท่านเซียน ข้า... ข้าไม่อยากบำเพ็ญเซียน ข้าอยากกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่”
ชายชราชุดเทาที่ได้ยินถึงกับงุนงง ในความคิดของเขา การบำเพ็ญเซียนเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝัน ไม่ต้องพูดถึงการที่ผู้มีพลังวิเศษในตำนานอย่างเขารับศิษย์ เพราะแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตรวมลมปราณกระจอก ๆ ในโลกมนุษย์บอกว่าจะรับศิษย์ ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายแค่ไหนเข้าหา
เรื่องราวถือว่าเกินความคาดหมายของเขาไปมาก แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ แค่นิ่วหน้าแล้วพูดว่า “หึ เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ ถ้าเจ้าไม่บำเพ็ญเซียน พิษไฟในร่างกายเจ้าก็คงจะเติบโตขึ้นในอีกไม่กี่ปี พอมันทำลายการสะกดได้ เจ้าก็ตายอยู่ดี ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เจ้าผ่านการฝึกฝนขั้นต้นมาแล้ว รวมกับที่ข้าจัดระเบียบเส้นชีพจรและชักนำพลังยาให้เจ้าในวันนี้ เจ้าก็ถือว่าบรรลุขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งแล้ว เจ้าคิดว่าอาจารย์ของเจ้าที่ภายนอกจะยอมปล่อยให้เจ้าไปหรือ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะดูดพลังปราณของเจ้า เจ้าก็ตายอยู่ดี ถ้าฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนที่ข้าให้ บางทีเจ้าอาจจะมีโอกาสสู้ เจ้ายังจะบอกว่าไม่บำเพ็ญเซียนอีกหรือ”
หลี่เหยียนฟังจบก็อึ้งไปครู่หนึ่งและคิดในใจ เมื่อครู่เขาเอาแต่คิดจะกลับไปหาพ่อแม่ ลืมคิดถึงสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่ มันเป็นอย่างที่ชายชราพูด ตอนนี้เขาเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ ไม่ฝึกก็ตาย แต่หากฝึกต่อนั้นยังพอมีโอกาสรอด
ชายชราเห็นหลี่เหยียนเงียบจึงหัวเราะเย็นชา “เลิกคิดแบบเด็ก ๆ ได้แล้ว คิดว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรดีกว่า ด้วยพิษในร่างกายเจ้า ถ้าฝึก ‘คัมภีร์วารี’ จนบรรลุขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุดก็น่าจะขับพิษออกมาได้ เดี๋ยวเจ้าอ่านเนื้อหาเคล็ดวิชาแล้วจะเข้าใจ อืม เจ้าฝึกฝนแถว ๆ บ่อน้ำนี่แหละ มันจะช่วยส่งเสริมรากวิญญาณที่มีธาตุน้ำเป็นหลัก
ที่จี้กุนซือเลือกหุบเขานี้เป็นที่ตั้งก็ไม่ใช่เลือกมั่ว ๆ ที่นี่เป็นที่เดียวในละแวกนี้ที่มีพลังปราณ พลังปราณพวกนี้มาจากก้นบึ้งของบ่อน้ำ ข้างล่างบ่อน้ำน่าจะมีตาน้ำพลังปราณเล็ก ๆ ส่งผลพลังปราณที่กระจายออกมาคงอยู่ในหุบเขานี้ได้ ไม่งั้นพวกเจ้าคงฝึกฝนไม่ได้ แต่พลังปราณแค่นี้มันน้อยเกินไป ตาน้ำพลังปราณก็เล็กเกินไป ไม่งั้นเมืองด่านขุนเขามรกตนี้คงไม่มีอยู่แล้ว เพราะคงถูกสำนักเซียนยึดเอาไป
อีกเรื่อง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย พลังปราณในร่างกายเจ้า มันเกิดจากการใช้พิษบ่มเพาะ ถึงแม้ข้าจะจัดระเบียบให้แล้ว แต่ด้วยสภาพของข้าตอนนี้ ที่ทำได้ก็แค่ซ่อมแซมเส้นชีพจรให้เจ้ามีชีวิตรอด แค่นี้ก็ใช้พลังปราณที่เหลือน้อยนิดของข้าจนหมดแล้ว มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของพลังปราณในร่างกายเจ้าที่มีพิษได้
เมื่อพลังปราณไหลเวียนไปทั่วร่างกาย พิษที่ซ่อนอยู่ในพลังปราณก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อและกระดูก แต่เมื่อเจ้าเปลี่ยนไปฝึก ‘คัมภีร์วารี’ ถ้าฝึกจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุด พิษในพลังปราณเหล่านี้ก็จะถูกกำจัดได้ ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องสนใจ คือฝึก ‘คัมภีร์วารี’ ให้เก่ง แล้วหนีออกไป เรื่องอื่นต้องรอให้หนีรอดแล้วค่อยวางแผน”
สิ้นคำกล่าว น้ำเสียงที่เลือนรางของชายชราชุดเทากลับเผยความจริงจังออกมา เพราะเขาเองก็กังวล ผู้สืบทอดที่ตามหามา 2 ล้านกว่าปี ถ้าสุดท้ายต้องมาตายด้วยมือผู้ฝึกตนกระจอกขอบเขตรวมลมปราณ เกรงว่ามันจะเป็นเรื่องชวนเจ็บใจอย่างแท้จริง เพราะคนเช่นนั้น เมื่อก่อนเขาแค่คิดก็ทำให้หายไปจากโลกนี้ได้แล้ว
แต่ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้ นับว่าน่าเจ็บใจอย่างถึงที่สุด และตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าร่างจริงอยู่ที่ไหน แล้วจิตสำนึกนี้ก็กำลังจะสลายไป ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยหลี่เหยียนซ่อมแซมร่างกาย ด้วยพลังของจิตสำนึกก่อนหน้านี้ ถ้าตื่นขึ้นมาแบบปกติ การฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สามนั้นยังพอทำได้ กระทั่งว่าเขาจะยังอยู่ได้อีกหลายปี แต่ตอนที่เขาตื่นขึ้นมา หลี่เหยียนกำลังจะตาย ตอนนั้นจะเอาเวลาที่ไหนไปฆ่าจี้กุนซือ และพอช่วยหลี่เหยียนได้ พลังปราณของเขาก็แทบจะหมดลง
หลี่เหยียนก็ขมวดคิ้ว เพราะจริงอย่างที่ชายชราพูด ตอนนี้ปัญหาหลักคือจะเอาชีวิตรอดจากอาจารย์ของตัวเองได้อย่างไร
เสียงของชายชราล่องลอยเข้ามาในหูของหลี่เหยียน “เจ้าน่าจะเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งปี ไม่ว่าเจ้าจะฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุดหรือไม่ จี้กุนซือก็ต้องลงมือแล้ว พิษในร่างกายเขา สะกดได้มากสุดก็แค่ประมาณหนึ่งปี แต่ถ้าเจ้าฝึก ‘คัมภีร์วารี’ จนบรรลุขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุดภายในหนึ่งปีนี้ได้ บางทีสถานการณ์อาจจะพลิกผัน และอาจจะมีเรื่องไม่คาดฝัน... เฮอะ ๆ”
ตอนนี้ในน้ำเสียงที่เลือนรางของชายชรากลับส่งเสียงหัวเราะอย่างมีเลศนัย แต่ก็ไม่ได้พูดต่อ กระทั่งว่าเปลี่ยนเรื่อง “อืม แต่จะว่าไป ถ้าเจ้าอยากหนีออกจากที่นี่ บางทีอาจจะอาศัยแม่ทัพหงในเมืองนี้ได้ เขาอยากได้ ‘วิทยายุทธ์’ ที่จี้กุนซือพูดถึง แล้วข้ายังสัมผัสได้ ว่าในจวนแม่ทัพ นอกจากหงหลินอิงแล้ว ยังมียอดฝีมือที่ไม่ด้อยไปกว่าเขาอยู่ ถึงแม้คนสองคนนี้รวมกันก็ไม่ใช่คู่มือของจี้กุนซือ แต่การยื้อเวลาไว้ชั่วครู่ ยังพอทำได้
อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของพ่อแม่และครอบครัว แต่ถ้าเจ้าหนีออกไปได้ พวกเขาก็จะเป็นตัวถ่วงเจ้า จี้กุนซือคงไม่ปล่อยให้เสียโอกาสใช้พวกเขาเป็นเหยื่อล่อหรอก
อ้อ เตือนอีกอย่าง จี้กุนซือฝึกเคล็ดวิชาเซียนขั้นต้นได้สำเร็จแล้ว ยกตัวอย่างก็เคล็ดวิชาหนามไม้ เคล็ดวิชายิงลูกไฟ เคล็ดวิชาใบมีดลม เจ้าต้องรับมือให้ดี ถึงแม้พวกนี้จะเป็นแค่เคล็ดวิชาเซียนขั้นต้น แต่เคล็ดวิชาเซียนก็คือเคล็ดวิชาเซียน ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาหรือมือใหม่อย่างเจ้าจะต้านทานได้“ชายชราบอกกล่าว และตอนที่พูดคำว่า”วิทยายุทธ์” เขายังเน้นเสียง แต่เสียงก็เลือนรางมากแล้ว
หลี่เหยียนฟังแล้วก็รู้สึกงุนงง ไม่รู้ว่าทำไมชายชราชุดเทาถึงหัวเราะอย่างมีเลศนัย แต่นี่คงไม่ได้หมายถึงเขา ต่อมายังไม่ทันได้คิด ก็ได้ยินชายชราพูดถึงเจตนาของแม่ทัพหง เขารู้สึกตาสว่างและนึกถึงเรื่องที่ลานฝึกทหารวันนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าแม่ทัพหงคิดอะไรอยู่ อีกฝ่ายยังใช้พลังภายในไหลเวียนในร่างกายเขา ที่แท้ก็อยากได้เคล็ดวิชาของจี้กุนซือนี่เอง มันอาจจะเป็นโอกาสที่เขาใช้ประโยชน์ได้ แต่จะรับมือกับเคล็ดวิชาเซียนของจี้กุนซืออย่างไร เขายังไม่มีความคิดเลย เพราะอย่างไรนั่นก็เป็นถึงเคล็ดวิชาเซียน
“เอาล่ะ เจ้าหนู ถึงอยากคุยกับเจ้ามากกว่านี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว หวังว่าร่างจริงจะได้เจอกับเจ้า แต่ว่าอย่างน้อยเจ้าก็ควรเรียกข้าว่า ‘จ้าวสำนัก’ นะ และจดจำสมญานามและชื่อของข้าเอาไว้ จ้าวแห่งวารี ตงฝูอี” พูดจบ เสียงของชายชราก็ค่อย ๆ เบาลง ร่างยังเริ่มกลายเป็นละอองน้ำแล้วค่อย ๆ จางหายไป
หลี่เหยียนมองละอองน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศแล้วรีบพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่าน... ท่านยังไม่ได้บอกวิธีออกไปเลย” แต่ละอองน้ำนั้นไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมาอีก ในใจเขาจึงคิดว่า ‘จ้าวสำนักอะไรกัน ยังพูดไม่จบเลย แล้วข้ากลายเป็นศิษย์ของสำนักเซียนแบบงง ๆ ทั้งยังเป็นสำนักเซียนที่ไม่มีรากฐานเสียอีก ในสำนักตอนนี้ก็คงมีแค่ข้าคนเดียว แล้วเคล็ดวิชาเซียนอยู่ที่ไหน ข้าจะออกจากพื้นที่จิตนี้ได้อย่างไร’ ขณะกำลังครุ่นคิด ละอองน้ำตรงหน้าก็หายไปหมด และเมื่อละอองน้ำหายไป หลี่เหยียนรู้สึกตาลาย มึนงง ก่อนทุกอย่างจะมืดสนิท
หลี่เหยียนรู้สึกหนาวเย็น ไม่ช้าจึงลืมตาขึ้นมา พบเห็นแสงแดดขาวจ้า แสบตาจนต้องหลับตาลง แล้วก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น “ศิษย์รัก ในที่สุดเจ้าก็ฟื้น เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นไหม?”
หลี่เหยียนได้ยินเสียงนี้ ร่างกายก็แข็งทื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือคนชุดดำกำลังก้มตัวบังแดด ใบหน้าที่ดูใจดีกำลังมองเขาด้วยความเป็นห่วง เป็นอาจารย์ของเขา เป็นจี้กุนซือนั่นเอง หลี่เหยียนฝืนยิ้ม เขามองไปรอบ ๆ ถึงได้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองนอนอยู่บนพื้น ตัวเปียกโชก จึงเอามือยันพื้นลุกขึ้นนั่ง พบว่าตัวเองยังอยู่ข้างบ่อน้ำ แสงอาทิตย์บนท้องฟ้ายังเอียงไปทางทิศตะวันออก ดูเหมือนจะเป็นช่วงเช้า ภายหลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า “อา... อาจารย์ ข้าเป็นอะไรไป?”
จี้กุนซือเห็นหลี่เหยียนฟื้นก็โล่งใจ เขายืนตัวตรงแล้วพูดกับหลี่เหยียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าฝึกฝนจนพลังปราณเข้าสู่ร่างกายแล้วเส้นชีพจรแปรปรวน สุดท้ายตกลงไปในบ่อน้ำ อาจารย์เพิ่งดึงเจ้าขึ้นมา ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามแล้ว แต่เจ้าก็ยังสลบอยู่ อาจารย์เลยต้องถ่ายทอดพลังปราณรักษาเจ้าตลอด ตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรแล้ว อาจารย์... เอ๊ะ?”
ตอนที่เขาเริ่มพูดก็ยังคิดไปด้วย พูดไปพูดมา ก็ใช้จิตสำนึกตรวจสอบหลี่เหยียนตามความเคยชิน ยามนี้จึงตกใจ เพราะเมื่อหลี่เหยียนฟื้น ลมปราณในร่างกายหลี่เหยียนเกิดเปลี่ยนแปลงและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าที่บวมก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ เมื่อครู่เขาแค่ตรวจสอบตามความเคยชิน แต่กลับพบว่าหลี่เหยียนอยู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งขั้นต้นแล้ว
จี้กุนซือรู้สึกมึนงง ภายหลังจึงส่ายหัวเบา ๆ เพราะเมื่อกี้หลังจากที่เขาดึงหลี่เหยียนขึ้นมาจากน้ำ ตอนที่เขาเริ่มใช้พลังปราณรักษา หลี่เหยียนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองบ้าง จากนั้นเขาจึงส่งพลังปราณเข้าไปอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แต่พอจับชีพจรหลี่เหยียน พบว่าการหายใจเป็นปกติ ตอนที่ใช้จิตสำนึกตรวจสอบร่างกาย ดูเหมือนร่างกายของหลี่เหยียนจะบาดเจ็บหนัก ส่วนระดับ... ก็ยังอยู่ในขั้นชี้นำพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย ยังไม่ได้บุกทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง
เรื่องราวทำให้เขาผิดหวังไม่น้อย แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีหวังที่จะบุกทะลวงอีกครั้ง เขาเลยถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างกายหลี่เหยียน หวังว่าจะบรรเทาพิษไฟในร่างกาย แต่หลี่เหยียนก็ไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้สึกตัว เขาเลยได้แต่ยืนอยู่ข้าง ๆ พลางครุ่นคิดและสังเกตการณ์ไปด้วย
ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ หลี่เหยียนก็ฟื้นขึ้นมาเอง เมื่อครู่แค่ตรวจสอบตามความเคยชิน แต่ทำไมหลี่เหยียนถึงบรรลุขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งได้ หรือว่าเขาตาฝาด ตอนนี้เลยใช้จิตสำนึกตรวจสอบหลี่เหยียนอีกครั้ง เพราะเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครรู้จักจิตสำนึก
ครู่หนึ่ง แม้แต่คนที่ใจเย็นอย่างเขาก็อดดีใจไม่ได้ เป็นขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจริง ๆ แล้วเขายังเห็นว่าดวงตาของหลี่เหยียนดูเป็นสีขาวดำที่ชัดเจน มันใสกว่าเมื่อก่อนไม่รู้กี่เท่า แต่แล้วเขาก็เกิดความสงสัย เมื่อครู่เขาตรวจสอบหลายครั้งแล้ว ยืนยันว่าหลี่เหยียนยังไม่ถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง แล้วจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไรดี?
แต่ครู่หนึ่งเขาก็เลิกสงสัย สี่สิบเก้าวันนี้หลี่เหยียนฝึกฝนอยู่ใต้จมูกเขา จะมีปัญหาอะไร หรือว่าเป็นเพราะพลังปราณหลายสายที่เขาถ่ายทอดเข้าไป หรือว่าร่างกายเด็กคนนี้พิเศษ เขาอาจแค่คิดมากไปเอง ส่วนเมื่อครู่ทำไมถึงไม่รู้ว่าหลี่เหยียนบรรลุแล้ว อาจเป็นเพราะตอนที่หลี่เหยียนสลบ ลมปราณไม่คงที่ รวมกับเพิ่งบุกทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง ลมปราณเลยอ่อนมาก ตอนนี้หลี่เหยียนฟื้นแล้ว ลมปราณจึงค่อย ๆ ปรากฏออกมา
หลี่เหยียนมองอาจารย์ของตัวเอง พูดไปครึ่งทางก็อุทาน แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่มองไม่เห็นปกคลุมร่างกาย มันเหมือนมีคนกำลังสอดแนม ทำให้เขาไม่อาจมีความลับใดปิดซ่อน เป็น ‘จิตสำนึก!’ เขาคิดขึ้นมาได้ และคำนี้ผุดขึ้นมาเอง เมื่อยืนยันความคิดนี้แล้วเขายิ่งรู้สึกชัดเจน ว่าเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งมองเขาจากบนลงล่างและจากข้างในสู่ข้างนอก มันเห็นตัวเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ความรู้สึกนี้อาจเลื่อนลอย แต่ก็รับรู้ได้จริง ๆ ทำให้เขาอธิบายไม่ถูกและรู้สึกไม่ค่อยดี
ขณะเดียวกัน เขาก็พบว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวเองไวขึ้นผิดปกติ เขาไม่ต้องหันไปมอง ก็ได้ยินเสียงปลาว่ายน้ำในบ่อน้ำและเสียงแมลงต่าง ๆ ในหุบเขาร้อง และเพียงใช้หางตามองไปด้านข้าง เขาก็ตกใจที่พบว่าหยดน้ำค้างบนพื้นหญ้าที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบจ้างกลับเหมือนอยู่ตรงหน้า มันช่างชัดเจน แสงยังระยิบระยับ แล้วมดตัวเล็ก ๆ ที่กำลังไต่ไปมาบนใบหญ้าและหยดน้ำค้าง พวกมันกำลังขนของอย่างขยันขันแข็งท่ามกลางแสงแดด เขายังเห็นหนวดที่กำลังส่ายไปมาบนหัวมด หันไปมองบ่อน้ำ ก็เห็นเส้นเล็ก ๆ มากมาย พวกมันพันกัน บิดเบี้ยว และกระจายตัว เขาเดาว่ามันน่าจะเป็นพลังปราณที่ตงฝูอีพูดถึง มันกระจายออกมาจากบ่อน้ำ หลี่เหยียนรู้สึกว่าภาพตรงหน้าตอนนี้ค่อนข้างน่าเหลือเชื่อจนเกินไป
แล้วจากที่อาจารย์ของเขาพูด เขาสลบไปแค่ครึ่งชั่วยาม แต่เขาอยู่ในพื้นที่นั้นและพูดคุยกับตงฝูอีเป็นเวลานาน ถ้านับเวลาไม่ผิด น่าจะอย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม เรื่องนี้จะอธิบายได้อย่างไร?